ราชันอสูรสงครามสะท้านภพ นิยาย บท 3

ปี ค.ศ.2500 เกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นบนโลก อาจด้วยความโลภความไม่รู้จักพอของมนุษย์ มีหลายประเทศต้องสูญสิ้นไป ภูเขาพังทลาย เกาะหลายแห่งจมลงไปในมหาสมุทร   กัมมันตภาพรังสีจากระเบิดนิวเคลียร์กระจายไปทั่วโลก  บางทีมันอาจไม่มีผู้ชนะตั้งแต่ต้น ผู้มีอำนาจที่เหลืออยู่ต่างก็กลายเป็นผู้แพ้ด้วยกันทั้งนั้น ทรัพยากรที่แย่งชิงกันก็ถูกทำลายแทบหมดสิ้น สุดท้ายแล้วหลังจากที่สิ่งมีชีวิตล้มตายเกินครึ่งโลก 

ในขณะที่ความบ้าคลั่งกำลังจะกลืนกินโลกไปนั้นเอง

บนท้องฟ้าก็เกิดเสียงดั้งก้องกังวานขึ้นมา  ดาวหางมากมายร่วงหล่นลงมาเหมือนวันสิ้นโลก 

นี่เป็นเหมือนการลงโทษจากพระเจ้าต่อมนุษย์ผู้ทำลาย สนามแม่เหล็กโลกเกิดเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง กฎต่างๆเหมือนถูกสร้างใหม่  เทคโนโลยีต่างๆรวมทั้งสิ่งก่อสร้างถูกทำลายหมดสิ้น  อารยธรรมเหมือนจะถอยกลับไปในยุคเริ่มต้นอีกครั้ง

หลังจากการทำลายล้างสิ้นสุดลง มนุษย์ส่วนน้อยเพียงสิบเปอร์เซ็นที่รอดจากการลงทัณฑ์จากพระเจ้า  ก็เริ่มออกมาจากที่หลบซ่อน  เพียงแต่ครั้งนี้ โลกได้เปลี่ยนไปจนน่าตะลึง พลังงานบางอย่างที่มาพร้อมกับดาวตกนั้นเป็นพลังงานแบบใหม่แทรกซึมไปทุกแห่ง ผู้คนเรียกมันว่าพลังปราณวิญญาณ 

เศษดาวตกที่ตกลงมากระจายไปทั่วโลกนั้น ล้วนเป็นหยกทั้งสิ้น มันประกอบด้วยกฎเกณฑ์บางอย่าง  หลังจากที่มีคนไปสัมผัสจะสามารถรับรู้ได้ถึงข้อมูลเคล็ดวิชาฝึกปราณต่างๆ ทักษะยุทธ  การสร้างอาคม การจารึก  และการสร้างสมบัติเวท สิ่งเหล่านี้ทำให้มนุษย์พัฒนาศักยภาพตนเองไปได้ไกลมากขึ้น

ทั้งพลังปราณวิญญาณนี้ยังเป็นพลังงานสะอาดไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อโลก  ผู้ฝึกฝนปราณยังมีอายุยืนยาว ทรงพลังกล้าแกร่ง  ดั่งเช่นตำนานเล่าขานของทวยเทพจากยุคโบราณ  เหล่าผู้เหลือรอดต่างตัดสินใจฝังอดีตที่เคยผิดพลาดทิ้งไป  และเริ่มต้นใหม่ด้วยทิศทางที่ต่างจากเดิม   ประวัติศาสตร์แห่งยุคผู้ฝึกปราณได้เริ่มต้นขึ้น

 

 

สองหมื่นปีหลังยุคใหม่

ชายแดนแคว้น ฉู่

            ท่ามกลางกองซากศพเหล่าทหาร  ส่งกลิ่นโลหิตฟุ้งกระจายไปทั่ว ขณะที่เหล่านกแร้งกำลังจิกกินซากศพกันอย่างสบายใจ   มือข้างหนึ่งโผล่พรวดขึ้นมาจากกองซากศพจับคอนกแร้งตัวหนึ่งไว้

แครก! 

