แม้ที่นี่จะเป็นโลกในหนังสือการเดินทางของกรอซาย สามารถเกิดเรื่องมหัศจรรย์แบบใดขึ้นก็ได้ แต่รายละเอียดเพียงเล็กน้อยก็สามารถบ่งชี้ถึงปัญหาบางอย่างได้เช่นกัน!
สำหรับไคลน์ สิ่งที่แปลกไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนเข้าใจคำพูด แต่เป็นหลักการที่ ‘ช่วย’ ทำให้ทุกคนเข้าใจความหมายตรงกัน
น่าแปลก… นี่เป็นกฎของโลก หรือว่าเบื้องหลังจะมีบุคคลที่ถือครองอำนาจเหนือทุกสิ่งคอยแปลภาษาให้? เหมือนกับเราในชุมนุมทาโรต์… ถ้าเป็นอย่างแรก ภาษาคนยักษ์จะไม่คุ้นหูสำหรับคนที่ไม่เคยฟัง แต่สามารถเข้าใจได้ แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง คนฟังจะรู้สึกคุ้นเคย… เนื่องจากเป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาโบราณและภาษาที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์เร้นลับ ไคลน์จึงมิอาจระบุได้ชัดเจนว่าเป็นกรณีไหน ชายหนุ่มตัดสินใจลดฝีเท้าลง เดินด้วยความเร็วเท่าเดนิส ลดระดับเสียงถาม
“นายได้ยินกรอซายพูดภาษาอะไร”
เดนิสชะงัก ทำท่านึก
“ภาษาที่ฟังดูคุ้นเคย แต่ก็เหมือนจะไม่คุ้นเท่าไร… แต่ฉันสามารถเข้าใจความหมายทั้งหมดได้”
ภาษาในศาสตร์เร้นลับที่เดนิสคุ้นเคยคือเฮอร์มิสโบราณและเอลฟ์ ส่วนภาษาคนยักษ์ยังมีความรู้เพียงพื้นฐาน
เข้าใจแล้ว โลกใบนี้มีกฎการแปลภาษาร่วมกัน… เป็นการแปลความหมายระดับจิตใต้สำนึก… หรือกล่าวได้ว่า โลกของหนังสือสามารถมีกฎที่แตกต่างจากโลกภายนอก สามารถเปลี่ยนแปลง ‘กฎธรรมชาติ’ ได้บางส่วน แต่ก็ไม่ฉีกไปจากกฎของโลกภายนอกมากนัก… คงต้องตรวจสอบเพิ่มเติมเพื่อยืนยันเรื่องนี้ให้แน่ใจ อย่าเพิ่งตัดความเป็นไปได้ในเรื่องอื่นออก ยกตัวอย่างเช่น การมีตัวตนแบบ ‘เดอะฟูล’ คอยแปลภาษาใส่จิตใต้สำนึกของทุกคน… เอ็ดวิน่าหลักแหลมมาก สามารถพบความผิดปรกติในรายละเอียดเพียงเล็กน้อย จนนำไปสู่การค้นหาแก่นของโลกภายในหนังสือ… ขณะครุ่นคิด ไคลน์เดินเข้าไปในถ้ำขนาดใหญ่ที่มืดสลัวอย่างไม่รีบร้อน
สำหรับประวัติศาสตร์พิสดารที่ชาวค่ายเล่าให้เอ็ดวิน่าฟัง ไคลน์ไม่ประหลาดใจสักเท่าไร ตรงกันข้าม ชายหนุ่มกำลังรอฟังอย่างสนใจ
ไคลน์ทราบมานานแล้วว่า โบสถ์หลักและอาณาจักรบนทวีปเหนือล้วนพยายามทำลายหรือปกปิดข้อมูลบางอย่าง ไม่อยากให้ใครทราบความจริงเบื้องหลังยุคสมัยที่สี่ สาม และสอง เนื้อหาที่ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลกจึงแตกต่างจากข้อมูลที่ชาวค่ายรับรู้ พวกเขาติดอยู่ในหนังสือนานหลายปีโดยไม่ได้ออกไปสัมผัสกับโลกภายนอก
นั่นคือหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ไคลน์ตัดสินใจเสี่ยงเข้ามาในโลกหนังสือ!
