ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 2903

สรุปบท ตอนที่ 2903 ผู้เฒ่าคนนั้น: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

อ่านสรุป ตอนที่ 2903 ผู้เฒ่าคนนั้น จาก ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล โดย Internet

บทที่ ตอนที่ 2903 ผู้เฒ่าคนนั้น คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายAction ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย Internet อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

ตอนที่ 2903 ผู้เฒ่าคนนั้น

ตึง ตึง ตึง…เสียงสิ่วที่สลักตอกลงบนหินดังก้องกังวานอยู่ท่ามกลางทุ่งกว้างแห่งนี้ เสียงสิ่วที่ตอกลงบนหินแต่ละเสียงดูไม่เร่งรีบอะไร ตรงกันข้าม เสียงตึง ตึง ตึงเหล่านี้เป็นไปด้วยจังหวะจะโคนยิ่ง ฟังแล้วสบายอารมณ์มากเป็นพิเศษ เหมือนว่ามันกลายเป็นท่วงทำนองจังหวะที่มีความหมายลึกซึ้งระหว่างฟ้าดิน แต่งแต้มฟ้าดินที่สงบเงียบแห่งนี้

เพราะมีเสียงสิ่วที่ตอกใส่หินดังตึง ตึง ตึงนี่เอง จึงทำให้ฟ้าดินที่สงบเงียบแห่งนี้ไม่ดูแห้งเหี่ยวและน่าเบื่ออะไรอย่างนั้นอีกต่อไป ทำให้ฟ้าดินที่สงบเงียบแห่งนี้มีชีวิตชีวาขึ้นมา

มองตามเสียงตอกใส่หินที่ดังตึง ตึง ตึงไปนั่น มองเห็นภูเขาเตี้ยๆ ลูกนั้นมีผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังใช้สิ่วตอกผนังหินอยู่

ผู้เฒ่าผู้นี้สวมใส่ชุดชาวบ้านธรรมดาทั่วไป บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น กาลเวลาได้ทิ้งร่องรอยจำนวนนับไม่ถ้วนบนใบหน้าของเขา แต่ว่า ไม่ว่ากาลเวลาจะเจียรไนเขาเช่นใดก็ตาม กลับไม่สามารถเจียรไนความหนักแน่นมั่นคงของเขาไปได้

ดวงตาคู่นั้นของเขาสุกใสสดชื่นเปล่งปลั่งยิ่งนัก ไม่ได้มีลักษณะไม้ใกล้ฝั่งของคนชราแม้แต่น้อย ดวงตาคู่นั้นของเขาดูลึกล้ำยิ่งนัก เปี่ยมด้วยความฉลาดเฉียบแหลมและสายตาที่ยาวไกล เหมือนว่าดวงตาคู่นี้ของเขาได้เป็นพยานรู้เห็นถึงโลกที่เกิดวิบัติกลับตาลปัตรมานับครั้งไม่ถ้วน

ขณะที่มองเห็นดวงตาคู่นี้แล้ว ก็จะทำให้นึกไปถึงว่า ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่ดวงตาคู่นี้ไม่สามารถจุเอาไว้ได้

มือสองข้างของผู้เฒ่าเต็มไปด้วยหนังที่กระด้าง หลังมือก็เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นเช่นกัน แต่ว่า เมื่อมือคู่นี้ของผู้เฒ่ากำสิ่วและค้อนเอาไว้แน่น ดูไปแล้วมันช่างมั่นคงและมีพลังเหลือเกิน เหมือนว่าภายใต้หนึ่งค้อนหนึ่งสิ่วของเขาแล้ว ไม่มีสิ่งใดไม่สามารถผ่าออกมาได้

เวลานี้มือทั้งสองของผู้เฒ่ากำค้อนและสิ่วเอาไว้แน่น ค่อยๆ แกะสลักผนังหินไป แม้ว่าเขาสลักได้ช้ามาก แต่ว่า เขากลับสามารถสลักตัวอักษรลงไปทีละตัวๆ

