ตอนที่ 2903 ผู้เฒ่าคนนั้น
ตึง ตึง ตึง…เสียงสิ่วที่สลักตอกลงบนหินดังก้องกังวานอยู่ท่ามกลางทุ่งกว้างแห่งนี้ เสียงสิ่วที่ตอกลงบนหินแต่ละเสียงดูไม่เร่งรีบอะไร ตรงกันข้าม เสียงตึง ตึง ตึงเหล่านี้เป็นไปด้วยจังหวะจะโคนยิ่ง ฟังแล้วสบายอารมณ์มากเป็นพิเศษ เหมือนว่ามันกลายเป็นท่วงทำนองจังหวะที่มีความหมายลึกซึ้งระหว่างฟ้าดิน แต่งแต้มฟ้าดินที่สงบเงียบแห่งนี้
เพราะมีเสียงสิ่วที่ตอกใส่หินดังตึง ตึง ตึงนี่เอง จึงทำให้ฟ้าดินที่สงบเงียบแห่งนี้ไม่ดูแห้งเหี่ยวและน่าเบื่ออะไรอย่างนั้นอีกต่อไป ทำให้ฟ้าดินที่สงบเงียบแห่งนี้มีชีวิตชีวาขึ้นมา
มองตามเสียงตอกใส่หินที่ดังตึง ตึง ตึงไปนั่น มองเห็นภูเขาเตี้ยๆ ลูกนั้นมีผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังใช้สิ่วตอกผนังหินอยู่
ผู้เฒ่าผู้นี้สวมใส่ชุดชาวบ้านธรรมดาทั่วไป บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น กาลเวลาได้ทิ้งร่องรอยจำนวนนับไม่ถ้วนบนใบหน้าของเขา แต่ว่า ไม่ว่ากาลเวลาจะเจียรไนเขาเช่นใดก็ตาม กลับไม่สามารถเจียรไนความหนักแน่นมั่นคงของเขาไปได้
ดวงตาคู่นั้นของเขาสุกใสสดชื่นเปล่งปลั่งยิ่งนัก ไม่ได้มีลักษณะไม้ใกล้ฝั่งของคนชราแม้แต่น้อย ดวงตาคู่นั้นของเขาดูลึกล้ำยิ่งนัก เปี่ยมด้วยความฉลาดเฉียบแหลมและสายตาที่ยาวไกล เหมือนว่าดวงตาคู่นี้ของเขาได้เป็นพยานรู้เห็นถึงโลกที่เกิดวิบัติกลับตาลปัตรมานับครั้งไม่ถ้วน
ขณะที่มองเห็นดวงตาคู่นี้แล้ว ก็จะทำให้นึกไปถึงว่า ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่ดวงตาคู่นี้ไม่สามารถจุเอาไว้ได้
มือสองข้างของผู้เฒ่าเต็มไปด้วยหนังที่กระด้าง หลังมือก็เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นเช่นกัน แต่ว่า เมื่อมือคู่นี้ของผู้เฒ่ากำสิ่วและค้อนเอาไว้แน่น ดูไปแล้วมันช่างมั่นคงและมีพลังเหลือเกิน เหมือนว่าภายใต้หนึ่งค้อนหนึ่งสิ่วของเขาแล้ว ไม่มีสิ่งใดไม่สามารถผ่าออกมาได้
เวลานี้มือทั้งสองของผู้เฒ่ากำค้อนและสิ่วเอาไว้แน่น ค่อยๆ แกะสลักผนังหินไป แม้ว่าเขาสลักได้ช้ามาก แต่ว่า เขากลับสามารถสลักตัวอักษรลงไปทีละตัวๆ
เสียงแกะสลักหินตึง ตึง ตึงดังก้องอยู่ท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้ เหมือนว่าได้กลายเป็นท่วงทำนองที่เป็นนิรันดร์ เป็นท่วงทำนองเพลงที่เป็นนิรันดร์ จังหวะทำนองเช่นนี้ ทำนองเพลงเช่นนี้ มันช่างงดงามอะไรอย่างนั้นเมื่อได้ยิน
สมควรทราบว่าภูเขาเตี้ยๆ ลูกนี้มันมีความแข็งแกร่งจนสุดจะจินตนาการได้ ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกระแทกให้มันแตกละเอียดได้ กระทั่งมีความเป็นไปได้ว่าเป็นมันที่แทงทะลุท้องฟ้าที่พังและกระแทกลงมา
ภูเขาที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธที่แหลมคมใดๆ ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถโจมตีให้มันแตกได้ ไม่สามารถทิ้งร่องรอยบนตัวของมันแม้แต่น้อย
แต่ว่า เมื่อหนึ่งค้อนหนึ่งสิ่วของผู้เฒ่าที่ค่อยๆ แกะสลักลงไปช้าๆ เห็นเศษหินที่ปลิวลงมา ปรากฏเป็นร่องรอยขึ้นมาภายใต้สิ่วที่เจาะลงไปอย่างช้าๆ
ภายใต้ความมั่นคงแน่วแน่ยิ่งของสิ่ว ดูเหมือนไม่ว่าภูเขาลูกนี้จะมีความแข็งแกร่งเพียงได้ก็ตาม มันก็ต้องถูกแกะสลักกลายเป็นร่องรอยขึ้นมาทีละนิ้วๆ
แหงนหน้าขึ้นมอง สิ่งที่ผู้เฒ่าสลักบนผนังหินคือตัวอักขระยันต์ตัวแล้วตัวเล่า โดยที่ตัวอักขระยันต์ดังกล่าวมีความเก่าแก่โบราณอย่างยิ่ง ลึกซึ้งยากที่จะเข้าใจ และดูจากร่องรอยของตัวอักขระยันต์ที่แกะสลักแล้ว ตัวอักขระยันต์ที่มีการแกะสลักเป็นอันดับแรกได้ผ่านกาลเวลามานานนับไม่ถ้วนแล้ว
