ปีศาจสีเลือดนั้น คือสิ่งที่เกิดมาจากความเครียดแค้นแปรเปลี่ยนเป็นคำสาป ซึ่งเป็นสิ่งที่ต่อกรด้วยยากมาก ยิ่งคำสาปนั้นรุนแรงเพียงใด ก็จะยิ่งถูกทำลายได้ยากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะสถานที่แบบป่าต้องสาป ที่มีพลังหยินของไอมารหนาแน่น ส่งผลให้คำสาปทวีความรุนแรงมากขึ้นหลายเท่า
พวกปีศาจสีเลือดที่อาศัยอยู่ภายในนี้นั้น จึงแทบจะกลายเป็นอมตะ เพราะไม่ว่าร่างจะถูกทำลายไปซักเท่าใด แต่หากยังมีต้นตอของคำสาปเหลืออยู่ มันก็จะสามารถใช้เวลาไม่นานในการฟื้นคืนชีพกลับมาได้อีกเรื่อยๆ
และสำหรับผู้ที่โดนปีศาจสีเลือดสิงสู่อย่างเหยี่ยนฮ่าวนั้น แน่นอนว่าตัวเขาก็ต้องได้รับผลกระทบบางอย่างของคำสาปไปด้วย เช่นอุณหภูมิในร่างกายลดต่ำลง โมโหหรือหงุดหงิดง่าย และจะรู้สึกอ่อนแรงยามเมื่อโดนแสงอาทิตย์
เพราะเนื่องจากปีศาจสีเลือดเป็นสิ่งที่เกิดจากพลังงานหยิน จึงสามารถถูกทำลายโดยพลังหยางสุดขั้วจากดวงอาทิตย์ได้ เหตุนี้ถึงต้องดึงดูดพลังชีวิตของมนุษย์เพื่อฟื้นฟูตนเอง
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากหลวงจีนมารก่อนที่จะเริ่มแผนการ
เมื่อมองเห็นเหยี่ยนฮ่าวเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี หลวงจีนมารจึงแสดงท่าทีจริงจังขึ้นแล้วอธิบาย
“ ประสกไม่ต้องวิตกไป ที่อาตมาเคยบอกประสกถึงผลกระทบจากการโดนปีศาจเลือดสิงสู่นั้น จะไม่มีทางเกิดกับประสกเด็ดขาด ”
“ เพราะสถานการณ์ของประสกกับหลานสาวอาตมานั้น เป็นการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม ไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมอีกฝ่ายได้ แถมตอนนี้หลานสาวอาตมาก็ได้รับดวงวิญญาณอีกครึ่งมาแล้ว เมื่อใดนางหลอมรวมได้สำเร็จ แสงอาทิตย์ก็จะไม่ใช่ปัญหาสำหรับนางอีกต่อไป ”
เหยี่ยนฮ่าวมีเหงื่อไหลออกมาจากศีรษะเล็กน้อย
หมายความว่าอย่างไรกันที่แสงอาทิตย์ไม่มีผล วิญญาณร้ายในป่าต้องห้ามต่างก็ได้รับผลกระทบจากแสงอาทิตย์ทั้งนั้น ต่อให้ไม่ถูกทำลายแต่ก็ต้องมีพลังอ่อนแอลงไม่มีข้อยกเว้น นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ดี
“ ประสกไม่ต้องแปลกใจ เมื่อถึงเวลานั้นประสกก็จะรู้เอง ” หลวงจีนมารพูดออกมาเมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดของเหยี่ยนฮ่าว ท่านมองไปยังทิศทางหนึ่งของป่าต้องห้ามด้วยท่าทีเคร่งเครียด
“ ถึงเวลาแล้ว…อาตมาคงต้องแยกจากประสกตรงนี้ ”
เหยี่ยนฮ่าวอึ้งไปเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของหลวงจีนมาร แต่หลังจากขบคิดครู่หนึ่งเขาก็เข้าใจอะไรขึ้นมาได้ทันที
“ ไต้ซือ…ท่านจะไปแก้แค้น ” เขาพูดออกมาเบาๆ
ไม่มีได้มีบทสนทนาต่อจากนั้น มีแต่ความเงียบและเสียงถอนหายใจเบาๆ หลวงจีนมารลอยขึ้นเหนือผืนป่าอย่างช้าๆ แล้วเหาะเหินออกไปทันที
แววตาของท่านค่อยๆเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“ ล้างแค้นงั้นรึ…หากเป็นตัวอาตมาในอดีตคงไม่มีความคิดเช่นนี้ ในตอนนั้นอาตมายังคงเชื่อในความมีเมตตาและการให้อภัย ”
“ แต่เวลานี้มันได้เปลี่ยนไปแล้ว ตั้งแต่วันที่อาตมายอมรับความอ่อนแอของตัวเอง แล้วหลอมรวมเอาจิตมารเข้ามา สิ่งที่หัวใจอาตมาเรียกร้องมาตลอดก็คือการล้างแค้นเท่านั้น ”
จีวรสีขาวของหลวงจีนมารค่อยๆมีเลือดซึมออกมาจนเป็นสีแดงดุจโลหิต อักขระสีดำปรากฏขึ้นเต็มผิวหนัง ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนก็เปลี่ยนเป็นโหดร้าย มุมปากฉีกยิ้มขึ้นอย่างน่ากลัวเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งดังสะท้านไปทั่ว
ฮ่า ฮ่า ฮา
“ เจี่ยสือ!...เจ้าคิดหลอกใช้อาตมาไปสร้างความเสียหายให้เขตแดนสะกดมาร แต่เจ้าคงคิดไม่ถึงหรอกว่าเด็กหนุ่มคนที่เจ้าเจอ จะไม่เพียงช่วยเหลือหลานสาวอาตมาได้สำเร็จ แต่ยังไม่ปล่อยให้ความโลภเข้าครอบงำ ทำให้เขตแดนสะกดมารไม่ได้ผลกระทบแม้แต่น้อย ”
“ ตอนนี้…ได้เวลาสะสางความแค้นของเราแล้ว เจ้าบังอาจวางแผนทำลายชีวิตครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของอาตมา ”
“ วันนี้เจ้าจะได้สัมผัสถึงความน่ากลัวที่แท้จริงของ ร่างพุทธะหมื่นมาร ”
สูดด
วูป!