เสียงแกะสลักหินตึง ตึง ตึงดังก้องอยู่ท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้ เหมือนว่าได้กลายเป็นท่วงทำนองที่เป็นนิรันดร์ เป็นท่วงทำนองเพลงที่เป็นนิรันดร์ จังหวะทำนองเช่นนี้ ทำนองเพลงเช่นนี้ มันช่างงดงามอะไรอย่างนั้นเมื่อได้ยิน

สมควรทราบว่าภูเขาเตี้ยๆ ลูกนี้มันมีความแข็งแกร่งจนสุดจะจินตนาการได้ ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกระแทกให้มันแตกละเอียดได้ กระทั่งมีความเป็นไปได้ว่าเป็นมันที่แทงทะลุท้องฟ้าที่พังและกระแทกลงมา

ภูเขาที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธที่แหลมคมใดๆ ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถโจมตีให้มันแตกได้ ไม่สามารถทิ้งร่องรอยบนตัวของมันแม้แต่น้อย

แต่ว่า เมื่อหนึ่งค้อนหนึ่งสิ่วของผู้เฒ่าที่ค่อยๆ แกะสลักลงไปช้าๆ เห็นเศษหินที่ปลิวลงมา ปรากฏเป็นร่องรอยขึ้นมาภายใต้สิ่วที่เจาะลงไปอย่างช้าๆ

ภายใต้ความมั่นคงแน่วแน่ยิ่งของสิ่ว ดูเหมือนไม่ว่าภูเขาลูกนี้จะมีความแข็งแกร่งเพียงได้ก็ตาม มันก็ต้องถูกแกะสลักกลายเป็นร่องรอยขึ้นมาทีละนิ้วๆ

แหงนหน้าขึ้นมอง สิ่งที่ผู้เฒ่าสลักบนผนังหินคือตัวอักขระยันต์ตัวแล้วตัวเล่า โดยที่ตัวอักขระยันต์ดังกล่าวมีความเก่าแก่โบราณอย่างยิ่ง ลึกซึ้งยากที่จะเข้าใจ และดูจากร่องรอยของตัวอักขระยันต์ที่แกะสลักแล้ว ตัวอักขระยันต์ที่มีการแกะสลักเป็นอันดับแรกได้ผ่านกาลเวลามานานนับไม่ถ้วนแล้ว

เป็นการบ่งบอกว่าท่ามกลางผนังหินนี้ ทุกๆ หนึ่งตัวอักษรที่สลักลงไปต้องอาศัยเวลาเป็นพันปี กระทั่งเป็นหมื่นปี ตลอดขั้นตอนทั้งหมดกินเวลายาวนานมาก

ตัวอักษรที่สลักลงบนผนังหินตรงหน้ามีจำนวนเป็นพันเป็นหมื่นตัว และสามารถมองออกได้ว่า อักขระยันต์ที่มีการแกะสลักลงบนผนังหินนั้น หากสลักทั้งหมดล่ะก็ เกรงว่าคงเป็นบทคัมภีร์สูงสุดที่สมบูรณ์บทหนึ่ง

ลองนึกภาพดู อักขระยันต์หนึ่งตัวต้องใช้เวลาแกะสลักเป็นพันเป็นหมื่นปีล่ะก็ เช่นนั้นแล้ว คัมภีร์สูงสุดหนึ่งบทที่มีอักขระยันต์เป็นพันเป็นหมื่นตัว ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานเท่าไรมาแกะสลัก เกรงว่าต้องอาศัยศตวรรษแล้วศตวรรษเล่ามาแกะสลักกระมัง

ไม่ว่าจะต้องอาศัยกาลเวลาเท่าไรในการแกะสลัก ดูเหมือนกล่าวสำหรับผู้เฒ่าผู้นี้แล้วล้วนไม่ใช่ปัญหา อย่างน้อย เรื่องของเวลาไม่ใช่ปัญหา

