ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 9

ตอนที่ 9 ใกล้จะมีเรื่องมงคล

พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปเกือบหนึ่งเดือนอีกครั้ง หนิวโหย่วเต้ากระจ่างขึ้นเรื่อยๆ แล้วว่าตนถูกกักบริเวณ ก็เหมือนอย่างที่ซ่งเหยี่ยนชิงพูดเอาไว้ เขาทำได้แค่เตร่ไปเตร่มาอยู่ในเรือนและด้านนอก ไม่ได้รับอนุญาตให้ลงไปจากเขาแม้เพียงก้าวเดียว ที่บอกว่าเพิ่งเข้าสำนักอย่าวิ่งวุ่นวาย เขาคิดว่าเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น หากเป็นแค่กฎสำนักจริงดั่งว่า จำเป็นต้องให้คนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเฝ้าด้านนอกด้วยหรือ?

เขาแน่ใจว่าเรื่องนี้ต้องมีปัญหาอะไรอยู่แน่ แต่เขายังไม่รู้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เท่าไรนัก จับต้นชนปลายไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เด็กหนุ่มตัวเล็กๆ อย่างเขาจะทำตัวโอหังได้ เขาทำได้เพียงเดินหน้าไปทีละก้าวด้วยความอดทน สิ่งเดียวที่มีสิทธิ์ทำคือฝึกฝนขัดเกลาตัวเอง รอคอยให้ปริศนาที่ไม่รู้คำตอบนี้คลี่คลายในสักวันหนึ่ง

ท้องฟ้ายามราตรีมีหมู่ดาวส่องสกาว บนตั่งภายในห้องไร้คนนอนหนุน ทว่าข้างตั่งมีคนผู้หนึ่งทำท่าหกสูงอยู่บนพื้น

หนิวโหย่วเต้าเปลือยกายท่อนบนมือข้างหนึ่งถือกระบี่ยันพื้น อาศัยตัวกระบี่ยืดกายชี้ตรงขึ้นไปบนฟ้า มองเห็นท่อนแขนสั่นระริกอยู่เล็กน้อย ราวกับกำลังพยายามควบคุมสมดุลร่างกาย เมื่อแขนข้างนี้ยืนหยัดต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ ตัวคนจึงสลับมือจับด้ามกระบี่กลางอากาศ ร่างกายโคลงเคลงเล็กน้อย พยายามควบคุมไว้อีกครั้ง สิ่งที่ฝึกฝนอยู่ไม่ใช่แค่กำลังแขน เรียกได้ว่าเป็นการฝึกฝนทักษะ ทักษะในการรักษาสมดุลร่างกาย ในด้านการประสานงานกันของกล้ามเนื้อแต่ละมัดกับร่างกายยังมีอะไรอีกหลายอย่างให้เรียนรู้

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือการฝึกฝนเจตน์กระบี่ สิ่งที่ต้องฝึกคือการประสานร่างกายและจิตใจกับกระบี่ หรือก็คือสภาวะคนกระบี่ผสานเป็นหนึ่ง เมื่อบรรลุถึงสภาวะนี้แล้ว ยามที่กวัดแกว่งควบคุมกระบี่ในมืออีกครั้งย่อมทำได้อย่างอิสระเสรี ขยับเพียงเล็กน้อยก็สามารถควบคุมได้ดั่งใจ

วิธีนี้เป็นแนวทางฝึกฝนกระบี่แบบพิเศษของเคล็ดวิชา ‘เอกะวิถี’ ซึ่งหัวใจหลักของแนวทางนี้เรียกว่า ‘จิตบงกชโกลาหล’ ขณะที่ร่างกายอยู่ในท่าหกสูงจะทำให้โลหิตไหลย้อนกลับลงสู่ศีรษะ เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า จะทำให้คนมึนงงสับสน ส่วนท่าหกสูงเสมือนดอกบัวตูม เมื่อฝึกฝนสำเร็จย่อมผลิบาน

