ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 10

ตอนที่ 10 สะพานนี้อยู่ที่ใด?

เขาบอกว่าตนไม่เข้าใจ หนิวโหย่วเต้าจึงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจไปเสีย มิเช่นนั้นหากบอกเด็กจากหมู่บ้านในป่าเขาคนหนึ่งสามารถเข้าใจเรื่องพวกนี้ก็ออกจะเหลวไหลไปเสียหน่อย

คุยเล่นเรื่อยเปื่อยกันอีกสักพัก หนิวโหย่วเต้าจึงกลับเข้าเรือน

เดินเล่นภายในเรือนอยู่พักหนึ่ง เขาก็เข้าไปใน ‘โถงดอกท้อ’ นั่งลงบนเบาะกลม พลางดึงตะกร้าสานใบเล็กด้านข้างที่ใส่ของจิปาถะไว้เข้ามา ด้านในมีข้าวของจำพวกเข็มด้ายและกรรไกร แล้วก็ยังมีคันฉ่องสัมฤทธิ์อีกสองบานด้วย ดูเผินๆ ล้วนเป็นของใช้ในชีวิตประจำวันทั้งสิ้น ไม่มีจุดผิดแผกสะดุดตาอะไร ทว่าคันฉ่องบานหนึ่งในนั้นคือคันฉ่องที่เขาพกพามาด้วยบานนั้น

สิ่งที่ตงกัวเฮ่าหรานฝากฝังไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ เขากลับวางไว้ส่งเดชเช่นนี้ นั่นมิใช่เพราะที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดหรอกหรือ หากเก็บซ่อนไว้มิดชิดเกินไปแล้วถูกผู้อื่นค้นเจอเข้าคงทำให้เกิดความสงสัยเป็นแน่

เขาถือคันฉ่องไว้ในมือพลางพลิกดู เจ้าสิ่งที่ไม่รู้ควรจะทำอย่างไรกับมันชิ้นนี้ทำให้เขาค่อนข้างกลุ้มใจ

เห็นได้ชัดว่าคำสั่งเสียของตงกัวเฮ่าหรานนั้นไม่ธรรมดา เพราะอีกฝ่ายเอาชีวิตของตัวเองมาฝากฝังไว้กับเขา การที่เขาสามารถเป็นที่นับหน้าถือตาในวงการได้ถึงขนาดนั้นเมื่อครั้งที่อยู่ในโลกที่แล้ว ย่อมเป็นเพราะในใจเขามี ‘ศีลธรรม’ สองคำนี้อยู่ ทว่าถังมู่ตายไปแล้ว ตงกัวเฮ่าหรานกำชับไว้นักหนาว่าต้องมอบสิ่งนี้ให้ถังมู่เท่านั้น ห้ามให้บุคคลอื่นทราบ จุดนี้ทำให้เขาลำบากใจยิ่ง

เขาเองก็ลังเลว่าจะมอบสิ่งนี้ให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ดีหรือเปล่า เหตุผลที่ลังเลเป็นเพราะคำสั่งเสียของตงกัวเฮ่าหราน แล้วก็เป็นเพราะสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ปฏิบัติต่อเขาได้ย่ำแย่จริงๆ เอาแต่กักบริเวณเขามาตลอดจนถึงตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงอยากจะตรวจสอบคันฉ่องสัมฤทธิ์บานนี้อย่างละเอียดเสียหน่อย ดูว่าเขาจะไขปริศนาในตัวมันได้หรือไม่ จากนั้นค่อยดูสถานการณ์ว่าจะส่งมอบมันให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์หรือไม่

ทว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเผาไฟ แช่น้ำ ส่องแสง เคาะฟังเสียง เขาลองใช้สารพัดวิธีกับคันฉ่องสัมฤทธิ์บานนี้แล้ว แต่ก็ไม่พบเบาะแสใดๆ เลย คันฉ่องบานนี้คล้ายเป็นเนื้อเดียวกันทั้งบาน เมื่อฟังจากเสียงที่เคาะแล้ว คล้ายด้านในไม่มีร่องรอยของกลไกใดๆ

ตอนนี้เขาสงสัยเล็กน้อยว่าคันฉ่องสัมฤทธิ์บานนี้จะเป็นแค่สิ่งของที่ใช้เป็นหลักฐานยืนยันอะไรทำนองนั้นหรือเปล่า

พลิกไปพลิกมาตรวจสอบดู สุดท้ายก็ยังเหมือนเดิม ไม่พบอะไรเลย หนิวโหย่วเต้าแยกเขี้ยว โยนคันฉ่องกลับไปในตะกร้าใบเล็ก

จากนั้นก็ฝึกฝนร่างกายอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน เช่น ยกน้ำหนัก ฉีกขา ดึงเชือก โหนคาน ตีลังกา มิใช่ว่าต้องการฝึกให้ร่างกายสูงใหญ่บึกบึนแต่อย่างใด หากแต่ต้องการฝึกฝนความยืดหยุ่นของร่างกาย จากประสบการณ์ในการทำงานของเขา ทำให้เขาทราบดีว่าหากปลดล็อกทักษะการโจมตีและการป้องกันตัวของแขนขาและลำตัวบางส่วนได้ เมื่อถึงคราวที่จำเป็นต้องป้องกันตัวในยามคับขัน มันจะช่วยให้เอาชีวิตรอดได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่ได้ยินมาจากหมู่บ้านหรือในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ มันก็ล้วนพิสูจน์ให้เห็นว่าโลกใบนี้ตกอยู่ในความวุ่นวาย ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เขาต้องพยายามเตรียมตัวล่วงหน้าเผื่อเกิดเหตุคับขันในอนาคตขึ้น

