ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 7

ตอนที่ 7 สวนดอกท้อ

เมื่อเห็นความตายใกล้เข้ามา ด้วยแรงกระตุ้นในช่วงเวลาวิกฤต ความรู้สึกร้อนผ่าวอันคุ้ยเคยสายหนึ่งได้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง อักขระโลหิตตัวหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากศีรษะของเขา กระแทกเข้ากับพลังฝ่ามือของถังซู่ซู่ที่โจมตีเข้ามาในทันใด

ตูม! เกิดเสียงดังสนั่น ลมกระโชกไปทั่วทิศ พัดพาต้นหญ้ารอบข้างจนหลุดออกมาทั้งโคน ปลิวว่อนกระจัดกระจาย หนิวโหย่วเต้าถูกกระแทกจนล้มกลิ้งไปด้านหลังหลายตลบ เมื่อกระแทกกับเชิงเขาถึงได้หยุดลง

เสียงลมโหมกระโชกเงียบไป ต้นหญ้าที่ปลิวว่อนร่วงตกสู่พื้น

“ยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกาย!” หลัวหยวนกงและซูพั่วพึมพำออกมา สบตากับแวบหนึ่ง จากนั้นทั้งคู่จึงมองไปทางถังซู่ซู่ผู้มีสีหน้าตะลึงงัน

ใบหน้าของถังซู่ซู่คร่ำเคร่งขึ้นมา ไม่มีทีท่าว่าจะลงมืออีก

ยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายเป็นยอดวิชาของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ มีเพียงศิษย์สายในเท่านั้นที่ร่ำเรียนได้ ทว่ามิใช่ทุกคนที่สามารถร่ำเรียนจนประสบความสำเร็จ มีเพียงผู้ที่มีความรู้ในศาสตร์วิชาจำพวกค่ายกลอย่างลึกซึ้งเท่านั้นถึงจะสามารถฝึกฝนให้สำเร็จได้ เหตุผลอีกประการที่ทำให้ปกติแล้วไม่มีผู้ใดฝึกวิชานี้ เป็นเพราะฝึกไปก็ไม่มีประโยชน์อันใดต่อตนเลย นี่คือวิชาที่สละสภาวะของตนเองเพื่อผู้อื่นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น การทดลองใช้วิชาในระหว่างที่ฝึกฝนก็สิ้นเปลืองสภาวะไม่น้อยเลยเช่นกัน ฝึกไปก็ได้ไม่คุ้มเสีย

สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ในปัจจุบันมีเพียงตงกัวเฮ่าหรานเท่านั้นที่ใช้วิชานี้ได้ แม้กระทั่งผู้อาวุโสระดับหลัวหยวนกงก็ยังใช้ไม่ได้ จากจุดนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าความรู้ด้านศาสตร์ค่ายกลของตงกัวเฮ่าหรานนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ

เมื่อเห็นว่าหนิวโหย่วเต้ามี ‘ยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกาย’ ของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ปกป้อง หนิวโหย่วเต้าจะใช่ศิษย์ของตงกัวเฮ่าหรานหรือไม่ก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความอีก หากตงกัวเฮ่าหรานมิได้ถ่ายทอดให้อีกฝ่ายในขณะที่มีสติสัมปชัญญะแจ่มใส วิชาที่มีความสลับซับซ้อนเช่นนี้ก็ไม่มีทางที่จะสำแดงพลังออกมาได้เช่นกัน

หนิวโหย่วเต้าสะบัดศีรษะที่ยังมึนงงอยู่เล็กน้อย ค่อยๆ ยันกายขึ้นมา ลูบหน้าอกปรับลมหายใจ กวาดตามองไปเห็นทุกคนจ้องมองตนด้วยแววตาสับสน พลันบันดาลโทสะขึ้นมาวูบหนึ่ง โดยเฉพาะถังซู่ซู่ที่เขารู้สึกอยากจะด่ากราดอย่างสาดเสียเทเสีย

ท้ายที่สุดก็ยังคงเป็นยายเฒ่าคนนี้ที่รุนแรงเกินเหตุ พูดจาไม่เข้าหูก็จะฆ่าจะแกงกันเลย เพียงแค่ซัดฝ่ามือออกมาส่งๆ ก็สามารถสังหารตนได้แล้ว ลูกผู้ชายต้องยอมถอยในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ จำเป็นต้องอดกลั้นไว้ คิดหาทางผ่านด่านนี้ไปให้ได้ถึงจะถูก หนิวโหย่วเต้าคิดไปคิดมา สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร หากแต่เดินกลับไปหยุดอยู่ข้างศพของตงกัวเฮ่าหราน ดึงผ้าที่เก่าขาดขึ้นมาคลุมขึ้นไปใหม่อีกครั้ง หยิบเชือกหวายขึ้นพาดบ่า ยกเปลหามขึ้น ลากกลับไปทางเดิม

หมายความว่าอย่างไร? ทุกคนตะลึงงัน

เมื่อรู้ตัวว่าเขากำลังจะไปจากที่นี่ ซูพั่วพลันเคลื่อนกายออกไป ขวางหนิวโหย่วเต้าไว้ เอ่ยถาม “เจ้าจะไปไหน?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ขออภัย รบกวนพวกท่านแล้ว ข้าน่าจะมาผิดที่” พูดจบก็ลากเปลอ้อมตัวเขา เดินผ่านวัชพืชขวากหนามจนเกิดเสียงดังสวบสาบต่อไป