มือนั้นบิดหักคอนกแร้งทิ้งแล้วโยนศพมันออกไปด้านข้าง   เด็กหนุ่มคนหนึ่งเส้นผมยุ่งเหยิงเกาะไปด้วยคราบโลหิต  หน้าตาคมคายแต่แฝงด้วยความเยาว์วัย ค่อยๆคลานออกมาจากกองซากศพ เขาใช้ทวนในมือพยุงตัวขึ้นมา พลางใช้มือกุมศีรษะไว้

 

“ ข้าอยู่ที่ไหน ”  เขาบ่นพึมพำออกมาเบาๆ ความทรงจำของเขาทับซ้อนยุ่งเหยิงมาก

ผ่านไป สิบลมหายใจ เขาถึงเริ่มประติดประต่อเรื่องราวทุกอย่างได้

“ ข้าชื่อ เหยียนฮ่าว ”

“ ข้าคือ ตัวแทนตระกูลเหยียน มาออกรบในศึกปกป้องชายแดนแคว้น ฉู่ ”

“ พวกเราแพ้..”

“ แต่ความทรงจำที่เหลือในหัวข้านี่มัน ”  เขาค่อยนึกย้อนถึงเหตุการณ์ต่างๆ 

 

            หลังจากสู้รบจนเหนื่อยอ่อน อยู่ในดงข้าศึก ในขณะที่ท่านแม่ทัพส่งสัญญาณถอยทัพ แต่ตัวเขากลับถูกลอบโจมตีจากทหารองครักษ์ข้างตัว  ดาบเล่มนั้นแทงทะลุอกข้างซ้าย ออกมาครึ่งเล่ม  พลังปราณที่ถูกส่งเข้ามาทำลายหัวใจเขาแตกเป็นเสี่ยงๆ  หลังจากนั้นเพียงหนึ่งลมหายใจเขาก็ค่อยๆทรุดลงไปบนพื้น แล้วก็ภาพทุกอย่างก็ค่อยๆมืดลง   

ในความคิดตอนนั้นมันช่างสับสน  สหายอันประเสริฐที่เติบโตมาด้วยกันดั่งพี่น้องกลับหันอาวุธเข้าหาเขา 

“ เพราะเหตุใด ”  คำถามนี้วนเวียนอยู่ในใจจนสติค่อยๆหายไป

            ในตอนเขาคิดว่ากำลังจะตายนั้นเอง  เขาก็เห็นประตูหยกบานหนึ่งในความมืด  ที่มักจะปรากฏมาในความฝันเขาบ่อยๆตั้งแต่สมัยยังเด็ก 

            “ เจ้ามาแล้วเด็กน้อย ”  เสียงที่ดูแก่ชราดังเข้ามาในความคิดเหยี่ยนฮ่าว

            “ ท่านคือใคร  ข้าอยู่ที่ไหน นี่หรือข้าตายไปแล้ว ” คำถามต่างๆดังขึ้นในใจ  ภาพสุดท้ายที่เหยี่ยนฮ่าวเห็นคือ คมดาบที่แทงทะลุอกข้างซ้ายเขาออกมา หรือที่นี่คือสวรรค์ แต่ทำไมเขาถึงพบเพียงประตูหยกบานเดียว

            เงียบบ

            มีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ  ก่อนที่จะมีเสียงถอนหายใจเบาๆ

            “ ข้าชื่อ ซือคงอู่   ข้าใช้เต๋าแห่งการทำนาย ล่วงรู้ถึงความลับสวรรค์ เวลาแห่งสงครามตัดสิ้นชะตากรรมมวลมนุษย์ทั้งหมดเหลือเพียงแค่สิบสามปี” เสียงชายชราดังขึ้นอีกครั้ง

            !!