เป็นการบ่งบอกว่าท่ามกลางผนังหินนี้ ทุกๆ หนึ่งตัวอักษรที่สลักลงไปต้องอาศัยเวลาเป็นพันปี กระทั่งเป็นหมื่นปี ตลอดขั้นตอนทั้งหมดกินเวลายาวนานมาก
ตัวอักษรที่สลักลงบนผนังหินตรงหน้ามีจำนวนเป็นพันเป็นหมื่นตัว และสามารถมองออกได้ว่า อักขระยันต์ที่มีการแกะสลักลงบนผนังหินนั้น หากสลักทั้งหมดล่ะก็ เกรงว่าคงเป็นบทคัมภีร์สูงสุดที่สมบูรณ์บทหนึ่ง
ลองนึกภาพดู อักขระยันต์หนึ่งตัวต้องใช้เวลาแกะสลักเป็นพันเป็นหมื่นปีล่ะก็ เช่นนั้นแล้ว คัมภีร์สูงสุดหนึ่งบทที่มีอักขระยันต์เป็นพันเป็นหมื่นตัว ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานเท่าไรมาแกะสลัก เกรงว่าต้องอาศัยศตวรรษแล้วศตวรรษเล่ามาแกะสลักกระมัง
ไม่ว่าจะต้องอาศัยกาลเวลาเท่าไรในการแกะสลัก ดูเหมือนกล่าวสำหรับผู้เฒ่าผู้นี้แล้วล้วนไม่ใช่ปัญหา อย่างน้อย เรื่องของเวลาไม่ใช่ปัญหา
ผู้เฒ่าที่อยู่ตรงนั้น ได้ทำการแกะสลักอักขระยันต์ตัวแล้วตัวเล่า เกรงว่าเขาจะไม่ได้รับรู้ถึงวันเวลาที่เคลื่อนผ่านไป ภายใต้มือของเขานั้น หนึ่งเดียวที่จะเคลื่อนคล้อยได้ก็คือบรรดาอักขระยันต์ตัวแล้วตัวเล่าที่ถูกเขาแกะสลักขึ้นมา หาใช่เวลาทีไหลรินไป และไม่ใช่โลกที่เกิดวิบัติกลับตาลปัตร
ผู้เฒ่าทำการแกะสลักอักขระยันต์ตัวแล้วตัวเล่าอยู่ตรงนั้น เขาไม่ได้ใส่ใจว่าด้านนอกมีอะไรเปลี่ยนไป และไม่ใส่ใจว่าโลกนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลง กล่าวสำหรับเขาแล้ว ต่อให้เป็นพันเป็นหมื่นปีผ่านไป ต่อใเกิดวิบัติกลับตาลปัตรขึ้นมาเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ
สิ่งเดียวที่สามารถทำให้เขาใจจดใจจ่อก็คือ สามารถแกะสลักตัวอักขระยันต์ตัวแล้วตัวเล่าภายใต้สิ่วของเขา นี่แหละจึงเป็นสิ่งที่เขาใส่ใจอย่างแท้จริง
ถ้าหากทักษะของเจ้ายังไม่แข็งแกร่งมากพอ เช่นนั้นแล้วสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ก็เป็นเพียงแค่ผู้เฒ่าที่กำลังแกะสลักอักขระยันต์ตัวแล้วตัวเล่าบนผนังหินเท่านั้น
แต่ว่า หากเจ้ามีความแข็งแกร่งมากพอก็จะแตกต่างโดยสิ้นเชิง เมื่อเป็นระดับราชันแท้จริงที่มีความแข็งแกร่งอย่างเพียงพอ แล้วเปิดเนตรฟ้าขึ้นมามองดูภาพที่อยู่ตรงหน้าก็จะพบว่า สิ่งที่ผู้เฒ่าได้แกะสลักลงบนผนังหินนั้นจะไม่ใช่เป็นเพียงอักขระยันต์ง่ายๆ เช่นนั้น และไม่ใช่แค่เพียงการแกะสลักลงบนผนังหินง่ายๆ เท่านั้น
ราชันแท้จริงทั่วไปล้วนแล้วแต่ไม่สามารถมองเห็นความลึกซึ้งยอดเยี่ยมในนั้น ผู้ที่สามารถมองทะลุถึงความลึกซึ้งยอดเยี่ยมและลึกลับได้อย่างแท้จริง เกรงว่าคงต้องเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะปฐมบรรพบุรุษแล้ว
เมื่อบุคคลผู้นั้นเป็นระดับปฐมบรรพบุรุษ แล้วมองดูผู้เฒ่าที่แกะสลักอักขระยันต์บนผนังหินอีกครั้ง ก็จะพบว่าอักขระยันต์ที่ลึกซึ้งยากจะเข้าใจนี้คือสุดยอดคัมภีร์จรัสสูงสุดบทหนึ่ง มันได้บันทึกพลังภายในจรัสเอาไว้ เกรงว่ามันจะก้าวแซงล้ำหน้าพลังภายในทั้งหมดของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ ทุกๆ ตัวอักษร ทุกๆ ประโยคล้วนแล้วแต่ผ่านการทุบตีมานับร้อยครั้งพันครั้ง มีความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง
นอกเหนือจากนี้ หากพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง ก็จะพบว่า อักขระยันต์ที่แกะสลักบนผนังหินนั้นไม่ได้ง่ายขนาดนั้น มันไม่เพียงแค่อักขระยันต์เป็นพันเป็นหมื่นเท่านั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
น่าอ่าน...