ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ นิยาย บท 1373

สรุปบท ราชันเร้นลับ 1373 : เผชิญหน้า: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 1373 : เผชิญหน้า – ตอนที่ต้องอ่านของ ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ตอนนี้ของ ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายInternetทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ราชันเร้นลับ 1373 : เผชิญหน้า จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ร่างโคลนที่ไคลน์สร้างขึ้นใหม่ เป็นการจำลองจากสภาพในปัจจุบัน ไม่ใช่ดอน·ดันเตส เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ หรือเมอร์ลิน·เฮอร์มิส เพื่อหลีกเลี่ยงอุปสรรคทางจิตใจ

หลังจากหุ่นเชิดของตนเคยถูกอาดัมทำให้กลายพันธุ์ ชายหนุ่มระมัดระวังในแง่มุมดังกล่าวมากขึ้น

จ้องมองร่างโคลนซึ่งมีใบหน้าเหม่อลอยสักพัก ไคลน์ส่งผ่านความคิดบางอย่าง

ทันใดนั้น ร่างโคลนยื่นมือขวาออก ระดมพลังปราสาทต้นกำเนิดพร้อมกับใช้มือจับร่างต้น

หลังจากล้มเหลวอยู่หลายครั้ง ในที่สุดแสงสลัวก็ถูกดึงออกจากร่างต้น

สำเร็จสักที… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ระงับความคิดที่จะทำเช่นนี้ในการต่อสู้จริง

ทั้งที่ร่างต้นไม่มีการต่อต้านแม้แต่น้อย ปล่อยวางทั้งกายและใจ แต่ร่างโคลนซึ่งอาศัยระดับตัวตนและพลังของปราสาทต้นกำเนิด กลับต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะทำสำเร็จ ผ่านการล้มเหลวหลายต่อหลายหน จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในการต่อสู้จริงมันจะสำเร็จได้ยากเย็นเพียงใด

เมื่อตะกอนพลังส่วนเกินถูกขับออกจากร่าง ไคลน์รู้สึกผ่อนคลายในทันที คล้ายกับในที่สุดก็ได้วางของหนักลงหลังจากแบกไว้เป็นเวลานาน

แต่แน่นอน สภาพจิตใจชายหนุ่มเกิดความผันผวนในระดับหนึ่ง เนื่องจากสูญเสียตราประทับทางจิตของซาราธ เจตจำนงในการคืนชีพอย่างแรงกล้าของราชันสวรรค์ฟ้าดินจึงเริ่มรุกล้ำจิตใจ

สิ่งนี้ไม่เกินความคาดหมาย ไคลน์จึงมิได้หวั่นไหว อาศัยการตระหนักรู้ตัวเองซึ่งมีเสถียรภาพในระดับหนึ่ง รวมถึงเจตจำนงอันแน่วแน่และหลักยึดเหนี่ยวที่แข็งแกร่ง ชายหนุ่มค่อยๆ กำราบเจตจำนงของราชันสวรรค์ฟ้าดินและสร้างสมดุลใหม่

ในเวลาเดียวกัน เมื่อตะกอนพลังบริวารเร้นลับที่ไคลน์ยังย่อยไม่เสร็จ โอนถ่ายเข้าไปในร่างกายของร่างโคลน ใบหน้าซึ่งเคยว่างเปล่าเกิดการบิดเบี้ยวกะทันหัน ดวงตากลายเป็นสีดำหมองคล้ำ เครายาวสีขาวงอกปกคลุมริมฝีปาก

ปัจจุบัน ร่างโคลนมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกับซาราธมาก

ทว่า มันมิอาจต้านทานความบ้าคลั่งอันเกิดจากตะกอนพลังบริวารเร้นลับ ร่างกายจึงเกิดแนวโน้มในการแยกตัว หนอนสีใสดีดดิ้นชอนไชออกมาทีละหนึ่ง หนวดรยางค์ผิวเรียบทยอยงอกยาว

