ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 8

ตอนที่ 8 มีสิทธิ์ขึ้นเป็นเจ้าสำนัก

เมื่อลองกวัดแกว่งกระบี่ในมืออีกครั้ง เขาก็พบว่าคนไม่เคยฝึกก็คือคนที่ไม่เคยฝึกอยู่ดี ข้อมือทนรับการกวัดแกว่งกระบี่ไม่ไหว องศาในการตวัดหากไม่คุ้นชินจะทำร้ายกล้ามเนื้อและกระดูกได้ง่ายๆ กระบี่ยาวกลับเข้าฝัก เขาขยับข้อมือ ขบคิดว่าต้องเริ่มฝึกฝนการยืดกระดูกคลายเส้นเอ็นสักหน่อย ร่างกายยังเยาว์วัย ฝึกตอนนี้ยังทันการ

เขายกมือไพล่หลังค่อยๆ เดินสำรวจภายในเรือน เรื่องการฝึกฝนยังคงอยู่ในใจ ทว่าก็จำเป็นต้องเตรียมความสามารถสำหรับป้องกันตัวเองเอาไว้ด้วยเช่นกัน มิเช่นนั้นจะถูกคนอื่นรังแกได้ง่ายๆ อยู่ร่ำไป ความรู้สึกที่ต้องกลายเป็นเต่าหดหัวนั้นไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย ดั่งที่กล่าวกันไว้ว่าลูกผู้ชายต้องยืดได้หดได้ แต่จะหดไปตลอดก็คงไม่ได้กระมัง?

เมื่อพบห้องที่เหมาะสมห้องหนึ่งแล้ว จึงพักอยู่ที่ห้องนี้ชั่วคราว อย่างไรเสียตอนนี้เขาก็ว่างไม่มีอะไรทำ จึงนั่งขัดสมาธิ ฝึกวิชา ‘เอกะวิถี’ ที่ตนเองเคยฝึกเมื่อในอดีตอย่างเงียบๆ วิชานี้เขาแตกฉานมานานแล้ว จึงเริ่มฝึกฝนมันด้วยความคุ้นเคย เขาดั้นด้นทนลำบากมาจนถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เป็นเพราะเห็นความสามารถของตงกัวเฮ่าหรานมาแล้ว ต้องการมาที่นี่เพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาที่สูงส่งลึกล้ำกว่านี้ แต่ตอนนี้เห็นทีว่าคงไม่ง่ายดายเช่นนั้น จึงทำได้เพียงฝึกฝนด้วยตัวเองไปก่อนชั่วคราว พยายามป้องกันตัวให้ได้

ส่วนความเป็นมาของเคล็ดวิชา ‘เอกะวิถี’ ที่เขาฝึกฝน เคล็ดวิชานี้เขาค้นพบในสุสานโบราณแห่งหนึ่งเมื่อสมัยที่เขาทำงานสำรวจโบราณสถานใต้ดิน ซากศพเจ้าของสุสานอยู่ในท่านั่งสมาธิ ถือกลักหยกใบหนึ่งไว้ ด้านในบรรจุจารึกทองคำอยู่สามสี่แผ่น เนื้อหาที่บันทึกเอาไว้คือเคล็ดวิชาบำเพ็ญเพียร ‘เอกะวิถี’ หลังจากศึกษาค้นคว้าอย่างลำบากลำบน พลิกอ่านศึกษาถอดความตำราโบราณไม่รู้มากมายแค่ไหน ต่อมาถึงได้ฝึกฝนจนสำเร็จ ได้รับสมญานามในวงการว่า ‘เต้าเหยี่ย’