ความยากลำบากของการฝึกฝนในช่วงแรกเพียงแค่นึกดูก็คงจะรู้ แต่เมื่อควบคุมได้ดั่งใจนึก จะสามารถรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตำแหน่งที่รองรับน้ำหนักกระบี่ได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ผลดีที่มีต่อการควบคุมกระบี่ในอนาคตมีมากมายจนเอ่ยได้ไม่หมด

ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงเดือนเดียวก็สามารถยันกระบี่หกสูงได้ ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่อันที่จริงแล้วนี่เป็นการพัฒนาที่รวดเร็วอย่างยิ่ง ในอดีตตอนที่หนิวโหย่วเต้าฝึกฝน เขาเสียเวลาไปกว่าหนึ่งปีถึงฝึกฝนจนมาถึงขั้นนี้ได้ แต่ถึงอย่างไรก็เคยผ่านมาครั้งหนึ่งแล้ว ประสบการณ์และสิ่งที่ได้เรียนรู้มามักจะเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุด เขามีความรู้สึกและประสบการณ์ตรงนี้ จึงรู้ว่าควรทำอย่างไร รู้ว่าควรฝึกฝนอย่างไร ข้ามช่วงลองผิดลองถูกไปเลย เมื่อลงมือฝึกฝนจึงกลายเป็นว่าลงทุนน้อยแต่ได้กำไรมหาศาล

ทว่ายืนหยัดได้แค่ครึ่งชั่วยามหนิวโหย่วเต้าก็เหงื่อไหลพรากดั่งฝนพรำ ใบหน้าแดงก่ำ เหงื่อไหลหยดลงมาจากศีรษะ ย้อยไปตามมือที่ถือกระบี่อยู่ ไหลจากกระบี่หยดลงพื้นเปียกเป็นวงกว้าง

สุดท้ายร่างกายส่ายโงนเงน ต่อให้มีประสบการณ์ในการฝึกฝนแค่ไหน แต่ด้วยกำลังแขนในตอนนี้ เขาก็ไม่อาจยืนหยัดได้นานนัก จำเป็นต้องพับตัวปล่อยขาทั้งสองข้างลงมา ค้ำกระบี่หายใจเข้าลึกๆ ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยๆ ปรับสภาพร่างกาย

เขาไม่กล้าขยับเขยื้อนกระบี่มากเกินไป ด้วยเกรงว่าจะทำให้คนด้านนอกรู้ตัว จึงค่อยๆ สอดกระบี่กลับเข้าฝัก ดึงผ้าขนหนูมาซับเหงื่อบนร่าง สวมเสื้อผ้า ยืดแขนยืดขา นั่งขัดสมาธิบนตั่ง เข้าสู่ฌานสมาธิอย่างรวดเร็ว ลืมเลือนความอ่อนล้าบนร่างกาย ปรับลมหายใจไปตามวิธีเดินลมปราณ…

แสงทิวาส่องสลัว รุ่งอรุณมาเยือน

เมื่อเทียบกับตอนที่เริ่มฝึกเมื่อหนึ่งเดือนก่อนแล้ว ลมหายใจเข้าออกของหนิวโย่วเต้าที่นั่งสมาธิอยู่บนตั่งมีความลึกและทอดยาวมากขึ้นเรื่อยๆ ยามหายใจเข้าดุจสายนทีไหลเชี่ยวถ่ายเทเข้าสู่อวัยวะตันทั้งห้าอวัยวะกลวงทั้งหก ยามหายใจออกเอื่อยรินดั่งสาวไหมจากดักแด้ คล้ายกำลังกลั่นกรองบางสิ่งออกไปทีละน้อย