            “ สิบสามปีรึ  ท่านรู้ได้อย่างไร ” เหยี่ยนฮ่าวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นด้วยความสับสน

            “ จงดู ! ”  เสียงนั้นดังขึ้น ก่อนที่ภาพมากมายจะปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว

            ภาพกองทัพอสูรมืดจำนวนมากมายมหาศาลเข้ากลืนกินดวงดาว  ทำลายล้างสิ่งมีชีวิตทั้งหมด  ภาพอารยธรรมต่างๆที่สูญสิ้นไป  ภาพดวงอาทิตย์ที่ถูกดูดกลืนจนดับสลาย เหยี่ยนฮ่าวเฝ้าดูเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยจิตใจที่สั่นเทา

            ภาพกองซากศพเหล่านั้น กลับกลายเป็นบุคคลที่เขารัก บิดามารดา ครอบครัว ตระกูลของเขาเอง 

ม่ายยยย!  เสียงกรีดร้องแห่งความคลุ้มคลั่งของเขาดังขึ้น 

ข้าไม่ยินยอมมันต้องไม่เกิดขึ้นเด็ดขาด!!

หลังจากฟื้นคืนสติกลับมาเขาก็กล่าวถามทันที

 “  เหตุใดท่านจึงแสดงภาพเหล่านี้ให้ข้าเห็น ” เหยี่ยนฮ่าวถามขึ้น เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ตัวเขามีพลังเพียงน้อยนิดต่อให้รับรู้เรื่องเหล่านี้ไปก็ไม่มีส่วนช่วยต่อเรื่องราว

 “ ภาระนี้เป็นของเจ้า !! ” เสียงชายชรานั้นสั่นสะเทือนเข้าไปถึงจิตวิญญาณเหยี่ยนฮ่าว  

“ เวลาไม่มีอีกแล้ว เจ้าหลงอยู่ในบ่วงกรรมแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนานเกินไป ข้าจึงต้องใช้พลังส่วนสุดท้ายดึงเจ้าเข้ามาที่นี่ ” สิ้นเสียง  ก็ได้มีภาพตัวตนต่างๆของเหยี่ยนฮ่าวในอดีตชาติ ที่ผ่านการเกิดใหม่ถึงแปดชาติภพ จนถึงภพปัจจุบันซึ่งเป็นภพที่เก้า  ซึ่งได้สร้างความตื่นตะลึงให้เหยี่ยนฮ่าวเป็นอันมาก  ความรู้สึกลึกๆในจิตวิญญาณของเขา  บ่งบอกว่าทุกสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องจริง  นั่นคือชาติก่อนของเขาจริงๆ

เขาใช้เวลาคิดทบทวนซักพักก่อนที่จะถามขึ้น “ ข้าต้องทำอย่างไร  จึงจะมีพลังที่จะปกป้องโลกของข้าได้ ”

 

เสียงนั้นเงียบไปชั่วอึดใจ  ก่อนที่จะมีภาพ แผ่นหลังของบุรุษผู้หนึ่ง ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เขายกแขนขวาขึ้น แล้วกำหมัดชกออกไปเบาๆ 

ตูม!  เพล้ง!

เสียงเหมือนกระจกแตกดังขึ้น  ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่พังทลาย  เกิดหลุมดำขนาดใหญ่ขึ้นแทนที่ท้องฟ้า  พลังทำลายล้างอันมหาศาล ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง ผืนแผ่นดินสั่นไหวเกิดเป็นรอยแยกนับไม่ถ้วน  เหมือนโลกทั้งใบสั่นสะเทือนเพราะไม่สามารถรองรับพลังของบุรุษผู้นี้ได้   ภาพเงาร่างนั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับเหยี่ยนฮ่าวอย่างบอกไม่ถูก  มันค่อยๆจางหายก่อนที่เสียงชายชราจะดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ เจ้าเพียงต้องจำให้ได้ ว่าเจ้าคือใคร ”

            

 หลังสิ้นเสียงของชายชรา ประตูหยกในความคิดของเยี่ยนฮ่าวก็แง้มเปิดออกมา  ตัวเขาถูกดูดเข้าไปทันที  เขารู้สึกเหมือนตัวเองข้ามผ่านทะเลดวงดาว ทะลุกาลเวลาจนมาถึงดาวดวงหนึ่ง

