ราชันอสูรสงครามสะท้านภพ นิยาย บท 14

ปีศาจสีเลือดนั้น คือสิ่งที่เกิดมาจากความเครียดแค้นแปรเปลี่ยนเป็นคำสาป  ซึ่งเป็นสิ่งที่ต่อกรด้วยยากมาก  ยิ่งคำสาปนั้นรุนแรงเพียงใด ก็จะยิ่งถูกทำลายได้ยากขึ้นเท่านั้น  โดยเฉพาะสถานที่แบบป่าต้องสาป ที่มีพลังหยินของไอมารหนาแน่น  ส่งผลให้คำสาปทวีความรุนแรงมากขึ้นหลายเท่า

พวกปีศาจสีเลือดที่อาศัยอยู่ภายในนี้นั้น จึงแทบจะกลายเป็นอมตะ เพราะไม่ว่าร่างจะถูกทำลายไปซักเท่าใด  แต่หากยังมีต้นตอของคำสาปเหลืออยู่ มันก็จะสามารถใช้เวลาไม่นานในการฟื้นคืนชีพกลับมาได้อีกเรื่อยๆ

และสำหรับผู้ที่โดนปีศาจสีเลือดสิงสู่อย่างเหยี่ยนฮ่าวนั้น  แน่นอนว่าตัวเขาก็ต้องได้รับผลกระทบบางอย่างของคำสาปไปด้วย เช่นอุณหภูมิในร่างกายลดต่ำลง โมโหหรือหงุดหงิดง่าย และจะรู้สึกอ่อนแรงยามเมื่อโดนแสงอาทิตย์

เพราะเนื่องจากปีศาจสีเลือดเป็นสิ่งที่เกิดจากพลังงานหยิน จึงสามารถถูกทำลายโดยพลังหยางสุดขั้วจากดวงอาทิตย์ได้  เหตุนี้ถึงต้องดึงดูดพลังชีวิตของมนุษย์เพื่อฟื้นฟูตนเอง

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากหลวงจีนมารก่อนที่จะเริ่มแผนการ

 

เมื่อมองเห็นเหยี่ยนฮ่าวเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี  หลวงจีนมารจึงแสดงท่าทีจริงจังขึ้นแล้วอธิบาย

“ ประสกไม่ต้องวิตกไป  ที่อาตมาเคยบอกประสกถึงผลกระทบจากการโดนปีศาจเลือดสิงสู่นั้น จะไม่มีทางเกิดกับประสกเด็ดขาด ”

“ เพราะสถานการณ์ของประสกกับหลานสาวอาตมานั้น เป็นการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม ไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมอีกฝ่ายได้  แถมตอนนี้หลานสาวอาตมาก็ได้รับดวงวิญญาณอีกครึ่งมาแล้ว  เมื่อใดนางหลอมรวมได้สำเร็จ แสงอาทิตย์ก็จะไม่ใช่ปัญหาสำหรับนางอีกต่อไป ”

เหยี่ยนฮ่าวมีเหงื่อไหลออกมาจากศีรษะเล็กน้อย 

หมายความว่าอย่างไรกันที่แสงอาทิตย์ไม่มีผล  วิญญาณร้ายในป่าต้องห้ามต่างก็ได้รับผลกระทบจากแสงอาทิตย์ทั้งนั้น ต่อให้ไม่ถูกทำลายแต่ก็ต้องมีพลังอ่อนแอลงไม่มีข้อยกเว้น นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ดี

“ ประสกไม่ต้องแปลกใจ เมื่อถึงเวลานั้นประสกก็จะรู้เอง ” หลวงจีนมารพูดออกมาเมื่อเห็นสีหน้าครุ่นคิดของเหยี่ยนฮ่าว   ท่านมองไปยังทิศทางหนึ่งของป่าต้องห้ามด้วยท่าทีเคร่งเครียด

 

“ ถึงเวลาแล้ว…อาตมาคงต้องแยกจากประสกตรงนี้ ”

เหยี่ยนฮ่าวอึ้งไปเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของหลวงจีนมาร  แต่หลังจากขบคิดครู่หนึ่งเขาก็เข้าใจอะไรขึ้นมาได้ทันที

“ ไต้ซือ…ท่านจะไปแก้แค้น ” เขาพูดออกมาเบาๆ

 

ไม่มีได้มีบทสนทนาต่อจากนั้น  มีแต่ความเงียบและเสียงถอนหายใจเบาๆ หลวงจีนมารลอยขึ้นเหนือผืนป่าอย่างช้าๆ แล้วเหาะเหินออกไปทันที 

แววตาของท่านค่อยๆเปลี่ยนเป็นเย็นชา

           

 “ ล้างแค้นงั้นรึ…หากเป็นตัวอาตมาในอดีตคงไม่มีความคิดเช่นนี้  ในตอนนั้นอาตมายังคงเชื่อในความมีเมตตาและการให้อภัย ”

            “ แต่เวลานี้มันได้เปลี่ยนไปแล้ว  ตั้งแต่วันที่อาตมายอมรับความอ่อนแอของตัวเอง แล้วหลอมรวมเอาจิตมารเข้ามา  สิ่งที่หัวใจอาตมาเรียกร้องมาตลอดก็คือการล้างแค้นเท่านั้น ”

            จีวรสีขาวของหลวงจีนมารค่อยๆมีเลือดซึมออกมาจนเป็นสีแดงดุจโลหิต  อักขระสีดำปรากฏขึ้นเต็มผิวหนัง  ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนก็เปลี่ยนเป็นโหดร้าย มุมปากฉีกยิ้มขึ้นอย่างน่ากลัวเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งดังสะท้านไปทั่ว

            ฮ่า ฮ่า ฮา

 

“  เจี่ยสือ!...เจ้าคิดหลอกใช้อาตมาไปสร้างความเสียหายให้เขตแดนสะกดมาร  แต่เจ้าคงคิดไม่ถึงหรอกว่าเด็กหนุ่มคนที่เจ้าเจอ จะไม่เพียงช่วยเหลือหลานสาวอาตมาได้สำเร็จ  แต่ยังไม่ปล่อยให้ความโลภเข้าครอบงำ ทำให้เขตแดนสะกดมารไม่ได้ผลกระทบแม้แต่น้อย ”

“ ตอนนี้…ได้เวลาสะสางความแค้นของเราแล้ว  เจ้าบังอาจวางแผนทำลายชีวิตครอบครัวเพียงหนึ่งเดียวของอาตมา ”

“ วันนี้เจ้าจะได้สัมผัสถึงความน่ากลัวที่แท้จริงของ ร่างพุทธะหมื่นมาร ”

สูดด

วูป!

ในป่าต้องห้ามตอนนี้ ตลอดเส้นทางที่หลวงจีนมารเหาะผ่านไป วิญญาณแค้นทุกตนในรัศมีร้อยลี้ ถูกเปลี่ยนเป็นพายุหมอกสีดำเข้าสู่ปากของฝาเซี่ยงจนหมดสิ้น

อักขระสีดำบนผิวหนัง เริ่มแตกสลายแล้วรวมตัวด้วยกันใหม่ เปลี่ยนเป็นใบหน้าของมารร้ายนับร้อยนับพัน ที่ขู่คำรามด้วยความกราดเกรี้ยว

พายุหมุนสีดำเกิดขึ้นปกครุมรอบตัวของฝ่าเซี่ยง  มันได้ทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้าจนราบเป็นหน้ากลอง  

 

โบราณสถานใจกลางป่าต้องห้าม

 

          โรงศพที่ผนึกร่างมารร้ายนอกพิภพเอาไว้  ตอนนี้กำลังถูกกระแทกจากด้านในอย่างรุนแรง  โซ่สีดำที่ผนึกโลงศพเอาไว้ ก็ถูกพลังมหาศาลฉีกกระชากจนเกือบจะสลายไป

           

ร่างของบรรพชนเซียนตอนนี้ ได้ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าต่อสู้กับจอมมารกลืนวิญญาณอย่างดุเดือด

คลื่นพลังปราณจากการปะทะกันของทั้งคู่  ได้สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง   ยังดีที่เขตอาคมป้องกันยังคงทำหน้าได้อย่างดีเยี่ยม  มิเช่นนั้นโบราณสถานแห่งนี้คงถูกลบหายออกไปแล้ว

           

“ ท่านปู่…ข้าจะไม่ไหวแล้ว” ไป่ซือเหยาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง ในหน้าของนางซีดขาวมีเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก  

เวลานี้นางได้ใช้พลังสายเลือดของตนเองเพียงลำพัง ควบคุมร่างของบรรพชนเซียนเข้าต่อสู้กับจอมมารกลืนวิญญาณจนจวนจะถึงขีดจำกัดแล้ว

            ผู้คุ้มกันหญิงของนางเอง ก็กำลังรับมือกับผู้อาวุโสพรรคมารที่บุกเข้ามาอย่างสุดความสามารถ

           

ไป่เทียนหยู่มองสถานการณ์เบื้องหน้าด้วยความปวดร้าว  ที่อกเขามีมีดสั้นเล่มหนึ่งปักคาไว้อยู่ รอยเลือดสีดำไหลซึมออกมาเป็นวงกว้าง แสดงให้เห็นถึงพิษที่ร้ายแรง

            ผู้อาวุโสตระกูลไป่สองคนที่มีใบหน้าซีดขาว กำลังถ่ายเทลมปราณขับพิษให้อย่างสุดความสามารถ แต่ก็เหมือนทำได้เพียงแค่ยื้อเวลาออกไปเท่านั้น

           

“ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ” ไป่เทียนหยู่ตั้งคำถามกับตนเองเบาๆ เขานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้

 

ย้อนกลับไปสองชั่วโมงก่อน

 

          ขณะที่ไป่เทียนหวู่ กำลังถ่ายเทโลหิตฟื้นฟูร่างของบรรพชนเซียนตามแผนที่วางเอาไว้  ซึ่งเมื่อใดที่ทำสำเร็จก็จะสามารถควบคุมร่างบรรพชนเซียนกำจัดเจี่ยสือ และพวกสำนักมารที่เหลือให้สิ้นซาก

ด้วยพลังของขอบเขตเซียนเขาไม่มีทางให้พวกมันหนีรอดไปได้แม้แต่คนเดียว… 

           

บทที่12 ราชันผีดิบ 1

บทที่12 ราชันผีดิบ 2

บทที่12 ราชันผีดิบ 3

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันอสูรสงครามสะท้านภพ