แต่เขายังไม่พอใจ เหตุผลก็ง่ายดายยิ่ง เนื้อหาในจารึกทองคำไม่กี่แผ่นนั้นมีจำกัด บันทึกไว้เพียงเคล็ดฝึกปราณบทหนึ่งและเคล็ดวิชากระบี่แขนงหนึ่ง จากข้อสรุปอันน่ามหัศจรรย์ที่ได้จากการตีความบทนำของเคล็ดวิชา ผลลัพธ์หลังจากฝึกฝนสำเร็จก็น่าจะทำให้เขาทรงอิทธิฤทธิ์เหาะเหินดำดินได้ แค่คิดก็ทำให้จิตใจคนเบิกบานแล้ว แต่เคล็ดฝึกปราณและเคล็ดวิชากระบี่บทนั้นช่างอยู่ห่างไกลจนเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบรรลุถึงระดับนั้น เขารู้สึกว่าสิ่งที่ตนได้เรียนรู้เป็นเพียงพื้นฐานเบื้องต้น เขาเชื่อว่าเคล็ด ‘เอกะวิถี’ ที่ตนเองได้ฝึกฝนนั้นมิใช่ฉบับสมบูรณ์ หลังจากนั้นเขาจึงคอยสืบหาเบาะแสของเคล็ดวิชา ‘เอกะวิถี’ ฉบับสมบูรณ์มาโดยตลอด หากมิใช่เพราะเหตุนี้คงไม่มีทางประสบเคราะห์สิ้นชีพในสุสานโบราณ แต่หลังจากได้เห็นพลังของตงกัวเฮ่าหรานแล้ว ความปรารถนาของเขาก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาอย่างรุนแรง จึงตัดสินใจออกจากหมู่บ้านบนเขาแห่งนั้นอย่างไม่ลังเล

เวลาผ่านพ้นไปทีละวันๆ แม้นในหนึ่งวันจะมีอาหารสามมื้อจัดส่งให้ตรงเวลา ทว่ากลับมีความรู้สึกเหมือนตกเป็นเชลย ด้านนอกมีคนคอยเฝ้า ไม่เคยอนุญาตให้เขาก้าวเท้าออกจากประตูเรือนแม้เพียงก้าว แล้วก็ไม่มีใครคุยกับเขา คล้ายว่าตัดขาดเขาออกจากโลกภายนอกไปแล้ว

เขารบเร้าขอเข้าพบถังมู่สักกี่ครั้งก็ไร้ประโยชน์ จุดนี้ทำให้เขารับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง หากฟังจากความหมายในวาจาของตงกัวเฮ่าหรานแล้ว ดูเหมือนเขาจะเชื่อมั่นในตัวถังมู่อย่างมาก ซ้ำยังเป็นศิษย์น้องของถังมู่ด้วย ตามหลักแล้วหากบอกว่าตงกัวเฮ่าหรานสิ้นชีพ เป็นไปไม่ได้ที่ถังมู่จะไม่มาพบเขา เขาสังหรณ์ว่าอาจจะมีเรื่องที่คาดคิดไม่ถึงบางอย่างที่ตนไม่รู้แฝงอยู่ในเรื่องราวนี้ก็เป็นได้ เกรงว่านี่อาจเป็นสาเหตุที่ผู้คุมมีท่าทางไม่เป็นมิตรกับเขา แต่เขาไม่มีโอกาสติดต่อกับโลกภายนอก อยู่ที่นี่ไม่สามารถทำอะไรได้ ทำได้เพียงอยู่ไปวันๆ รอคอยต่อไป!

แม้นจะอยู่ว่างเช่นนี้ ทว่าเขาก็ไม่ได้ปล่อยให้เวลาสูญเปล่า นอกจากฝึกฝนเคล็ดวิชาเอกะวิถีแล้ว เขาก็เริ่มออกกำลังกายจำพวกฉีกขา หกสูง ยกน้ำหนัก การจะยืดเส้นดัดกระดูกในช่วงวัยนี้นับว่าช้าไปหน่อย เรียกได้ว่าทรมานอยู่ไม่น้อย แต่ในเมื่อมีความตั้งใจแล้ว ความทรมานแบบใดเล่าที่จะทนรับไม่ได้?

