เราเป็นใคร? ไคลน์ที่เตรียมสลายภาพฉายพลันผงะกับคำถาม
มันฝืนควบคุมตัวเองไม่ให้ขมวดคิ้ว จากนั้นก็ถามแทนการตอบ
“คุณไม่ใช่อามุนด์ร่างต้นหรือ”
อามุนด์ที่ยืนขอบหน้าผาแสยะยิ้มพลางก้าวเข้ามา
“แน่นอนว่าไม่ใช่…ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้จักกับร่างต้นและร่างโคลนอื่นๆ ของข้าสินะ”
แม้อามุนด์จะยังมิได้ลงมือ แต่ลำพังการก้าวครั้งเดียวของมันก็มากพอจะสร้างแรงกดดันมหาศาลแก่ไคลน์ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชนะความขี้ขลาดและยืนหยัดปักหลักในตำแหน่งเดิมโดยไม่ก้าวถอยหลัง
ชายหนุ่มอืมในลำคอพลางตอบเสียงต่ำ
“นั่นคือเหตุผลที่ผมแปลกใจว่าทำไมคุณถึงไม่รู้จักผม”
“เจ้าเป็นคนดังหรือ?” อามุนด์ผู้คลานออกจากความมืดถาม ตามด้วยการยกแขนขยับกรอบแว่นตา
มันทำเช่นนั้นหลายวินาทีก่อนจะหยุดมือและพึมพำ
“แถวนี้ไม่มีข้าตนอื่นอยู่อีก…เป็นเพราะไม่มีจริงๆ หรือถูกตัดการเชื่อมต่อกันแน่?”
เกิดอะไรขึ้น? ทำไมอามุนด์ตัวนี้ถึงเป็นเอกเทศ? ไม่สิ เราห้ามเชื่อทุกสิ่งที่มันแสดงออก ไม่มีใครในโลกต้มตุ๋นได้เก่งเท่าอามุนด์อีกแล้ว…หัวใจไคลน์เต้นแรงสักพักก่อนจะสลัดความคิดฟุ้งซ่าน
“ทำไมคุณถึงคลานออกจากใต้ดิน”
อามุนด์ขำแห้งหลังจากสีหน้ากลับเป็นปรกติ
“ลองเดาดูสิ”
สันดานแย่ๆ ไม่เปลี่ยนไปเลยไม่ว่าจะร่างต้นหรือร่างโคลน…ไคลน์ไตร่ตรองสักพักก่อนจะถามหยั่งเชิง
“คุณกำลังค้นหาความลับของโลก”
อามุนด์พยักหน้าแผ่ว
“ไม่ว่าใครก็คงดูออกสินะ”
มันหมุนตัวครึ่งรอบและชี้ไปทางความมืดด้านล่างหน้าผาที่มีอำนาจดูดกลืนแสงสว่าง
“บิดาของข้าเคยคลานออกจากตรงนี้เหมือนกับที่ข้าเพิ่งทำ…จริงสิ มันมีชื่อเรียกอยู่…เจ้าคงเคยได้ยินคำว่า ‘ทะเลแห่งความโกลาหล’ มาบ้างแล้วกระมัง”
ทะเลแห่งความโกลาหล? หนึ่งในเก้าแก่นแท้แห่งต้นกำเนิด? อยู่ใต้ดินเองสินะ…หรือว่าการกัดกร่อนด้านหลังประตูทองแดงจะเกิดจากมัน? ไม่น่าเชื่อว่าเราไขปริศนาอันยิ่งใหญ่ของศาสตร์เร้นลับได้จากการคุยเล่นกับอามุนด์…เทพสุริยันบรรพกาลเคยเป็นสมาชิกทีมวิจัย จากนั้นก็ตกลงไปในทะเลแห่งความโกลาหลและเพิ่งคลานออกมาในยุคสมัยที่สอง? พิจารณาจากสัจธรรมที่ว่า ยิ่งมีลำดับสูงก็ยิ่งอันตราย เขาจึงไม่ได้รับอิทธิพลจากใต้ดินมากนักเนื่องจากเป็นแค่คนธรรมดาในตอนที่ตกลงไป? สมองไคลน์กำลังประมวลผลด้วยความเร็วสูงพร้อมกับสร้างสมมติฐาน
มันตอบหลังจากผ่านไปไม่กี่วินาที
“คุณก็เลยเสี่ยงกระโดดลงไปเพื่อค้นหาประวัติศาสตร์ที่หายไปและความจริงของโลก?”