เมื่อรุ่งอรุณมาเยือน ท้องฟ้าสว่างไสว ดวงตะวันค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากขอบฟ้า แสงทองส่องอำไพไกลหมื่นจั้ง ยามที่สรรพสิ่งตื่นขึ้นส่งผลให้หนิวโหย่วเต้ารู้สึกหงุดหงิดใจอยู่บ้าง ด้วยทราบดีว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าฌานบำเพ็ญเพียรผ่านพ้นไปแล้ว ค่อยๆ เก็บลมปราณจากนั้นจึงลืมตาขึ้น

พอลุกจากตั่งก็ยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย ความอ่อนล้าจากการหกสูงเมื่อคืนสลายไปกับอากาศ รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า

ไม่ใช่ว่าพอผ่านพ้นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับบำเพ็ญเพียรไปแล้วจะไม่สามารถบำเพ็ญเพียรต่อไปได้ หากแต่เป็นเพราะว่าตอนนี้ร่างกายของเด็กหนุ่มยังเติบโตไม่เต็มที่ ยังอยู่ในช่วงเจริญวัย เป็นช่วงอายุที่ชอบขยับเขยื้อนร่างกายมากที่สุด ความเคยชินตามธรรมชาติยากจะปรับแก้ได้ เป็นช่วงอายุที่เลือดลมได้รับผลกระทบจากดินฟ้าอากาศได้ง่ายที่สุด ดังนั้นเพียงแค่ฝึกฝนในช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการบำเพ็ญเพียรก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องฝืนไขว่คว้าเกินไป อีกอย่าง ด้านนอกมาส่งอาหารตรงเวลา หากเขาเอาแต่ปิดประตูไว้ตลอดไม่ยอมออกไป เกรงว่าจะก่อให้เกิดความสงสัยเอาได้

เด็กหนุ่มบ้านป่าคนหนึ่งทราบวิธีฝึกบำเพ็ญได้อย่างไร? ประกอบกับไม่รู้แน่ชัดว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีทัศนคติต่อตนเช่นใดกันแน่ เรื่องบางอย่างอย่าเผยออกไปจะดีกว่า ตอนนี้ยังไม่มีความสามารถพอจะปกป้องตัวเองได้ มากเรื่องมิสู้น้อยเรื่อง รอดูสถานการณ์ให้กระจ่างแล้วค่อยตัดสินใจอีกทีดีกว่า

ในเรือนมีสายน้ำที่ดึงมาจากน้ำพุบนเขาไหลผ่าน หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จเรียบร้อย หนิวโหย่วเต้าเปิดประตูเรือนก้าวออกมาตามเวลาเดิม ใต้ต้นท้อคือสวี่อี่เทียนที่นั่งขัดสมาธิเฝ้ายามอยู่ทั้งคืน

เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู สวี่อี่เทียนหันมามองแวบหนึ่ง ค่อยๆ ลุกขึ้นมา

หนิวโหย่วเต้าเดินเข้าไปทักทาย ทั้งสองคุยกันได้ไม่กี่ประโยค เฉินกุยซั่วก็หิ้วกล่องสำรับขึ้นเขามา ถือเป็นการมาเปลี่ยนเวรด้วย

สวี่อี่เทียนจากไป และจะกลับมาอีกครั้งช่วงส่งอาหารกลางวัน ส่วนเฉินกุยซั่วจะมาอีกครั้งในช่วงส่งอาหารเย็น สรุปคือทั้งสองสลับสับเปลี่ยนกันเฝ้ายามและนำอาหารมาส่ง

สำนักสวรรค์พิสุทธิ์จับตามองอย่างเข้มงวดเช่นนี้ หากหนิวโหย่วเต้ายังมองไม่ออกมาว่ามีปัญหาแฝงอยู่ เช่นนั้นช่วงเวลาที่ตัวเขาที่เป็นเต้าเหยี่ยคลุกคลีอยู่ในวงการมานานหลายปีก็คงจะถือว่าสูญเปล่า

รู้ก็ส่วนรู้ หนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่ได้เปิดโปงเช่นกัน เขาเปิดกล่องสำรับแล้วจัดการอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า