ในป่าต้องห้ามตอนนี้ ตลอดเส้นทางที่หลวงจีนมารเหาะผ่านไป วิญญาณแค้นทุกตนในรัศมีร้อยลี้ ถูกเปลี่ยนเป็นพายุหมอกสีดำเข้าสู่ปากของฝาเซี่ยงจนหมดสิ้น
อักขระสีดำบนผิวหนัง เริ่มแตกสลายแล้วรวมตัวด้วยกันใหม่ เปลี่ยนเป็นใบหน้าของมารร้ายนับร้อยนับพัน ที่ขู่คำรามด้วยความกราดเกรี้ยว
พายุหมุนสีดำเกิดขึ้นปกครุมรอบตัวของฝ่าเซี่ยง มันได้ทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้าจนราบเป็นหน้ากลอง
โบราณสถานใจกลางป่าต้องห้าม
โรงศพที่ผนึกร่างมารร้ายนอกพิภพเอาไว้ ตอนนี้กำลังถูกกระแทกจากด้านในอย่างรุนแรง โซ่สีดำที่ผนึกโลงศพเอาไว้ ก็ถูกพลังมหาศาลฉีกกระชากจนเกือบจะสลายไป
ร่างของบรรพชนเซียนตอนนี้ ได้ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าต่อสู้กับจอมมารกลืนวิญญาณอย่างดุเดือด
คลื่นพลังปราณจากการปะทะกันของทั้งคู่ ได้สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง ยังดีที่เขตอาคมป้องกันยังคงทำหน้าได้อย่างดีเยี่ยม มิเช่นนั้นโบราณสถานแห่งนี้คงถูกลบหายออกไปแล้ว
“ ท่านปู่…ข้าจะไม่ไหวแล้ว” ไป่ซือเหยาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ในหน้าของนางซีดขาวมีเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก
เวลานี้นางได้ใช้พลังสายเลือดของตนเองเพียงลำพัง ควบคุมร่างของบรรพชนเซียนเข้าต่อสู้กับจอมมารกลืนวิญญาณจนจวนจะถึงขีดจำกัดแล้ว
ผู้คุ้มกันหญิงของนางเอง ก็กำลังรับมือกับผู้อาวุโสพรรคมารที่บุกเข้ามาอย่างสุดความสามารถ
ไป่เทียนหยู่มองสถานการณ์เบื้องหน้าด้วยความปวดร้าว ที่อกเขามีมีดสั้นเล่มหนึ่งปักคาไว้อยู่ รอยเลือดสีดำไหลซึมออกมาเป็นวงกว้าง แสดงให้เห็นถึงพิษที่ร้ายแรง
ผู้อาวุโสตระกูลไป่สองคนที่มีใบหน้าซีดขาว กำลังถ่ายเทลมปราณขับพิษให้อย่างสุดความสามารถ แต่ก็เหมือนทำได้เพียงแค่ยื้อเวลาออกไปเท่านั้น
“ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ” ไป่เทียนหยู่ตั้งคำถามกับตนเองเบาๆ เขานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
ย้อนกลับไปสองชั่วโมงก่อน
ขณะที่ไป่เทียนหวู่ กำลังถ่ายเทโลหิตฟื้นฟูร่างของบรรพชนเซียนตามแผนที่วางเอาไว้ ซึ่งเมื่อใดที่ทำสำเร็จก็จะสามารถควบคุมร่างบรรพชนเซียนกำจัดเจี่ยสือ และพวกสำนักมารที่เหลือให้สิ้นซาก
ด้วยพลังของขอบเขตเซียนเขาไม่มีทางให้พวกมันหนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอสูรสงครามสะท้านภพ