“เล่าให้ผมฟังอย่างละเอียด ถึงขั้นตอนการทำมัมมี่ของอาณาจักรที่ราบสูงโบราณ”
ขณะกล่าว แผ่นกระดาษถูกเปลวไฟสีแดงเข้มลุกไหม้ กลายเป็นเศษขี้เถ้าเล็กๆ พร้อมกับร่วงกราวลงพื้น
มาริคมองไปทางชารอน ครุ่นคิดสักพักก่อนจะตอบ
“ขั้นแรก ทิ้งศพไว้สามถึงห้าวัน ใช้เทคนิคบางอย่างทำให้ตะกอนพลังควบแน่นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ผสานเข้ากับร่างกายของฟาโรห์จนเกิดเป็นสมบัติปิดผนึก… ขั้นที่สอง ประกอบพิธีกรรมชำระล้าง นำศพไปวางไว้บนแท่นบูชา สวดวิงวอนถึงเทพผู้ถูกล่าม ภาวนาให้พลังวิญญาณครึ่งหนึ่งของคนตายยังอยู่กับร่างกาย วิธีนี้จะไม่ทำให้บุตรแห่งเทพฟื้นคืนชีพ แต่จะช่วยให้พลังวิญญาณติดอยู่กับศพเป็นเวลานาน… ขั้นที่สาม อาศัยพลังพิเศษและวิธีการบางอย่าง นำสมอง อวัยวะภายใน และของเหลวในร่างกายออกจากศพ เหลือไว้เพียงหัวใจ… ขั้นที่สี่ บรรจุผงและยาวิเศษบางชนิดเข้าไปในศพ เปลี่ยนให้ศพอยู่ในสภาพปราศจากของเหลวโดยสมบูรณ์… ขั้นที่ห้า เติมผงและยาวิเศษเข้าไปเพิ่ม ตกแต่งศพให้พร้อมสำหรับพิธีกรรม จากนั้นก็พันด้วยผ้าลินิน บรรจุใส่โลง… ขั้นที่หก อวัยวะภายในที่ถูกนำออกมา จะถูกทำแบบเดียวกับขั้นตอนที่สี่เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในพิธีกรรม วางไว้ตามสี่มุมของโลงศพ… เช่นเดียวกันกับสมองและของเหลวในร่างกาย สมองจะถูกบดละเอียดและผสมกับสารละลาย จากนั้นก็ผสมเข้ากับของเหลว… ภายในโลงศพจะมีช่องว่างสำหรับถ่ายเทอากาศ ทำราวกับศพยังมีชีวิตอยู่… วิธีนี้จะช่วยดึงพลังพลังวิญญาณจากโลกวิญญาณและสภาพแวดล้อมเข้ามาในโลงศพ ช่วยให้มัมมี่ของฟาโรห์สามารถคงอยู่ได้นานหลายพันปี กลายเป็นวัตถุที่อัดแน่นด้วยพลังวิญญาณ สามารถนำมาใช้สร้างซอมบี้ที่ทรงพลัง”
ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ช่วยให้ผู้วิเศษใกล้เคียงแข็งแกร่งขึ้น… ชักอยากรู้แล้วว่า นักปรุงยาใช้เวทมนตร์ใดทำให้เศษดินเหล่านี้ยังมีพลังวิญญาณแฝงอยู่… อา ขั้นตอนการทำมัมมี่แตกต่างจากโลกเก่าโดยสิ้นเชิง มีความเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์มากกว่า… ไคลน์ฟังอย่างตั้งใจ วิเคราะห์คร่าวๆ ว่าตนสามารถใช้มัมมี่มาเป็นส่วนหนึ่งของแผนได้หรือไม่
อย่างไรก็ดี มัมมี่ตูตันส์ที่สองคือวัตถุดิบสำคัญสำหรับงานวิจัย หากเลือกได้คงไม่มีใครอยากทำลายทิ้ง… ไคลน์ไตร่ตรองสักพัก หันไปมองชารอนที่กลับไปนั่งเก้าอี้สูง ถามด้วยสีหน้าขึงขัง
“คุณกระโดดกระจกได้ไกลที่สุดแค่ไหน?”