การฝึกฝนแบ่งเป็นบุ๋นบู๊ นอกจากฝึกฝนวิชาและสมรรถภาพร่างกายแล้ว ยามว่างเขาก็จะไปรื้อหาพู่กันหมึกกระดาษและจานฝนหมึกภายในเรือนเพื่อฝึกเขียนตัวอักษรเสี่ยวจ้วนที่ใช้กันแพร่หลายในโลกนี้ คัดเลียนแบบจากม้วนตำราบางส่วน สำหรับ ‘นักโบราณคดีอาวุโส’ อย่างเขาแล้ว การจะจำแนกแยกแยะตัวอักษรเสี่ยวจ้วนนั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย ลายมือของเขาเองก็ไม่เลวเช่นกัน แต่เขายังไม่เคยใช้พู่กันเขียนอักษรเสี่ยวจ้วนอย่างเป็นจริงเป็นจังมาก่อน ทิศทางการจรดปลายพู่กันเองก็แตกต่างจากตัวอักษรแบบอื่น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องฝึกฝน

โชคดีที่ทักษะการเขียนพู่กันของเขาดีเป็นทุนเดิม เริ่มแรกมีผิดรูปผิดรอยอยู่บ้าง แต่ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงเดือนเดียวก็เข้ารูปเข้ารอยแล้ว

ข้างชั้นหนังสือมีเตาถ่านอยู่ พอเขียนเสร็จก็จะเผาผลงานของตนทิ้ง

สิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการฝึกคัดอักษรของเขา สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีอยู่พร้อมพรั่ง นี่ถือเป็นข้อดีจากการที่ซ่งเหยี่ยนชิงมีความสุข

ถูกกักบริเวณมาจนถึงตอนนี้ ด้วยความสามารถที่มีอยู่ในตอนนี้ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่น แต่เขาก็จัดการให้ทุกๆ วันของตนมีอะไรทำอยู่เต็มไปหมด…

วันต่อมา เก้าอี้เอนหลังใหม่เอี่ยมที่ยังคงมีกลิ่นหอมของไม้กระจายออกมาตัวหนึ่งถูกวางเอาไว้ใต้ต้นท้อ เพียงมองแวบเดียวก็รู้ว่าทำขึ้นมาใหม่

เฉินกุยซั่วชี้เก้าอี้เอนหลังพลางหยักคิ้วหลิ่วตา เอ่ยกับหนิวโหย่วเต้าว่า “ศิษย์น้องเล็ก เก้าอี้เอนหลังที่เจ้าต้องการมาแล้ว”

หนิวโหย่วเต้าไม่คิดเลยว่าเขาจะมีประสิทธิภาพในการทำงานที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ คาดว่าคงเป็นเพราะจะนำเก้าอี้มาให้ตัวเฉินกุยซั่วใช้เอง จึงประสานมือพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณศิษย์พี่เฉิน”

ครั้งนี้ซ่งเหยี่ยนชิงที่ไม่ได้พบกันเสียนานก็มาด้วย ท่าทางดูอารมณ์ดี พอเห็นหนิวโหย่วเต้าก็ยิ้มแย้มขึ้นมา เผยความขี้เล่นในรอยยิ้ม เจือความร้ายกาจอยู่เล็กน้อย เขาตบไหล่หนิวโหย่วเต้าพลางเอ่ยถาม “ศิษย์น้องเล็ก อยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง?”

หนิวโหย่วเต้าตอบ “สบายดีๆๆ ของกินอร่อยกว่าในหมู่บ้านนับหมื่นเท่า แต่อุดอู้อยู่ที่นี่ออกไปเดินเล่นไม่ได้ รู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง”

ซ่งเหยี่ยนชิงเอ่ยอย่างร่าเริง “เจ้าเพิ่งมาได้ไม่นาน สงบใจไปก่อน หากสงบใจไม่ได้จะบำเพ็ญเพียรได้อย่างไร? วางใจเถอะ ต่อไปเจ้าได้ออกไปเดินแน่” พูดจบก็เอามือไพล่หลังเดินไปที่ริมผา ทอดสายตามองไปยังวังสวรรค์พิสุทธิ์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เผยสีหน้าวาดฝันจินตนาการงดงาม แต่ก็มีการขมวดคิ้วใช้ความคิดบ้างเป็นครั้งคราว สุดท้ายถอนหายใจคราหนึ่ง “น่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง!”

หนิวโหย่วเต้าเดินเข้าไปหา เอ่ยด้วยความสงสัย “ศิษย์พี่ซ่ง เมืองหลวงทำไมเหรอ?”

ซ่งเหยี่ยนชิงเอ่ยรำพัน “ป่าเขากันดาร ไม่อาจเทียบความรุ่มรวยด้านโคลงกลอนศิลป์กวีในเมืองหลวงได้!”

หนิวโหย่วเต้างงงันขึ้นมาทันที โคลงกลอนศิลป์กวีอย่างนั้นหรือ? คนในเส้นทางบำเพ็ญเพียรอย่างเจ้ามารำพึงรำพันถึงโคลงกลอนศิลป์กวี นี่มันหมายความว่าอย่างไร?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า