นอกเหนือไปจากนี้เขาก็หยิบเอาคันฉ่องสัมฤทธิ์บานนั้นออกมาดู คันฉ่องบานนี้เคยถูกซ่งเหยี่ยนชิงพบเข้าในตอนที่ค้นตัว แต่เห็นได้ชัดว่าซ่งเหยี่ยนชิงไม่ได้สนใจคันฉ่องบานนี้ ทว่ากลับให้ความสนใจป้ายชื่อที่แม่ทัพหญิงผู้นั้นผูกศรยิงส่งมาให้ หลังจากสอบถามที่มาของป้ายชื่อ อีกฝ่ายก็โยนคันฉ่องที่มองแล้วไม่ถูกตาคืนให้เขา ส่วนป้ายชื่อถูกยึดเอาไป

หนิวโหย่วเต้ากลับรู้สึกว่าคันฉ่องบานนี้ไม่ธรรมดา ประการแรกคือรู้สึกว่ามันคล้ายคลึงกับคันฉ่องโบราณที่ตนพบในสุสานใต้ดินบานนั้นยิ่งนัก ประการที่สองคือตงกัวเฮ่าหรานเคยบอกว่าเขาสละชีวิตเพื่อคันฉ่องบานนี้ อีกทั้งกำชับให้เขาส่งมอบมันต่อถังมู่เท่านั้น แล้วคันฉ่องบานนี้จะธรรมดาได้อย่างไร คาดว่าดวงตาของซ่งเหยี่ยนชิงคงไร้แวว ไม่รู้คุณค่าของมันเท่านั้น

แต่แม้นเขาจะนำคันฉ่องออกมาส่องไปส่องมา เมื่อมีเวลาว่างก็หยิบมาศึกษาค้นคว้า ทว่ากลับไม่มีความคืบหน้าอันใดเลย…

………

ตำหนักหลักของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีนามว่าวังสวรรค์พิสุทธิ์ มีคนสามคนวิ่งตรงมายังตำหนักหลัก เข้าพบหลัวหยวนกง ซูพั่วและถังซู่ซู่

ยามนี้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไร้ซึ่งเจ้าสำนัก ทั้งสามจึงรับผิดชอบถือป้ายคำสั่งเจ้าสำนักและจัดการเรื่องราวภายในสำนักร่วมกันชั่วคราว

หลังจากคนทั้งสามทำความเคารพเสร็จ หลัวหยวนกงก็เอ่ยถามว่า “สืบได้ความอย่างไรบ้าง?”

ศิษย์ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มรายงานว่า “ชาวบ้านในหมู่บ้านเสี่ยวเมี่ยวยืนยันตัวตนหนิวโหย่วเต้าแล้ว น่าจะไม่ผิดพลาดขอรับ หนิวโหย่วเต้าออกจากหมู่บ้านมาระยะหนึ่งแล้ว ในวันที่สองหลังจากที่หมู่บ้านเสี่ยวเมี่ยวเจอทหารบุกปล้น หนิวโหย่วเต้าก็หายตัวไปเลย เทียบเวลาแล้วพบว่าตรงกันครับ คนในหมู่บ้านเสี่ยวเมี่ยวก็ออกตามหาเขาอยู่เช่นกัน นึกว่าเขาถูกสัตว์ป่าทำร้ายจนตายไปแล้ว ภาพเหมือนของหนิวโหย่วเต้าคนในหมู่บ้านเห็นเพียงแวบเดียวก็จำได้ทันที ส่วนเรื่องป้ายชื่อนั่น ศิษย์น้องอู๋ไปตามหาเจ้าของป้ายชื่อที่จังหวัดกว่างอี้ ก็ได้รับการยืนยันแล้วเช่นกัน เรื่องทั้งหมดเป็นความจริงขอรับ”

ถังซู่ซู่เอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง “คำพูดคำจาของหนิวโหย่วเต้าไม่คล้ายเด็กในป่าเขา”