“ก็ทำนองนั้น” อามุนด์ขยับกรอบแว่นก่อนจะกล่าวตัดพ้อ “แต่ข้าไม่ได้เต็มใจสักเท่าไร”
“หือ?” ไคลน์ใช้เสียงเพื่อเสริมความตกตะลึง
อามุนด์ยิ้ม
“ทุกร่างของข้าล้วนทราบว่าใต้ดินเต็มไปด้วยอันตราย ไม่มีใครต้องการลงไปตามลำพัง พวกเราเคยทดสอบด้วยหลากหลายวิธี หนึ่งในนั้นคือการส่งหุ่นเชิดลงไปแทน แต่ก็ล้มเหลวและไม่มีการตอบสนองใดกลับมาเลย…
“ในที่สุดพวกเราก็ต้องลงคะแนนภายใต้การเป็นสักขีพยานของร่างต้น…โชคร้ายที่ข้าถูกเลือก”
…น่าอัศจรรย์มากที่อามุนด์ยังไม่กลายเป็นบ้า…สมแล้วที่เป็นเทพแห่งการกลั่นแกล้ง แม้แต่ในภารกิจสำรวจก็ยังมีเหยื่อที่ถูกแกล้ง…ไคลน์ฝืนใจไม่ให้ส่งเสียงรำพัน
“หลังจากนั้นคุณก็กระโดดลงไป?”
“ยังจะเป็นอะไรได้อีก? รอให้คนที่เหลือโยนข้าลงไป?” อามุนด์กล่าวพลางผายมือออก
คล้ายกับมันฉุกคิดบางสิ่งได้เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ อามุนด์พึมพำกับตัวเอง
“ทะเลแห่งความโกลาหลทำให้ข้าถูกตัดขาดจากร่างโคลนอื่น? ข้าเป็นอิสระแล้ว?”
เป็นอิสระ…ย้อนกลับไปในตอนที่ยืนหน้าประตูทองแดงใต้โถงแห่งความจริง เรารู้สึกคล้ายกับหนอนวิญญาณทุกตัวในร่างเริ่มมีจิตสำนึกเป็นของตัวเองที่แตกต่างกันไป…คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากสิ่งนั้นจะเกิดกับร่างโคลนอามุนด์ผู้ลงไปสำรวจทะเลแห่งความโกลาหล…ร่างโคลนอามุนด์ตัวนี้น่าจะตบตาร่างต้นได้ไม่มากก็น้อย…ไม่สิ เราห้ามเชื่อทุกสิ่งที่มันพูด…อาศัยประสบการณ์ส่วนตัว ไคลน์พบว่าคำอธิบายของอามุนด์ฟังดูสมเหตุสมผล แต่มันเลือกที่จะไม่เชื่อใจเทพแห่งการหลอกลวง
ชายหนุ่มยิ้ม
“ผมสงสัยว่าคุณอาจกำลังโกหก”
อามุนด์ขยับกรอบแว่นอีกครั้งพลางจ้องไคลน์หัวจรดเท้า
“ข้ามิได้แยแสว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ เพราะต่อให้ข้าต้องการหาพวกพ้องจริง ก็คงไม่เลือกคนที่อ่อนแอเช่นเจ้า”
นั่นสินะ ในยุคสมัยแปดราชาเทวทูต อามุนด์กับเมดีซีเคยใกล้ชิดกัน…ไคลน์ถามต่อไปโดยไม่ปักใจเชื่อคำพูดของอามุนด์ผู้กลายเป็นอิสระ
“ค้นพบสิ่งใดในทะเลแห่งความโกลาหลบ้าง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