ทุกคนรับรู้ได้ถึงความเจ้าอารมณ์แบบเด็กๆ นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่

ซูพั่วปรายตามองถังซู่ซู่ เอียงศีรษะส่งสัญญาณให้เล็กน้อยเพื่อบอกให้นางขอโทษ

ถังซู่ซู่เบือนหน้าหนี ท่าทางเฉยเมยเย็นชา ไม่มีทีท่าว่าจะขอโทษ

ซูพั่วจนปัญญา ได้แต่เคลื่อนกายไปขวางหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง ถอนหายใจพลางเอ่ย “เมื่อครู่เป็นการเข้าใจผิดกัน เจ้าไม่ได้มาผิดที่”

“มาผิดที่แล้ว ข้าจะพาอาจารย์กลับบ้าน” หนิวโหย่วเต้ายืนกราน ลากเปลหามอ้อมตัวเขาอีกครั้ง

วาจาที่ดื้อรั้นนี้ทำให้คนอื่นๆ รับรู้ได้ถึงความรู้สึกหดหู่ใจอย่างไม่มีสาเหตุ ถังอี๋ผู้มีรูปโฉมดั่งเทพธิดาที่อยู่ไม่ไกลรู้สึกทนไม่ไหว คล้ายอยากจะพูดอะไรทว่าก็เงียบไปอีกครั้ง ผู้อาวุโสของสำนักอยู่ที่นี่ ยังไม่ใช่หน้าที่นางที่จะมาตัดสินอะไรได้

ซูพั่วยื่นมือออกไป กดไหล่ของหนิวโหย่วเต้าเอาไว้ ทำให้หนิวโหย่วเต้าดิ้นไม่หลุด เอ่ยเกลี้ยมกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ผิดหรอก ที่นี่ก็คือสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ไปกับพวกเราเถอะ!” พลางปลดเปลหามบนบ่าหนิวโหย่วเต้าออก

สองมือของหนิวโหย่วเต้าสอดอยู่ในแขนเสื้อซ้ายขวา กอดอกเอาไว้ ชุดบุนวมขาดปุปะ รองเท้าเปื่อยขาดจนหัวแม่เท้าโผล่ เนื้อตัวเหม็นคาวปลา ช่วงเอวเหน็บกระบอกไม้ไผ่และมีดผ่าฟืนไว้ ไม่รับรู้ถึงความสกปรกมอมแมมของตน แถมยังเชิดหน้ามองฟ้าด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ท่าทางคล้ายไม่อยากสุงสิงกับผู้ใด

ไม่รู้ตัวบ้างหรือว่าตัวเองน่าเกลียดแค่ไหน? ซูพั่วกระอักกระอ่วนใจ คล้ายไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จึงกวักมือเล็กน้อย ศิษย์สองคนเดินเข้ามา ตีกระหนาบซ้ายขวาหิ้วปีกหนิวโหย่วเต้า

“พวกท่านจะทำอะไร?” หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองซ้ายขวา ร้องโวยวายขึ้นมา

ศิษย์สองคนนั้นไม่สนใจเขา หิ้วปีกเขาพุ่งทะยานเข้าไปในป่า พาคนจากไปทันที

จากนั้นซูพั่วเรียกศิษย์มาอีกสองคน ให้หามศพของตงกัวเฮ่าหรานไป

หลังจากให้ศิษย์ที่เหลือถอยออกไปแล้ว ภายในบริเวณนั้นก็เหลือเพียงสามผู้อาวุโส ในเวลานี้หลัวหยวนกงจึงได้เอ่ยกับถังซู่ซู่ว่า “ศิษย์น้องหญิง เมื่อครู่เจ้าทำเกินเหตุไปหน่อยนะ”

ถังซู่ซู่เอ่ยเสียงเยียบเย็น “เจ้าเด็กนี่พูดจาเหลวไหลชัดๆ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นไส้ศึกที่ผู้ใดส่งมาหรือเปล่า”

หลัวหยวนกงเอ่ยถาม “แล้วจะอธิบายเรื่องยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายอย่างไร?”

ถังซู่ซู่ถียงคอเป็นเอ็น “พวกท่านฟังคำพูดของเขาสิ คล้ายชาวบ้านในป่าเขาหรือ?”

หลัวหยวนกงเอ่ยแย้ง “เรื่องนี้ค่อยๆ สืบสวนกันไปก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรีบลงมืออย่างโหดเหี้ยมโดยไม่รอฟังคำอธิบายเลย หรือเจ้ากลัวว่าเขาจะได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์?”

ถังซู่ซู่หลบตาเขา เอ่ยอย่างไม่ยินดียินร้ายว่า “ศิษย์พี่รอง ท่านคิดมากไปแล้ว ตงกัวเฮ่าหรานมีศิษย์มากมาย ตำแหน่งเจ้าสำนักไม่มีทางตกไปถึงเขาหรอก”

หลัวหยวนกงส่ายหน้า “ตงกัวพาศิษย์ของตัวเองออกไปด้วย ยามนี้เหลือศพกลับมาเพียงศพเดียว เกรงว่าสถานการณ์คงไม่ต่างไปจากถังมู่ ขอเพียงมีคนรอดชีวิตสักคน ตงกัวก็คงไม่มีทางลงยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายให้คนนอก และคนที่หามศพกลับมาก็คงไม่ใช่เจ้าเด็กนี่ เกรงว่าเขาคงหมดหนทางแล้วถึงได้ทำเช่นนี้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะคิดเรื่องนี้ไม่ได้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า