ทำได้ไม่เลว…เมื่อได้ยินคำชมจากอามุนด์ ไคลน์ฝืนยิ้มและตอบอย่างสุภาพ
“ขอบคุณ”
ว่ากันตามตรงชายหนุ่มอยากได้ยินคำสาปมากกว่าคำเยินยอ เพราะนั่นหมายความว่าตนประสบความสำเร็จ
แต่แน่นอนไคลน์เชื่อว่าต่อให้ตนหลบหนีสำเร็จ อามุนด์ก็จะไม่เสียอาการมากนัก เพราะเมื่อพิจารณาจากนิสัยและธรรมชาติของเทพแห่งการกลั่นแกล้งรายนี้ อีกฝ่ายมีแนวโน้มที่จะแสยะยิ้มด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง แม้ภายในใจอาจผิดหวังและเสียดายเล็ก ๆ ก็ตาม
“ฉลาดมากที่เลือกใช้ ‘ประตู’ มาก่อกวนข้า” อามุนด์ยิ้มอย่างไม่ปิดบัง “แต่เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าขณะที่ ‘เปิดประตู’ ข้าจะระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ และคอยกังวลว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้น?”
ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะตอบขึงขัง
“ตอนแรกก็คิดแบบนั้น แต่เมื่อประเมินว่าคุณน่าจะประเมินสภาพจิตใจของผมได้ และเชื่อว่าผมไม่กล้าลงมือระหว่างเปิดประตู จึงใช้จิตวิทยาย้อนกลับเพื่อลองเสี่ยงหาผลลัพธ์”
กลยุทธ์ที่ดีคือลงมือในตอนที่ศัตรูไม่คิดว่าจะลงมือ
ในชีวิตที่แล้วไคลน์มีโอกาสลิ้มรสเกมที่ต้องเค้นความคิดและสติปัญญาในระดับเดียวกัน
“แล้วถ้าข้าคำนึงถึงจุดนั้นด้วยล่ะ?” อามุนด์แสยะยิ้มพลางใช้ข้อนิ้วชี้ขยับกรอบแว่น
ขณะเดียวกันบรรดาหุ่นเชิดของไคลน์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกตัวนำแว่นตาขาเดียวออกจากความว่างเปล่าและสวมไว้บนตาขวา จากนั้นก็จ้องมองมาทางไคลน์โดยพร้อมเพรียง
ฉากดังกล่าวทำให้ชายหนุ่มเย็นสันหลังวาบ ขณะเดียวกันก็พบว่าการเชื่อมต่อระหว่างตนกับหุ่นเชิดขาดสะบั้นลง
“แม้จะพัฒนา แต่ความล้มเหลวก็สมควรได้รับบทลงโทษ” อามุนด์ยิ้มพลางหันหลังและเดินไปทางวิหาร
ขณะมันเดินขึ้นบันไดวิหาร บรรดาหุ่นเชิดของไคลน์ต่างยกโค้งมุมปากพร้อมกับทรุดตัวลงอย่างไร้ชีวิตชีวา ส่งผลให้ดวงวิญญาณไคลน์เกิดการฉีกขาดหนแล้วหนเล่า เส้นเลือดบนหน้าปากปูดโปนจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ท่ามกลางความเจ็บปวด ไคลน์ยืนแน่นิ่งเป็นเวลานานจนกระทั่งสงบลง
ระหว่างนั้นแม้ไคลน์จะยืนแช่ในความมืดนานหลายวินาที แต่กลับไม่ถูกโจมตีโดยสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงหรือเข้าสู่ภาวะถูกปกปิด
อามุนด์ขโมยพลังปกปิดในละแวกนี้ไปตั้งแต่ตอนไหน? ถ้าเราพยายามฆ่าตัวตาย ความคิดดังกล่าวก็คงถูกขโมยเช่นกัน…เรายังเตรียมตัวไม่ดีพอ ยังรู้จักอามุนด์ไม่ดีพอ และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเคยขโมยสิ่งใดมาก่อนหน้านี้บ้าง…ใครจะไปคิดได้ว่าชายคนนั้นจะปล่อย ‘กลางวัน’ ของซากสมรภูมิเทพออกมา…อามุนด์เคยขโมยอะไรมาบ้าง? ถ้าไม่มีข้อมูลนี้ ก็ไม่มีทางเตรียมตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ…แว่นตาขาเดียวเป็นภาชนะในการกักเก็บพลังที่ขโมยมา? หรือมันติดตัวอามุนด์มาตั้งแต่เกิด? ส่งผลให้สามารถนำแว่นออกมาได้ทุกครั้งที่ยึดครองร่างเหยื่อ…ไคลน์ลูบหน้าผาก เดินเข้าไปในวิหาร จ้องอามุนด์ที่ยืนรอหน้าประตูแสงและถามอย่างเป็นกันเอง
“ทำไมถึงมีแว่นตาขาเดียวเยอะนัก เก็บไว้ที่ไหน?”
อามุนด์ลูบแว่นตาขาเดียวที่ตาขวาพลางยิ้ม
“ทำไมเจ้าถึงไม่ถามว่าทำไมทุกร่างโคลนของข้าถึงมีแว่นตา? คิดว่าพวกมันถูกเก็บไว้ที่ไหนล่ะ?”
“…เข้าใจแล้ว” ไคลน์พยักหน้าด้วยความกระจ่าง
อามุนด์หันกลับไปมองประตูแสงที่ยังคงกระเพื่อมคล้ายคลื่นน้ำตลอดเวลา จากนั้นก็กล่าวอย่างเป็นกันเอง
“ข้ามีลางสังหรณ์ว่า ความพยายามของเจ้าเมื่อครู่เป็นเพียงการเตรียมตัว…ยังไม่ได้เอาจริง…กำลังแอบเล่นตุกติกอะไร?”
ไตร่ตรองสักพัก ไคลน์แสยะยิ้ม
“ลองเดาดูสิ”
“ก็พอจะมีในใจอยู่…เจ้าคิดว่าข้าจะเดาถูกไหม?” อามุนด์ถามด้วยความสนใจพลางขยับกรอบแว่น
“อาจจะ…และอาจจะไม่” ไคลน์ตอบคลุมเครือ เดินตามหลังอามุนด์อย่างให้ความร่วมมือ หยุดยืนมองอีกฝ่ายยื่นแขนออกไปกดลงบนบานประตูแสงสีซีด
เหนือบานประตูแสง ระลอกคลื่นน้ำกระเพื่อมในลักษณะที่รุนแรงขึ้น
ผ่านไปราวสิบวินาที ระลอกคลื่นแผ่ปกคลุมพื้นที่โดยรอบ ส่งผลให้ประตูแสงขยายขนาดเป็นสองเท่า
อามุนด์ชำเลืองไคลน์ ส่งสัญญาณบอกให้อีกฝ่ายไปก่อน
ไคลน์มองไปรอบตัวตามสัญชาตญาณ
นอกจุดที่แสงตะเกียงส่องถึง ตะกอนพลังของสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์กำลังส่องแสงระยิบระยับ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นผู้วิเศษในตอนที่มีชีวิต แต่หลังจากมนุษย์กลายเป็นสัตว์ประหลาด พลังส่วนใหญ่มาจากความเสื่อมทรามและความมืด คนกลุ่มนี้จึงไม่ทิ้งตะกอนพลังในยามที่ตาย
“ข้าเกือบลืมไปเลย” อามุนด์ที่มองตามไคลน์ ส่ายหน้าพลางยิ้ม
ทันทีที่สิ้นเสียง กลุ่มตะกอนพลังลอยขึ้นไปในอากาศและหลั่งไหลมารวมกันภายในร่างกายอามุนด์ เหลือทิ้งไว้เพียงจำนวนน้อย
“มนุษย์ที่กลายพันธุ์เป็นสัตว์ประหลาดส่วนใหญ่อยู่บนเส้นทางผู้ฝึกหัด เขาและครอบครัวสามารถเข้าสู่ ‘เขตมืด’ ของเมืองได้” อามุนด์ถอนสายตากลับพลางกล่าวโดยไม่มอง
แม้จะเป็นตะกอนพลังของเส้นทางใกล้เคียง แต่การ ‘กิน’ เข้าไปโดยตรงก็ย่อมต้องเกิดปัญหาไม่ใช่หรือ? เส้นทางใกล้เคียงสามารถสับเปลี่ยนกันในลำดับสูงเท่านั้นไม่ใช่รึไง? กลับมากินตะกอนพลังลำดับต่ำย้อนหลังได้ด้วย? เฝ้ามองด้วยสีหน้าตกตะลึงสักพัก ไคลน์ตัดสินใจถาม
“ทำแบบนี้จะไม่สั่งสมความบ้าหรือ”
และไม่ใช่แค่การสะสมความบ้าในปริมาณน้อย ไคลน์เชื่อว่าหากเป็นตนทำบ้าง คงได้เข้าสู่ภาวะกึ่งเสียสติทันที
“คนอื่นอาจจะใช่” อามุนด์ยิ้ม “แต่กับข้าแล้วไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