ชารอนในท่านั่งหลังตรง ตอบกลับโดยไม่เสียเวลาคิด
“สามร้อยเมตร”
เหลือเฟือ… ไกลกว่ากระโจนไฟของเราเสียอีก… แต่นั่นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะแก่นสำคัญของวิญญาณอาฆาตคือการไปไหนมาไหนอย่างไร้ร่องรอย ส่วนกระโจนไฟของนักมายากลเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการแสดงกล… อา ไม่เลว เราใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้… ไคลน์รำพันเงียบ
แม้ว่าตนจะเคยมีหุ่นเชิดวิญญาณอาฆาต แต่ก็ไม่ทราบขีดจำกัดสูงสุดของ ‘กระโดดกระจก’ เพราะก่อนที่จะถึงขีดจำกัด หุ่นเชิดจะหลุดออกจากระยะควบคุมของร่างต้น กลางเป็นเพียงศพที่ไม่เคลื่อนไหว ส่งผลให้พลัง ‘กระโดดกระจก’ ล้มเหลวกลางคัน
ไคลน์ถามอีกสองสามประโยค เริ่มวางแผนในใจตามข้อมูล จนกระทั่งได้ข้อสรุป จึงมองสลับไปมาระหว่างชารอนและมาริค ตามด้วยพูดเสียงขรึม
“พวกเรามีโอกาสขโมยมัมมี่ตูตันส์สำเร็จ แม้จะมีความเสี่ยง แต่ก็ไม่มากนัก… แน่นอน นี่คือในกรณีที่พวกคุณฟังคำสั่งผม ให้ผมเป็นผู้นำในภารกิจเต็มตัว… เมื่อใดที่คุณสองคนคิดว่าคำสั่งไม่สมเหตุสมผล สามารถยกเลิกแผนการและถอนตัวกลับได้ทันที นั่นเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมของพวกคุณ แต่ต้องไม่ลืมจ่ายค่าจ้างผม”
หากเป็นเมื่อก่อน มาริคคงตอบปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด มันและชารอนต่างเป็นผู้วิเศษลำดับกลางที่มีประสบการณ์โชกโชน มีความแข็งแกร่งในระดับไม่ธรรมดา แล้วจะให้ฟังคำสั่งของผู้วิเศษหน้าใหม่ที่เคยจ้างพวกตนเป็นบอดี้การ์ดได้อย่างไร? แต่เมื่อพิจารณาจากการร่วมมือกันในคราวก่อน พิจารณาจากสติปัญญาและสมบัติวิเศษที่เชอร์ล็อก·โมเรียตี้ถือครอง มาริคเกิดความประทับใจพอสมควร มองอีกฝ่ายเท่าเทียมโดยไม่รู้ตัว ยิ่งเมื่อข่าวคราวของเกอร์มัน·สแปร์โรว์แพร่สะพัดไปทั่วท้องทะเล มันประหลาดใจอย่างมาก เชื่อว่าอีกฝ่ายกลายเป็นหนึ่งในผู้วิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดใต้ครึ่งเทพเรียบร้อยแล้ว ในโลกของศาสตร์เร้นลับ ผู้วิเศษที่แข็งแกร่งกว่าย่อมมีอำนาจมากกว่า
และเมื่อมีอำนาจมากกว่า ผู้วิเศษคนอื่นต้องเชื่อฟัง!
นอกจากนั้น เขายังมี ‘เทเลพอร์ต’ … มาริคหวนนึกถึงวิธีที่เชอร์ล็อกปรากฏตัว ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ว่า อีกฝ่ายค่อนข้างมั่นใจในพลังของตัวเอง บางที ภารกิจนี้อาจมีโอกาสสำเร็จตามที่อีกฝ่ายพูด
มันหันหน้าไปมองชารอน
คนทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน
“ตกลง” ชารอนตอบโดยปราศจากความลังเลในดวงตาสีฟ้า
ไคลน์เผยรอยยิ้ม
“ส่วนต้องทำอย่างไรบ้างนั้น ไว้ผมจะอธิบายคุณเมื่อไปถึงสถานที่จริง”
นับตั้งแต่ตอนแรกที่ปรากฏตัว ไคลน์จงใจแสดงพลัง ‘ท่องเที่ยว’ และเผยวิธีติดต่อกับ ‘ตัวตนลึกลับ’ เพื่อสืบข้อมูล จุดประสงค์เพื่อทำให้ทั้งชารอนและมาริคไม่เคลือบแคลงในฝีมือของตน รวมถึงการยอมมอบอำนาจสั่งการอย่างเบ็ดเสร็จ
ในฐานะนักเชิดหุ่น แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีหุ่นเชิด แต่กฎเหล็กคือการคอยชักใยให้การแสดงดำเนินไปตามแผนของตน!
สำหรับไคลน์ เหตุผลที่รับทำภารกิจในคราวนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากช่วยชารอนและมาริค อีกส่วนหนึ่งเพราะต้องการใช้โอกาสอันหายากเพื่อ ‘ชักใย’ การแสดงด้วยมือตัวเอง ทำให้โอสถย่อยได้เร็วขึ้น!
กล่าวได้ว่า การปรากฏตัวของอามุนด์ในเบ็คลันด์ รวมถึงการต้องเผชิญหน้ากับ ‘ผู้ชม’ เมื่อไม่นานมานี้ ช่วยให้ไคลน์ที่ปราศจากหุ่นเชิดเข้าใจเกี่ยวกับกฎเหล็กของนักเชิดหุ่นที่ตัวเองสรุปไว้มากขึ้น และสามารถนำมาปรับใช้กับการ ‘ชักใยการแสดง’ เพื่อดำเนินแผนการให้ตรงตามจุดประสงค์ของตัวเองอย่างแยบยล
ความคิดในหัวไคลน์ก็คือ
ถึงจะไม่มีหุ่นเชิด แต่ตนยังสามารถออกแบบกระแสของเหตุการณ์ผ่านการสั่งงานพวกพ้อง ผ่านการใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อม อาศัยทุกปัจจัยเอื้ออำนวยให้เกิดผลลัพธ์ที่ต้องการ สร้าง ‘ละครหุ่นเชิดในชีวิตจริง’ ที่ตนเป็นผู้กำกับ
นักเชิดหุ่นไม่จำเป็นต้อง ‘เชิด’ ผ่านด้ายวิญญาณเพียงอย่างเดียว!
และพฤติกรรมก่อนหน้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของละครหุ่นเชิด!
เฉกเช่นอามุนด์ ลำพังการปรากฏตัวของ ‘ท่าน’ ก็มากพอจะทำให้กรุงเบ็คลันด์เกิดแรงกระเพื่อมเป็นวงกว้าง สามารถทำให้เราและพาลีส·โซโรอาสเตอร์ต้องรอดู ‘ท่าน’ เหวี่ยงแท่งไม้วาทยกร… ไคลน์ถอนหายใจเงียบ ขณะเดียวกันก็ได้ยินคำตอบจากชารอนและมาริค
“ตกลง”
…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันเร้นลับ Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