 ในนั้นเขาพบตัวเองกลายเป็นเด็กทารก อยู่ในพระราชวังใหญ่โตมโหฬารมีข้ารับใช้มากมายคอยดูแลตั้งแต่เด็ก  ข้ารับใช้ทุกคนในพระราชวังนั้นล้วนแต่ รูปร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปหลายเท่า มีผมสีแดง ดวงตาสีแดง มีกลิ่นอายสังหารเหมือนผ่านการเข่นฆ่ามานับไม่ถ้วนไม่น่าจะใช่คนบนโลก 

หลังจากที่จำความได้เขาไม่เคยพบพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดมาก่อน  เหล่าข้ารับใช้ในวังสอนให้เขาจับอาวุธตั้งเริ่มหัดเดิน  เข้ารับฝึกฝนการต่อสู้ทุกอย่างดาบ หอก กระบี่ เกาทัณฑ์ด้วยความเข้มงวด  ภาษาอันแตกต่างความรู้ต่างๆที่ไม่คุ้นเคยถูกสอนให้เขา  ด้วยร่างกายที่ทรงพลังตั้งแต่เกิด  พรสวรรค์ในการต่อสู้อันสูงส่ง  ทำให้เขาผ่านการฝึกฝนได้อย่างรวดเร็ว   

ในโลกนี้เหมือนเด็กทุกคนที่เกิดมาจะมีขั้นพลังยุทธอยู่ในระดับรวมปราณตั้งแต่ต้น แตกต่างกับในโลกของเขาที่ต้องเริ่มฝึกฝนจากนักสู้ระดับหนึ่งไปจนถึงระดับเก้าถึงจะทะลวงไปสู้ขั้นรวมปราณได้

จนเมื่ออายุห้าขวบ ขั้นพลังของเขาก็ไต่ระดับไปถึงปราณปฐพีโดยธรรมชาติ ผ่านไปอีกห้าปีตอนเขาอายุสิบขวบเขาก็เสร็จสิ้นการฝึกฝนพื้นฐานทั้งหมด   เวลานี้ซึ่งน่าจะเทียบเท่าระดับปราณนภาบนโลก   ในโลกของเขานั้นปราณนภาเป็นระดับพลังของเจ้าเมืองชั้นสูงเลยทีเดียว   

หลังจากผ่านการทดสอบพร้อมกับเด็กคนอื่นๆนับร้อยคน  ก็ถูกนำตัวไปทิ้งไว้ในสนามรบในโบราณสถานซักแห่ง  ต้องต่อสู้กับสัตว์อสูรต่างมิติอันน่าสะพรึงกลัวรูปร่างใหญ่โต  ตัวเขาในความฝันก็เลือกหอกเป็นอาวุธคู่กายเช่นกัน   ทุกกระบวนท่าของเขารวดเร็ว แม่นยำ รุนแรงสามารถสังหารสัตว์อสูรขนาดยักษ์ได้สบาย 

หลังผ่านการฆ่าฟันนับไม่ถ้วนมาห้าปี  จนกระทั่งเขาเติบโตเป็นเด็กหนุ่ม ในวันนี้พลังสายเลือดของเขาถูกกระตุ้นตื่นขึ้น  เขาสามารถดูดซึมความแข็งแกร่งจากสัตว์อสูรที่สังหารได้  ยิ่งเขาฆ่ามากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น พละกำลังที่ใช้ไปก็ถูกเติมเต็มโดยไม่ต้องพักผ่อน  หลังผ่านการต่อสู้ไปเนิ่นนานหอกเหมือนกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย คนและหอกประสานกันเป็นหนึ่ง  เขาสามารถบุกทะยานสังหารเข้าไปใจกลางกองทัพอสูรนับร้อยอย่างง่ายดาย   