ศิษย์คนนั้นตอบว่า “จุดนี้ก็ตรวจสอบมาแล้วขอรับ ช่วงหลายปีก่อนมีบัณฑิตตกอับคนหนึ่งเคยมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ครอบครัวหนิวโหย่วเต้าถูกฆ่าตายในระหว่างที่เกิดสงคราม เหลือเขาตัวคนเดียว ในบ้านมีห้องว่าง บัณฑิตตกอับคนนั้นเคยอาศัยอยู่ในบ้านของหนิวโหย่วเต้า เคยสั่งสอนหนิวโหย่วเต้าให้อ่านออกเขียนได้ หนิวโหย่วเต้านับว่าเป็นคนส่วนน้อยของหมู่บ้านที่รู้หนังสือ ส่วนความรู้ของหนิวโหย่วเต้าจะลึกซึ้งเพียงใด ชาวบ้านที่มีความรู้ต่ำต้อยเหล่านั้นก็มิอาจแยกแยะได้เช่นกัน ส่วนบัณฑิตตกอับคนนั้นหลังจากไปก็ไม่ทราบข่าวอีก ยามนี้หากจะตามตัวเขามาทำการตรวจสอบคงเป็นไปได้ยากขอรับ”

หลัวหยวนกงถามต่อ “จะมีคนแสร้งเป็นคนในหมู่บ้านเสี่ยวเมี่ยวหรือเปล่า?”

ฝ่ายศิษย์ตอบว่า “ศิษย์ไปตรวจสอบคนในหมู่บ้านก่อนแล้ว ล้วนเป็นชาวบ้านในหมู่บ้านอย่างแท้จริง เรื่องนี้ไม่มีทางผิดพลาดขอรับ”

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ตัวตนของหนิวโหย่วเต้าคนนี้ก็น่าจะไม่มีปัญหา” หลัวหยวนกงหันไปเอ่ยกับซูพั่วและถังซู่ซู่

ถังซู่ซู่กล่าวอย่างเฉยชา “หากมีคนจัดหาคนที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกันมาสวมรอยเป็นหนิวโหย่วเต้าเล่า? เราให้ชาวบ้านมายืนยันตัวต่อหน้าสักหน่อยดีกว่า”

ดังนั้นหลายวันต่อมา ในที่สุดหนิวโหย่วเต้าก็ได้ออกจากสวนดอกท้อ ไม่ทราบเช่นกันว่าจะได้ไปที่ใด รู้เพียงว่าถูกพาไปยังเมืองหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด ขณะที่เขากำลังสงสัยใคร่รู้กับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ภายในเมือง ใครจะรู้ว่าเดินวนอยู่ในเมืองเพียงรอบเดียวก็กลับออกมาแล้ว ไม่ได้ทำสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่เข้าใจเลยว่าหมายความว่าอย่างไร

หลังจากกลับมาก็ถูกขังไว้ในเรือนแห่งนั้นอีกครั้ง

ส่วนสามผู้อาวุโสแห่งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คล้ายจะยุ่งง่วนอยู่ เรียกศิษย์สายในของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มารวมตัวหารือกันอยู่เนืองๆ

ผ่านไปหนึ่งเดือนเต็ม หนิวโหย่วเต้าถูกพาออกมาจากสวนดอกท้ออีกครั้ง มายังวังสวรรค์พิสุทธิ์บนหน้าผาฝั่งตรงข้าม

กระถางสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่หลายใบลุกไหม้ให้ความอบอุ่นอยู่ภายในห้องโถงที่กว้างขวางโอ่อ่า ศิษย์สายในทั้งหมดในสำนักต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ หลายคนมีสีหน้าเคร่งขรึม

หนิวโหย่วเต้ายืนอยู่ใจกลางห้องโถงเหลียวซ้ายแลขวา เห็นคนกลุ่มหนึ่งจ้องมองตนอยู่ รู้สึกแปลกพิกลอยู่บ้าง ไม่เข้าใจว่ามีเจตนาใด

สุดท้ายเขาก็ทำใจกล้ากล่าวไปว่า “อาจารย์สั่งเสียไว้ก่อนตายให้ข้ามาพบเจ้าสำนัก!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า