ภายในถ้ำกว้างและอากาศโปร่ง สิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์สามคนกำลังกระจายตัวรอบกองไฟที่ยังคงมอบความร้อน
คนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีขาวเรียบง่าย หันหน้าเข้าหาผนังถ้ำ ดวงตาสองข้างปิดสนิท สวดวิงวอนบางสิ่งอย่างตั้งใจ พิจารณาจากภายนอก อีกฝ่ายเป็นชายวัยกลางคนที่ยังไม่แก่มาก บนใบหน้ามีริ้วรอยเล็กน้อย ผมสีน้ำตาล ตามหัวไหล่ แขน น่อง และเท้า เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น
ถัดมาด้านข้างเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังนอนหลับบนก้อนหิน สวมชุดเกราะสีดำสนิท มอบความรู้สึกหนักและแข็ง ในมือถือดาบสีดำแผ่แสงเย็นยะเยือก ใบหน้าชัดลึกคล้ายกับชาวโลเอ็น
ฝั่งตรงข้ามคนทั้งสองเป็นชายอายุราวสามสิบ แต่งกายพิลึก มอบความรู้สึกชวนอึดอัดแก่ผู้พบเห็น สวมหมวกแหลมทรงแข็งสีดำ กระดุมเสื้อยุ่งเหยิง ไม่เรียงเป็นเส้นตรงหรือสมมาตร
นอกจากนั้นยังสวมรองเท้าบูตหนังหัวแหลมและโค้งขึ้น คล้ายกับตัวตลกในคณะละครสัตว์
ใบหน้าหล่อเหลา เส้นผมสีทองอมเทา ดวงตาสีน้ำตาลเข้ม จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากบางเรียว ถึงจะอยู่ในท่านั่งก็ยังมอบความรู้สึกสง่างามและเย่อหยิ่ง
เอ็ดวิน่าชี้ไปทางชายคนดังกล่าวและเริ่มแนะนำตัว
“ไวเคาต์แห่งจักรวรรดิโซโลมอน โมเบธ·โซโรอาสเตอร์ สุภาพบุรุษผู้สามารถพรากความฝันและอุดมคติของผู้อื่น”
“ไม่ต้องอ้อมค้อมขนาดนั้น สวัสดี ข้าคือลำดับ 5 แห่งเส้นทางนักจารกรรม ‘นักชิงฝัน’ ” โมเบธหัวเราะ มิได้เย่อหยิ่งเหมือนภายนอก
คนของตระกูลโซโรอาสเตอร์… เทวทูตปรสิตในตัวเลียวนาร์ดเองก็มาจากตระกูลนี้ พวกเขาอาจจะรู้จักกันก็ได้… ช่างน่าขัน ตอนนี้เรารู้จักชื่อของทั้งลำดับ 5 และ 4 แห่งเส้นทางนักจารกรรม แต่กลับยังไม่มีข้อมูลของลำดับ 7 กับ 6 เลย… ไคลน์ครุ่นคิดหลายสิ่งด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ขณะเดียวกัน แอนเดอร์สันยิ้มทักทายและถามอย่างเป็นกันเอง
“ขอสารภาพตามตรง ฉันเพิ่งเคยได้ยินชื่อ ‘นักชิงฝัน’ เป็นครั้งแรก เดิมทีรู้จักแต่ ‘นักจารกรรม’ และ ‘นักต้มตุ๋น’ … ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกสองลำดับที่หายไปคืออะไร”
“ผู้วิเศษเส้นทางนี้หายากขนาดนั้นเชียว? แต่ทำไมเอ็ดวิน่าถึงทราบ? ลำดับ 7 มีชื่อว่า ‘นักถอดรหัส’ ลำดับ 6 คือ ‘นักชิงไฟ’ ฮะฮะ! มา… เดี๋ยวข้าช่วยแนะนำคนที่เหลือให้เอง” โมเบธชี้ไปทางชายผู้กำลังหันหลังสวดภาวนา “นักบวชเคร่งศาสนา สโนวมัน ศรัทธาในพระผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง มหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลัง… อย่าได้ถือสาเขาเลย ถึงจะเอาแต่ปิดกั้นตัวเองและจมอยู่กับความเชื่อ แต่ในยามต่อสู้ เจ้านั่นคือพวกพ้องที่ไว้ใจได้ เฮ้! สโนวมัน ในเวลาแบบนี้ ข้าคิดว่าเจ้าควรพูดอะไรกับพวกเขาหน่อยนะ”
หลังจากไม่ได้รับการตอบสนองใด โมเบธเพียงยิ้มแห้งและลูบคาง
“ข้าต้องเจออะไรแบบนี้ทุกวัน… พวกเจ้าคงจินตนาการไม่ออก ข้ามาถึงที่นี่ด้วยความโอหัง เย่อหยิ่งตามประสาขุนนางผู้มีการศึกษาสูง แต่กาลเวลาได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง… ฮะฮะ! โดยเฉพาะเมื่อพวกพ้องของเจ้าเป็นคนยักษ์ที่รู้จักแค่การหัวเราะและตะโกนปลุกใจล่ะนะ”
กล่าวจบ กรอซายที่นั่งบนก้อนหินใหญ่ หันมายิ้มให้ทุกคนอย่างจริงใจพลางยกมือเกาหัว ดวงตาแนวตั้งหนึ่งดวงปราศจากความดุร้ายและดูแคลน แตกต่างจากในข่าวลือโดยสิ้นเชิง
โมเบธส่ายหน้า ชี้ไปทางนักบวชสโนวมันและเล่าต่อ
“สโนวมันเป็นคนพูดน้อย บางทีอาจไม่คุยกับใครเลยนานนับสิบปี ส่วนเอลฟ์หญิงตรงนั้น เซียธาส เป็นผู้หญิงป่าเถื่อน ถ้าเกิดหงุดหงิดขึ้นมาก็จะลงไม้ลงมือกับข้าทันที เฮ่อ… ข้าเคยชอบหล่อน แต่ตอนนี้ทำได้แค่กลัว… ข้าพยายามชวนทุกคนคุย เพราะเกรงว่าตัวเองจะกลายเป็นบ้าไปเสียก่อน… แต่โชคยังดี ภายหลังมีรอนเซลตามมาสมทบ เขาเป็นคนช่างพูด เฮ้! รอนเซล ตื่นได้แล้ว! พวกเรามีเพื่อนร่วมทางเพิ่ม!”
อัศวินเกราะดำค่อย ๆ ตื่นจากภวังค์หลับ ลืมตาขึ้น มองไปทางไคลน์และคนที่เหลือ
ทันใดนั้น รอนเซลพลันลุกพรวดจนเกิดเสียงโลหะเสียดสี จ้องไคลน์อย่างไม่กะพริบตา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