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ  จนกระทั่งสนามรบแห่งนี้  เหลือเพียงกองซากศพของสัตว์อสูรมากมายหลายแสนตัวทับถมกัน  จากนั้นผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งมานำตัวเขากลับไปที่พระราชวังอีกครั้ง

 ที่นั่นเขาได้เจอกับเด็กหนุ่มสาวอีกสิบสี่คนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ละคนเต็มเปี่ยมไปด้วยรังสีสังหารจากการเข่นฆ่านับไม่ถ้วน จากเด็กนับร้อยคนมีเพียง สิบห้าคนเท่านั้นที่ผ่านการทดสอบในเวลาที่กำหนด

 พวกเราถูกนำตัวไปยังวิหารแห่งหนึ่ง ที่ถูกป้องกันอย่างแน่นหนาจากกองทหารนับแสนภายในวิหาร มีแผ่นหินขนาดใหญ่สูงนับร้อยเมตรอยู่สามแผ่น ลอยอยู่ในแท่นตรงกลางวิหาร  แผ่นหินสองแผ่นในนั้นพร่าเลือน เหมือนถูกปกคลุมด้วยหมอกแห่งกฎเกณฑ์ชั้นสูง ไม่ว่าจะเพ่งมองอย่างไรก็ไม่สามารถมองเห็นได้ ซ้ำยังรู้สึกเจ็บดวงตาจนต้องหันสายตาไปทางอื่น

มีเพียงแผ่นหินด้านซ้ายสุด เท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้อย่างชั้นเจนโดยไม่มีหมอกสีดำปกคลุม   พวกข้ารับใช้ในวังพากลุ่มพวกเราไปยังที่แผ่นหินนั้น แล้วจึงถอนตัวออกไป 

บนแผ่นหินแผ่นนั้นประกอบด้วยอักขระลูกน้ำแปลกๆหมุนวนไปมา  ไม่สามารถอ่านออกได้  หลังจากนั้นมีชายชราในชุดนักบวชสีแดง เดินเข้ามาพร้อมถาดสีทอง ที่มีของเหลวสีรุ้งลอยอยู่สิบห้าหยด 

พิธีกรรมสืบทอดได้เริ่มขึ้น หยดของเหลวได้ลอยมาสัมผัสตรงหน้าผากของเด็กทุกคนและถูกดูดซึมเข้าไป  แผ่นหินเบื้องหน้าก็เปล่งประกายออกมา  ข้อมูลจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้าสมองเขาทันที นั่นคือภาพสุดท้ายที่เขาได้เห็น  ความมืดได้เข้ามาครอบครองสติอีกครั้ง  จนไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่เขาก็ถูกปลุกให้ตื่นโดยนกกินศพ

 

“ มันคงไม่ใช่เพียงความฝัน  ข้าสัมผัสได้ถึงความรู้สึกทุกอย่างชัดเจน รสชาติอาหาร กลิ่นคาวโลหิต แม้กระทั่งความรู้สึกตอนต่อสู้  ”

“ เวลาสิบสามปีงั้นรึ  แล้วข้าคือใครกัน ”  เขาบ่นออกมาเบาๆ เพราะภาพเหตุการณ์ที่เขาได้ประสบมา  เหมือนมีพลังบางอย่างปิดกั้นจิตวิญญาณเขาเอาไว้  ให้ไม่ให้รับรู้ถึงตัวตนของเขาในความฝัน ทุกครั้งที่มีผู้เอ่ยนามของเขาภาพเหตุการณ์จะพร่าเลือนไปชั่วขณะทันที

“ ตอนนี้ข้ารู้เพียงข้าต้องแข็งแกร่งขึ้น  ข้าต้องการพลังเพื่อจะปกป้องคนที่ข้ารัก ” เขาตั้งปณิธานขึ้นในใจด้วยความมุ่งมั่น  ลางสังหรณ์บอกเขาว่า ทุกครั้งที่เขาแข็งแกร่งขึ้น ความทรงจำจะค่อยๆฟื้นคืนมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอสูรสงครามสะท้านภพ