ผู้เฒ่าที่อยู่ตรงนั้น ได้ทำการแกะสลักอักขระยันต์ตัวแล้วตัวเล่า เกรงว่าเขาจะไม่ได้รับรู้ถึงวันเวลาที่เคลื่อนผ่านไป ภายใต้มือของเขานั้น หนึ่งเดียวที่จะเคลื่อนคล้อยได้ก็คือบรรดาอักขระยันต์ตัวแล้วตัวเล่าที่ถูกเขาแกะสลักขึ้นมา หาใช่เวลาทีไหลรินไป และไม่ใช่โลกที่เกิดวิบัติกลับตาลปัตร

ผู้เฒ่าทำการแกะสลักอักขระยันต์ตัวแล้วตัวเล่าอยู่ตรงนั้น เขาไม่ได้ใส่ใจว่าด้านนอกมีอะไรเปลี่ยนไป และไม่ใส่ใจว่าโลกนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลง กล่าวสำหรับเขาแล้ว ต่อให้เป็นพันเป็นหมื่นปีผ่านไป ต่อใเกิดวิบัติกลับตาลปัตรขึ้นมาเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ

สิ่งเดียวที่สามารถทำให้เขาใจจดใจจ่อก็คือ สามารถแกะสลักตัวอักขระยันต์ตัวแล้วตัวเล่าภายใต้สิ่วของเขา นี่แหละจึงเป็นสิ่งที่เขาใส่ใจอย่างแท้จริง

ถ้าหากทักษะของเจ้ายังไม่แข็งแกร่งมากพอ เช่นนั้นแล้วสิ่งที่สามารถมองเห็นได้ก็เป็นเพียงแค่ผู้เฒ่าที่กำลังแกะสลักอักขระยันต์ตัวแล้วตัวเล่าบนผนังหินเท่านั้น

แต่ว่า หากเจ้ามีความแข็งแกร่งมากพอก็จะแตกต่างโดยสิ้นเชิง เมื่อเป็นระดับราชันแท้จริงที่มีความแข็งแกร่งอย่างเพียงพอ แล้วเปิดเนตรฟ้าขึ้นมามองดูภาพที่อยู่ตรงหน้าก็จะพบว่า สิ่งที่ผู้เฒ่าได้แกะสลักลงบนผนังหินนั้นจะไม่ใช่เป็นเพียงอักขระยันต์ง่ายๆ เช่นนั้น และไม่ใช่แค่เพียงการแกะสลักลงบนผนังหินง่ายๆ เท่านั้น

ราชันแท้จริงทั่วไปล้วนแล้วแต่ไม่สามารถมองเห็นความลึกซึ้งยอดเยี่ยมในนั้น ผู้ที่สามารถมองทะลุถึงความลึกซึ้งยอดเยี่ยมและลึกลับได้อย่างแท้จริง เกรงว่าคงต้องเป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะปฐมบรรพบุรุษแล้ว

เมื่อบุคคลผู้นั้นเป็นระดับปฐมบรรพบุรุษ แล้วมองดูผู้เฒ่าที่แกะสลักอักขระยันต์บนผนังหินอีกครั้ง ก็จะพบว่าอักขระยันต์ที่ลึกซึ้งยากจะเข้าใจนี้คือสุดยอดคัมภีร์จรัสสูงสุดบทหนึ่ง มันได้บันทึกพลังภายในจรัสเอาไว้ เกรงว่ามันจะก้าวแซงล้ำหน้าพลังภายในทั้งหมดของหอจรัสศักดิ์สิทธิ์ ทุกๆ ตัวอักษร ทุกๆ ประโยคล้วนแล้วแต่ผ่านการทุบตีมานับร้อยครั้งพันครั้ง มีความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง

นอกเหนือจากนี้ หากพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้ง ก็จะพบว่า อักขระยันต์ที่แกะสลักบนผนังหินนั้นไม่ได้ง่ายขนาดนั้น มันไม่เพียงแค่อักขระยันต์เป็นพันเป็นหมื่นเท่านั้น

จะอย่าไรเสีย กล่าวสำหรับผู้ที่มีกำลังความสามารถขนาดนี้แล้ว พวกเขายังมีเรื่องอีกมากมายไปทำ พวกเขาสามารถทำเรื่องอื่นๆ ที่สะเทือนเลื่อนลั่นยิ่งกว่าได้ ไม่มีความจำเป็นต้องนำเอากำลังกายชั่วชีวิตของตนไปเสียเวลากับวิธีการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยๆ กลืนกินเช่นนี้

ผู้เฒ่าทำการแกะสลักบนผนังหินด้วยท่าทางที่มุ่งมั่นยิ่ง และลืมตัวอย่างยิ่ง เหมือนว่าในโลกนี้มีเพียงอักขระยันต์ภายใต้สิ่วของเขาเท่านั้น

หลี่ชิเย่อิงแอบอยู่ใต้ต้นไม้แก่ มองดูผู้เฒ่าที่สลักอักขระยันต์อยู่ ท่าทางสบายอกสบายยิ่ง และเอ้อระเหยอย่างยิ่ง

เวลานี้ หลี่ชิเย่ดูเหมือนลืมเรื่องเวลาไป ขณะที่ผู้เฒ่าก็มุ่งมั่นอยู่กับการแกะสลักอักขระยันต์ของตน

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ในที่สุดผู้เฒ่าได้ลงมาจากผนังหิน และนั่งดื่มน้ำคำหนึ่งใต้ต้นไม้แก่ เพื่อหอบหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง

“เป็นอักขระยันต์ที่สวยมาก” หลี่ชิเย่ที่อิงอยู่กับต้นไม้แก่ กล่าวเอ้อระเหยขึ้นขณะมองดูอักขระยันต์ที่อยู่บนผนังหิน

“ใช่งดงามมาก” ผู้เฒ่าเองก็ชื่นชมผลงานของตนเอง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นของเขาปรากฎรอยยิ้มขึ้นมา

เหมือนว่าเขาเองก็พึงพอใจมากกับผลงานของตนเอง เหมือนว่านี่คือผลงานศิลปะที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกอย่างนั้น

“ถ้าหากข้าเป็นศัตรูกับคนผู้หนึ่ง ข้าจะสังหารเขาอย่างแน่นอน ทำลายรากฐานของเขา ให้ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาหายวับไปกับตาในพริบตาเดียว” หลี่ชิเย่กล่าวเอ้อระเหยขึ้นมา

“นี่คือเกมเดิมพันเกมหนึ่ง” ผู้เฒ่าดื่มน้ำคำหนึ่ง และกล่าวว่า “ข้าสามารถชนะได้ สัจธรรมจรัสของเขาเป็นเพียงนอกรีตเท่านั้นเอง ขณะที่สัจธรรมจรัสของข้าจึงนับเป็นเส้นทางที่โอ่อ่า”

“แต่ว่าสัจธรรมจรัสของเขานั้นดูจะตรงและได้ผลยิ่งกว่า การฝึกปรือมีความรวดเร็ว” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “ขณะที่สัจธรรมจรัสของเจ้าต้องมีการเตรียมการให้พร้อมสรรพ แล้วค่อยๆ ปล่อยออกมา เวลาฝึกปรือคล้ายเอาวัวแก่ๆ มาลากรถอย่างนั้น เชื่องช้ายิ่ง”

“อยากเร็วก็จะไปไม่ถึง” ผู้เฒ่าไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย มั่นใจในสัจธรรมของตนเต็มเปี่ยม และกล่าวว่า “เร็วไปก็จะธาตุไฟเข้าแทรก นี่ไม่ใช่สัจธรรม เป็นเพียงวิธีการที่ไม่ปรกติเท่านั้น”

…………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล