ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล นิยาย บท 2968

สรุปบท ตอนที่ 2968 ความยอดเยี่ยมของโลงศพเซียน: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 2968 ความยอดเยี่ยมของโลงศพเซียน – ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล โดย Internet

บท ตอนที่ 2968 ความยอดเยี่ยมของโลงศพเซียน ของ ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล ในหมวดนิยายAction เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 2968 ความยอดเยี่ยมของโลงศพเซียน

ขณะที่หลี่ชิเย่ละมือกลับมา แขนทั้งสองข้างของหลิ่วเยี่ยนไป๋ยังคงเป็นประกายอยู่ ในเวลานี้ได้ยินเสียงแว้งค์ แว้งค์ แว้งค์ดังขึ้น มองเห็นอักขระยันต์เสมือนดั่งยันต์ที่เป็นวงๆ ล้อมรอบและหมุนไปรอบๆ แขนของนาง แลดูมหัศจรรย์ยิ่งนัก

ในเวลานี้เอง หลิ่วเยี่ยนไป๋ก็รู้สึกว่ามือคู่นี้ของนางสามารถฉีกท้องฟ้าให้ขาดออกจากกันได้ สามารถพลิกแผ่นพสุธาขึ้นมาได้ ในพริบตาเดียวนั้นเอง นางรู้สึกว่าตนเองนั้นมีพลังที่ไม่มีสิ้นสุด เหมือนว่าแม้แต่มังกรแท้จริงนางก็สามารถสังหารมันได้ในพริบตาเดียว

“นี่ นี่ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?” หลิ่วเยี่ยนไป๋เองรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง รู้สึกเหมือนตนเองได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงอย่างนั้น

“ย้อนรอยพรสวรรค์” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “นี่เป็นสิ่งที่เจ้ามีอยู่ในครอบครองแต่เดิม เพียงแต่เจ้าไม่สามารถไปขุดมันขึ้นมาเท่านั้นเอง เป็นข้าที่ช่วยเจ้าล่วงหน้าอีกแรง อนาคตขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้าเองแล้ว หนทางจากนี้ไปยังคงให้เจ้าต้องไปเดินเอง”

“อย่าทำให้การเสียสละของแขนข้างนี้ต้องผิดหวัง” สุดท้าย หลี่ชิเย่ก็ได้พูดเสริมขึ้นเรียบๆ อีกคำหนึ่ง

“ยอดเยี่ยมมาก” กระบือดำขนาดใหญ่ถึงกับทอดถอนใจว่า “ในโลกนี้ผู้ที่สามารถฝึกมือคู่นี้สำเร็จลักษณะเช่นนี้ได้ ที่ข้านึกได้ก็มีเพียงวคนๆ เดียวเท่านั้น”

“เผ่าเจ๋าสือก็เคยเป็นเผ่าใหญ่ที่ยากจะหาใดเทียมในหล้า” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “พรสวรรค์ล้วนรวมศูนย์อยู่ที่มือคู่นั้น หากสามารถฝึกมือคู่นี้ได้สำเร็จ มือเปล่าสามารถฉีกมังกรแท้จริง หมัดไร้รูปสังหารเหล่าเทพ”

“เสียดาย มาวันนี้เผ่าเจ๋าสือได้หายสาบสูญไร้ร่องรอยไปแล้ว ยิ่งสายเลือดบริสุทธิ์ด้วยแล้วไม่สามารถหาได้” หลี่ชิเย่มองไปที่หลิ่วเยี่ยนไป๋ทีหนึ่ง และกล่าวว่า “สิ่งนี้นับว่าเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง และถือเป็นการสืบสานเผ่าเจ๋าสือต่อไป ผู้กล้านิรนาม ไม่อาจ ปล่อยให้ปรัชญาเมธีไร้ผู้สืบทอด”

คำพูดสุดท้ายของหลี่ชิเย่หากจะบ่งชี้ถึงผู้ใด แน่นอน สิ่งนี้หาใช่สิ่งที่พวกของหลิ่วเยี่ยนไป๋สามารถเข้าใจได้อยู่แล้ว

หากแม้กระบือดำขนาดใหญ่รู้เรื่องนี้ แต่ว่า เขาก็ไม่ได้เฉลยเพียงพยักหน้าเท่านั้นเอง

เวลานี้ ต่อให้ไม่มีกระบือดำขนาดใหญ่คอยสอนหลิ่วเยี่ยนไป๋ นางเองก็โค้งคารวะต่อหลี่ชิเย่อย่างลึกซึ้ง เป็นการแสดงความขอบคุณอย่างที่สุดต่อหลี่ชิเย่ ในเวลานี้นางเองก็เข้าใจแล้วว่า ที่หลี่ชิเย่ประทานให้กับนางนั้นเสมือนดั่งเป็นบิดามารดาบังเกิดเกล้า ทำให้นางรู้สึกขอบคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ และจารึกไว้ในใจ

“แหะศิษย์รักของข้า พยายามก็แล้วกัน เจ้ามีพรสวรรค์ บวกกับอาจารย์ที่ยากจะหาใดเทียมในหล้า สัจธรรมที่ไร้เทียมทานนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน ต้องทำให้เจ้าปราศจากผู้ต่อกรทั่วหล้าแน่นอน ให้ปีศาจต้นไม้เฒ่าแหกตาดูเสียบ้างว่า กระบือสุดหล่ออย่างข้ายอดเยี่ยมเพียงใด ศิษย์ที่ข้าสั่งสอนมานั้นต้องกดหัวเขาได้แน่” กระบือดำขนาดใหญ่กล่าวและหัวเราะแหะ แหะ ดูจากท่าทีที่ลำพองของเขานั้น เหมือนว่าได้มองเห็นวันนั้นวันที่ศิษย์ของตนปราศจากผู้ต่อกรทั่วล้าแล้ว

หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ เท่านั้นเอง แน่นอน คิดจะล้ำหน้าปีศาจต้นไม้เฒ่านั้น ยังมีหนทางที่ต้องก้าวเดินไปอีกยาวไกล ใช่ว่าจะง่ายดายปานนี้ แน่นอน เจ้ากระบือดำขนาดใหญ่มีคุณสมบัติแฝงเช่นนั้นอยู่

“แหะปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ข้าก็คงไม่ไปคิดอะไรมากกับของวิเศษอื่นๆ แล้วล่ะ” เวลานี้ เจ้ากระบือดำขนาดใหญ่ได้ทำหัวเราะแหะแหะและกล่าวกับหลี่ชิเย่ว่า “ให้ข้าได้มองดู มองดูโลงศพเซียนลูกนั้นอย่างละเอียดได้หรือไม่? แม้ว่าข้าไม่สามารถครอบครอง แต่ ให้ข้าได้มองดูสักหลายครั้งได้หรือไม่?”

หลี่ชิเย่มองดูกระบือดำขนาดใหญ่ทีหนึ่ง หัวเราะทีหนึ่งและใจกว้างพอที่จะหยิบเอาโลงศพเซียนออกมา

เมื่อโลงศพเซียนถูกนำออกมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกระบือดำขนาดใหญ่ หรือไป่จินหนิงต่างก็รีบล้อมวงเข้ามา พวกเขาล้วนแล้วแต่ต้องการพินิจพิเคราะห์โลงศพเซียนลูกนี้อย่างละเอียดสักครั้ง

ก่อนหน้านั้น พวกเขาล้วนแล้วแต่เคยเห็นโลงศพเซียนมาแล้ว แต่ว่า ไม่ได้ไปมองดูในระยะใกล้ชิดขนาดนี้เท่านั้นเอง

หลิ่วเยี่ยนไป๋และไป่จินหนิงพวกนางทั้งสองไม่ว่าจะไปพินิจพิเคราะห์อย่างไรก็ไร้ประโยชน์ เนื่องจากพวกนางยังก้าวไปไม่ถึงระดับนั้น แม้แต่ราชันแท้จริงที่ปราศจากผู้ต่อกรก็ไม่สามารถทำความบรรลุได้

กลับเป็นเจ้ากระบือดำขนาดใหญ่ที่มีคู่สายตาที่ร้ายกาจมาก หลังจากที่เขาครุ่นคิดพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่ใหญ่ และกล่าวว่า “แหะภายในโลงศพจะเป็นคนเป็นเช่นใดก็ดี เป็นซากศพก็ช่าง ทั้งหมดล้วนไม่สำคัญ อย่างน้อยที่สุดในทัศนะของกระบือสุดหลอมองว่า คุณค่าของมันไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่อยู่ภายในโลงศพ แต่เป็นตัวโลงศพลูกนี้เอง”

คำพูดนี้ของกระบือดำขนาดใหญ่ทำให้หลี่ชิเย่หัวเราะ และไม่อาจไม่ยอมรับว่า เจ้ากระบือดำขนาดใหญ่ตัวนี้ยอดเยี่ยมโดยแท้จริง สายตาคู่นั้นของมันคมมาก เหนือกว่าบรรดาราชันแท้จริงเหล่านั้นมากมายนัก