คลุ้มคลั่งคาที่

ไคลน์ไม่นิ่งเฉย เพียงขยับนิ้ว ร่างโคลนดังกล่าวก็กลายเป็นหุ่นเชิดของตน

กระบวนการคลุ้มคลั่งจึงหยุดลง

ณ จุดนี้ เรียกได้ว่าการเตรียมตัวของไคลน์เป็นอันเสร็จสิ้น ร่างต้นอยู่ในสถานะย่อยโอสถเสร็จสมบูรณ์ พร้อมแล้วที่จะปรองดองกับเอกลักษณ์ของเดอะฟูล ขณะเดียวกันก็ยังมีหุ่นกระบอกลำดับ 1 บริวารเร้นลับไว้ใช้งาน

ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้ ทบทวนแผนการขั้นถัดไปอีกครั้งอย่างใจเย็น ตรวจสอบว่าตนมองข้ามสิ่งใดไปหรือไม่

สำหรับศึกระหว่างทวยเทพ เราคงทำอะไรไม่ได้มากนัก แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ… ว่าแต่ เราประมาทขั้นตอนแรกเกินไปไหม? เป็นเพราะมีเทพธิดา ผู้ถือครองน้ำจากแม่น้ำอันธการนิรันดร์ คอยช่วยเหลือ? จึงไม่เกรงกลัวการต่อสู้กับอันทีโกนัสเลยสักนิด? หลังจากไตร่ตรองสักพัก ไคลน์พบว่าตนยังขาดความรอบคอบ มีหลายสิ่งที่เลินเล่อและโอหังเกินไป

ครุ่นคิดอยู่หลายวินาที ชายหนุ่มสร้างร่างโคลนที่มีใบหน้าเหม่อลอยเพิ่มเติม

จัดการเสร็จ ไคลน์ลุกขึ้นยืน นำยุบพองหิวโหยออกจากสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์และสวมในมือซ้าย

นี่เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับศึกย่อยซึ่งอาจเกิดขึ้น ในสถานการณ์ดังกล่าว ‘บลิงค์’ ย่อมรวดเร็วและสะดวกกว่า ‘ปลูกถ่าย’

จัดปกเสื้อเสร็จ ชายหนุ่มมองไปรอบตัวอย่างไม่รีบร้อน หยุดสายตาลงที่ประตูแสงประหลาดซึ่งฉาบด้วยสีน้ำเงินเข้ม จากนั้นก็มองต่อไปยังมนุษย์ที่ถูกแขวนอยู่ภายใน ‘รังไหม’

ตรวจสอบทีละคน สายตาไคลน์หยุดลงที่ ‘รังไหม’ โปร่งใสสามอันซึ่งกำลังว่างเปล่า

วินาทีถัดมา ร่างไคลน์เลือนหายไปและโผล่ขึ้นอีกครั้งในสายหมอกประวัติศาสตร์ มันย่างกรายเข้าสู่ช่วงเวลาก่อนยุคสมัยที่หนึ่ง เดินเข้าไปในเมืองเก่าซึ่งมีโครงสร้างหลายชั้น

มันยืนอยู่บนซากอาคารซึ่งทรุดโทรมชนิดที่พร้อมจะถล่มลงได้ทุกเมื่อ สายตาก้มมองซากอาคารบ้านเรือนด้านล่าง ซากรถยนต์ที่ซ้อนทับ รวมถึงซากระบบขนส่งสาธารณะซึ่งถูกทับจนแบน

ท่ามกลางความเงียบ ดวงตาไคลน์กวาดไปทั่วอาคารบ้านเรือนที่เหลือ คล้ายกับพวกมันเดินทางข้ามกำแพงแห่งกาลเวลา หลอดไฟภายในบ้านทยอยสว่างขึ้นทีละหนึ่งดวง

แสงของหลอดไฟแผ่ออกไปทุกทิศอย่างอ่อนโยน สะท้อนกับผิวกระจก มอบแสงสว่างให้แก่อาคาร ถนนหนทาง และซากปรักหักพังเมืองเก่า

หลังจากจดจ้องอยู่สักพัก ไคลน์ถอนสายตากลับ ย่างกรายไปทีละก้าวและกลับสู่โลกแห่งความจริง

ทันทีหลังจากนั้น ชายหนุ่มเทเลพอร์ตไปยังยอดเขาของเทือกเขาโฮนาซิสทันที และได้ ‘เห็น’ วังโบราณที่ปกคลุมด้วยสายหมอก สภาพค่อนข้างทรุดโทรมและมีวัชพืชปกคลุมหนาทึบ

หุ่นเชิดและร่างโคลนปรากฏตัวด้านหน้าไคลน์ประหนึ่งบอดี้การ์ดสองคน Aileen-novel

หันหน้าเข้าหาวังโบราณ ไคลน์กดหมวกทรงสูง ยกมือขวาขึ้นและดีดนิ้ว

บรรยากาศโดยรอบยอดเขาบนเทือกเขาโฮนาซิสมืดลงทันที ดวงตาพร่างพราวปรากฏขึ้นทีละดวง

ไคลน์ทำการ ‘ปลูกถ่าย’ ที่นี่เข้ากับโลกดารา

โดยไม่มัวรีรอ ชายหนุ่มนำหุ่นกระบอกและร่างโคลน เดินเข้าไปในทางเข้าหลักของวังโบราณ

นำหน้าโดยหุ่นเชิดที่รูปลักษณ์เหมือนกับไคลน์ มันโน้มตัวไปข้างหน้า เหยียดแขนออก บรรจงออกแรงผลักประตูหินหนัก

ท่ามกลางเสียงเสียดสี ประตูเปิดแง้มพร้อมกับเผยให้เห็นฉากด้านใน

แตกต่างจากครั้งล่าสุดที่ไคลน์นำ ‘หนังสือทองเหลืองทรันซอสต์’ มาทิ้งไว้ ด้านในมืดมาก จนมองไม่เห็นศพจำนวนมหาศาลที่ถูกแขนไว้บนเพดานห้องโถง และไม่เห็นกลุ่มก้อนหนอนโปร่งใสที่กระจุกตัวอยู่บนเก้าอี้ยักษ์ซึ่งทำจากหิน

โดยไม่ต้องเดาสุ่ม ไคลน์อาศัยสัมผัสวิญญาณของนักทำนายระดับราชาเทวทูต ยืนยันจนมั่นใจว่าสถานการณ์ปัจจุบันเกิดจากฝีมือของ ‘เทพธิดารัตติกาล’ ผู้ใช้น้ำจากแม่น้ำอันธการนิรันดร์เพื่อทำให้บรรพชนอันทีโกนัสอยู่ในสภาพหลับใหล

สถานการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับรายละเอียดในหนังสือ ‘การค้นคว้าร่องรอยอารยธรรมบนยอดเขาหลักของเทือกเขาโฮนาซิส’ ที่ไคลน์เคยอ่าน

แคว้นรัตติกาลอยู่ในการปกครองของ ‘มารดาแห่งผืนนภา’ จากเส้นทางรัตติกาล แต่บนยอดเขาหลักของเทือกเขาโฮนาซิส กลับมีเมืองหุ่นเชิดของบรรพชนตระกูลอันทีโกนัส

ดังนั้น ชาวเมืองแคว้นรัตติกาลจึงเคารพยำเกรง ‘กลางคืน’ และนับถือ ‘มารดาแห่งผืนนภา’ ขณะเดียวกันก็เชื่อว่าความตายไม่ใช่จุดจบของชีวิต ญาติพี่น้องที่ตายไปจะคอยคุ้มครองพวกตนในยามค่ำคืน

ความตายย่อมไม่ใช่จุดจบอยู่แล้ว ในเมื่อมี ‘เมืองคนตาย’ ตั้งอยู่ใกล้กันมากขนาดนี้ – บนยอดเขาหลัก แค่เดินเท้าสักพักก็ไปถึง โดยผู้ตายจะมีชีวิตอยู่ต่อไปในสภาพหุ่นเชิด

ในสายตาคนทั่วไป สถานะดังกล่าวเทียบเท่าการมีชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย

แคว้นของคนเป็นและเมืองของคนตายอยู่ห่างกันแค่ปลายถนนสองฝั่ง ชาวเมืองอาศัยร่วมกับคนตายประหนึ่งเพื่อนบ้าน

สิ่งนี้ยังอธิบายได้ว่า เหตุใดแคว้นรัตติกาลถึงไม่มีสุสาน นั่นเพราะคนตายไม่จำเป็นต้องถูกฝัง พวกมันกลายเป็นหุ่นเชิดที่มุ่งหน้าไปยังยอดเขา

ที่นี่คือแคว้นรัตติกาลในอดีตไม่ผิดแน่… ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบา ไต่ขึ้นไปจนถึงยอดเขาท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันมืดมิด

ภาพแรกที่เห็นคือเมืองซึ่งดูปรกติ เพียงแต่ชาวเมืองทุกคนเป็นหุ่นเชิด

หลังจากเดินผ่านหุ่นเชิดที่มีรูปลักษณ์ต่างกัน แต่งกายต่างกัน ไคลน์เข้าไปในตำหนักอันงดงามซึ่งคล้ายกับสร้างเพื่อสรรเสริญทวยเทพ

ในส่วนลึกของตำหนัก บนเก้าอี้หินยักษ์ ร่างหนึ่งกำลังวางศอกลงบนที่พักแขน ศีรษะเอนพิงพนักเก้าอี้

ใบหน้าค่อนข้างอ่อนเยาว์ แต่ผมยาวเป็นสีขาวกว่าครึ่ง ครึ่งหนึ่งถูกปิด เผยให้เห็นเพียงครึ่งเดียว รูปลักษณ์เป็นเพศชาย ดวงตาซึ่งมีสีเข้มกว่าซาราธ เปี่ยมเต็มไปด้วยผันผวนอันยากอธิบาย หน้าตาค่อนไปทางหล่อเหลา แต่บนแก้มมีขนสั้นสีดำหนาขึ้นเป็นกระจุกคล้ายหมาป่า มอบความรู้สึกขัดแย้งระหว่างแก่และหนุ่ม มีสติและเสียสติ

ไม่ใช่ใครนอกจากบรรพชนตระกูลอันทีโกนัส ในคราวนี้ มันไม่ได้ปรากฏตัวในรูปลักษณ์ของสัตว์ในตำนานเหมือนทุกที เพียงนั่งอยู่บนเก้าอี้หินยักษ์ด้วยรูปลักษณ์ดั้งเดิม

ปัจจุบัน ดวงตาของมันกำลังปิดสนิทราวกับหลับใหลชั่วนิรันดร์ ภายในห้องโถงมีศพที่แต่งกายด้วยชุดหรูหราและธรรมดาถูกแขวนอยู่

พวกมันเป็นราวกับผืนป่ากลับหัว ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา แกว่งไกวไปตามสายลม

หลังจากถูกส่งเข้าสู่ภาวะหลับใหล บรรพชนตระกูลอันทีโกนัสสูญเสียสถานะคลุ้มคลั่งและกลับสู่สภาพเดิม? ไคลน์ยืนอยู่กึ่งกลางห้องโถง จ้องมองเป้าหมายของตนพลางถอนหายใจ

แคว้นรัตติกาลและเมืองคนตายที่ชายหนุ่มได้เห็น ทั้งหมดคือความฝันของอันทีโกนัส

ความฝันอันยาวนานนับพันปี

………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