“แหะท่านปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ บนตัวข้ามีของวิเศษที่ยอดเยี่ยมอยู่หลายชิ้น แลกกับโลงศพเซียนของท่านเป็นอย่างไร?” กระบือดำขนาดใหญ่ที่ลูบคลำโลงศพเซียนลูกนี้ถึงกับน้ำลายไหลยืด ผู้ที่ก้าวมาถึงระดับอย่างเขานั้นมีความเข้าใจเป็นอย่างดีถึงคุณค่าของโลงศพเซียนลูกนี้

หลี่ชิเย่มองดูเขาทีหนึ่ง ยิ้มบางๆ และกล่าวว่า “รวมทั้งของวิเศษชิ้นนั้นของเจ้ารึ?”

ของวิเศษชิ้นนั้นที่หลี่ชิเย่พูดถึงก็คือของวิเศษที่กำเนิดมาคู่กับกระบือดำขนาดใหญ่นั่น พลันที่เขาถือกำเนิดขึ้นก็อยู่คู่กับเขามาโดยตลอดแล้ว

“เรื่องนี้ เรื่องนี้…” กระบือดำขนาดใหญ่ลังเลนิดหนึ่ง กัดฟันและกล่าวว่า “ถ้าหากท่านปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านยอมแลก ข้าก็จะแลกด้วย”

หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา ส่ายหน้าและกล่าวว่า “เรื่องนี้หาใช่ปัญหาว่าข้ายอมหรือไม่ยอมแลก สิ่งนี้กล่าวสำหรับเจ้าแล้วมันไม่คุ้มกัน”

“เหมือนดั่งที่ปีศาจต้นไม้เฒ่าพูดเอาไว้อย่างนั้น ธาตุแท้ภายในเจ้าแกร่ง พื้นฐานก็แน่น เป็นเพราะจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรนั้นยังไม่เข้าที่ การฝึกฝนยังไม่ลึกซึ้งเพียงพอ” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “ขอเพียงเจ้าหมั่นฝึกให้มากพอ และจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรแกร่งพอแล้ว นิสัยที่โง่เขลาและบ้าระห่ำก็จะจางลง เจ้าย่อมสามารถก้าวไปถึงระดับนั้นได้ แม้แต่ล้ำหน้าปีศาจต้นไม้เฒ่าก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…”

“กล่าวสำหรับเจ้าแล้ว เมื่อถึงขั้นนั้นโลงศพเซียนลูกนี้ก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรเช่นนั้น เนื่องจากวิชาประจำตระกูลของเจ้าก็เพียงพอสำหรับเจ้าไปฝึกฝนแล้ว ลักษณะเช่นนี้ก็คล้ายกระดิ่งวัวของเจ้าเมื่อมาอยู่ในมือของข้า ต่อให้ข้าปราศจากผู้ต่อกรมากกว่านี้ แต่ว่า ก็ไม่สามารถสะท้อนคุณค่าของมันออกมาได้ทั้งหมด มีเพียงให้มันอยู่ในมือของเจ้าเท่านั้นจึงสามารถสะท้อนคุณค่าของมันได้อย่างสิ้นเชิง เนื่องจากมันเกิดขึ้นมาเพื่อเจ้า”

เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วหยุดนิดหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “โลกนี้ไม่มีของวิเศษใด เคล็ดวิชาใดปราศจากผู้ต่อกร มีเพียงจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่ปราศจากผู้ต่อกร เมื่อจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเจ้าแกร่งเพียงพอแล้ว ความล้มเหลวเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้นเอง!”

เวลานี้หลี่ชิเย่อาศัยจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรไปพิจารณาโลงศพเซียนโลงนี้ ในขณะนี้จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรก็คือดวงตาดวงหนึ่งที่มองไปยังโลงศพเซียน ไปแอบส่องความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของมัน

ในพริบตาเดียวนั่นเองโลงศพเซียนเหมือนหายตัวไปอย่างนั้น ที่ตรงนั้นไม่ได้มีโลงศพเซียนอีกแล้ว

จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเสมือนดวงตา ดวงตาของหลี่ชิเย่ที่มองไปเหมือนเป็นการไล่ย้อนกลับไปยังอดีต เหมือนเป็นการไล่ย้อนตามวันเวลาขึ้นไป ในพริบตาเดียวนั่นเอง เหมือนว่าหลี่ชิเย่ได้เข้าไปสัมผัสผ่านกาลเวลาที่ยาวนานนั่น

เพียงชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง หลี่ชิเย่เสมือนดั่งได้ผ่านระยะเวลาไปนานนับพันล้านปี เพียงแค่ดีดนิ้วก็ผ่านไปเป็นล้านล้านปี

ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาที่ยาวไกลเช่นนี้ ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะดำรงอยู่ในฐานะแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม ก็ต้องหายวับไปกับตาในชั่วพริบตาเดียวตามวันเวลาที่ได้ไหลเคลื่อนไป ไม่สามารถรองรับกับการขัดเกลาของวันเวลาได้อยู่แล้ว ภายใต้การขัดเกลาของวันเวลานับล้านล้านปี ต่อให้เป็นก้อนหินก็ต้องถูกทำลาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสรรพสิ่งมีชีวิตเลย

แต่ว่า ท่ามกลางวันเวลานับล้านล้านปี จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของหลี่ชิเย่แกร่งจนสุดจะทำลายได้ แม้ว่าการไหลเคลื่อนไปของวันเวลาเป็นล้านล้านปี จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเขาก็ไม่สั่นคลอน ยังคงไหลตามวันเวลาขึ้นไป ด้วยการย้อนกลับขึ้นไปเป็นล้านล้านปี

นี่แหละคือเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดคนอื่นๆ ไม่สามารถบรรลุถึงความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของโลงศพเซียนลูกนี้ เนื่องจากความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของโลงศพเซียนลูกนี้ก็คือการซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางวันเวลา จะต้องย้อนวันเวลากลับขึ้นไป มีเพียงวิธีย้อนวันเวลากลับไปเป็นล้านล้านปีจึงสามารถย้อนติดตามถึงต้นกำเนิดของมันได้ จึงสามารถบรรลุความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของมันได้ มีเพียงทำเช่นนี้จึงสามารถเข้าใจถ่องแท้ได้อย่างแท้จริง

หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ภายใต้การย้อนสายน้ำแห่งกาลเวลาขึ้นไปเช่นนี้ หากไม่เสียสติไปก็ต้องเสียชีวิตไป ดังนั้น ต่อให้พวกเขาแข็งแกร่งมากกว่านี้ก็ยากที่จะบรรลุถึงโลงศพเซียนลูกนี้ได้

ท่ามกลางการย้อนวันเวลากลับไป ปรากฏร่างเงาคนแล้วคนเล่าขึ้นมา เป็นต้นว่าเจียวเหิงที่มีความสง่าผ่าเผยล้ำเลิศในหล้า ผงาดฟ้าปรากฎขึ้นมาอย่างอิสระเสรีคนนั้น และราชันแท้จริงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในหล้า ผู้ทำนายฟ้าดินคนนั้น และหรือเก้าแดน สิบสามทวีป…จากการที่ไล่ย้อนกลับขึ้นไป แม้แต่ร่างเงาของสามเซียนก็เหมือนปรากฎวับๆ แวมๆ ขึ้นมา

ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า ขณะที่ร่างเงาเหล่านี้ลอยขึ้นมานั้น เป็นการบ่งบอกว่าเคยมีผู้ที่ยึดถือมัน เคยมีผู้ที่ครอบครองมันมาก่อ และเคยมีผู้ทำความบรรลุมันมาก่อน

ภายใต้ท้องฟ้าที่คลาคล่ำไปด้วยดวงดาวไร้ขอบเขต มีทางช้างเผือกที่ใหญ่โตมโหฬารสายหนึ่ง ณ ที่ตรงนั้นมีดวงดาวที่แวบวับ ดวงดาวที่ไม่ไม่สิ้นสุดก็คล้ายดังเป็นเพชรอย่างนั้น

ท่ามกลางทางช้างเผือกที่เต็มไปด้วยเพชรที่ไม่มีสิ้นสุดนี้ มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังนอนหลับไหลอยู่ตรงนั้น เหมือนว่านางได้นอนหลับใหลมาเป็นนิรันดร์แล้ว

ขณะที่ท้องฟ้าเบื้องบนของผู้หญิงคนนี้ปรากฏสายฟ้าขึ้น และสายฟ้าที่น่ากลัวนี้เหมือนว่าพร้อมจะถูกเทราดลงมาก็เป็นได้

……………………………………………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล