ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 6

ตอนที่ 6 ใจที่แสวงหาการบำเพ็ญเพียร

ไปหาเจ้าที่จังหวัดกว่างอี้เหรอ? ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในสมองของเขาเพียงครู่เท่านั้น เพราะว่าตอนนี้เขารู้สึกหนาวเป็นอย่างมาก หนิวโหย่วเต้าไม่มีใจจะไปนั่งครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ แล้วก็ไม่คิดที่จะไปหาอีกฝ่าย เพราะเขาไม่มีความสนใจต่อทหารเหล่านี้

สายตามองดูกลุ่มทหารจากไปอย่างร้อนใจ หลังมั่นใจว่าทหารเหล่านั้นจากไปแล้วจริงๆ หนิวโหย่วเต้าที่ฟันกำลังสั่นกระทบกันก็ปีนขึ้นมาบนแพไม้ไผ่อย่างยากลำบาก

ตอนยังไม่ขึ้นจากน้ำก็ยังดีหน่อย แต่พอขึ้นมาต้องลมหนาวด้านบน ความรู้สึกนั้นเรียกได้ว่าหนาวเสียดกระดูก ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน ฟันกระทบกันดังกึกๆๆ ไม่หยุด ทั้งหนาวทั้งหิว เขาคิดอยากจะกระโดดกลับลงไปในน้ำ บางทีอาจจะรู้สึกอุ่นขึ้นกว่าตอนนี้หน่อย แต่เขาก็รู้ว่านั่นมิได้ต่างอะไรกับการใช้น้ำเย็นต้มกบเลย ที่กว่าจะรู้ตัวถึงความผิดปกติ เขาก็คงไม่สามารถปีนขึ้นมาจากในน้ำได้แล้ว

เขาหยิบเอาตะบันไฟออกมาด้วยคิดที่จะจุดไฟ แต่สุดท้ายพบว่าตะบันไฟเองก็เปียกชุ่มไปทั้งอันเช่นเดียวกัน ไม่สามารถใช้ได้อีก

เขาเหลือบไปเห็นปลาย่างที่เพิ่งจะกินไปได้ไม่กี่คำที่เขาโยนทิ้งเอาไว้บนแพไม้ไผ่ จึงรีบหยิบมันขึ้นมา นิ้วมือทั้งสิบที่แข็งทื่อประคองปลาเอาไว้ในมือพลางกัดกินด้วยร่างกายที่หนาวสั่น คิดหาวิธีที่จะเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย พลังงานความร้อนภายในร่างกายคล้ายถูกใช้ไปจนหมดแล้ว นั่นคือความรู้สึกหนาวสั่นที่แผ่ออกมาจากในกระดูก ร่างกายกำลังจะไร้ความรู้สึกจากความหนาวเย็น รอบด้านเห็นได้ชัดว่าเป็นป่ารกร้าง มองไม่เห็นร่องรอยการอยู่อาศัยของผู้คนที่พอจะขอความช่วยเหลือได้

จากนั้นเขาพบว่าตนเองทนไม่ไหวแล้ว การรับรู้ทั่วทั้งร่างคล้ายกำลังจะหายไป สะลึมสะลือคิดอยากจะนอน

แต่เขารู้ดีว่าไม่อาจนอนหลับได้ นี่คืออาการของร่างกายที่กำลังจะสูญเสียการรับรู้ ทันทีที่นอนหลับไปในสภาพแบบนี้ก็อย่าได้คิดที่จะตื่นขึ้นมาอีก

สายตาทอดมองไปยังริมฝั่งแม่น้ำ คิดอยากจะปีนขึ้นฝั่งไป ทว่าร่างกายแข็งทื่อจนไม่อาจควบคุมได้แล้ว การรับรู้ก็ค่อยๆ เลือนหายไปอย่างไม่อาจควบคุมได้

ขณะที่เขากำลังจมดิ่งลงไปในการหลับใหล เขาก็คล้ายฝันว่าได้อิงอยู่ข้างเตาไฟ แผ่นหลังร้อนผ่าว ก่อนจะสะดุ้งตื่นขึ้นมา

เขาลุกพรวดขึ้นมา สีหน้างุนงง พบว่าเสื้อผ้าที่เปียกชื้นบนร่างกายกำลังมีไอร้อนฟุ้งกระจายออกมา

ร่างกายเองก็ไม่รู้สึกหนาวแล้ว ตำแหน่งหนึ่งบนแผ่นหลังรู้สึกร้อนเป็นอย่างมาก กระแสความร้อนหลั่งไหลไปทั่วร่างกายอย่างต่อเนื่อง ขับไล่ความหนาวเย็นทั้งหมดออกไป

ก่อนหน้านี้รู้สึกหนาวเย็นจนร่างกายแข็งทื่อ ทว่าตอนนี้กลับค่อยๆ รู้สึกร้อนเหมือนเป็นไข้

แต่ความรู้สึกประหลาดใจที่มีต่อเรื่องนี้ก็ผุดขึ้นมาเพียงแวบเดียว จากนั้นเขาก็เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จุดกำเนิดความร้อนบนแผ่นหลังจุดนั้นคือจุดชีพจรที่ตงกัวเฮ่าหรานซัดยันต์คุ้มกายเข้าไปให้เขา เพียงเท่านี้เขาก็เข้าใจแล้ว ขณะเดียวกันยังรู้สึกเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก การควบคุมพลังภายในของตงกัวเฮ่าหรานล้ำลึกถึงเพียงนี้เลยอย่างนั้นหรือ? นี่ยิ่งทำให้เขาเกิดความรู้สึกอยากจะไปเยือนสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ หรือจะเรียกว่าเป็นความรู้สึกปรารถนาที่จะบำเพ็ญเพียรฝึกฝนวิชาก็ว่าได้

ตอนนี้เขารู้สึกร้อนจนยากจะทนได้ คิดอยากจะปรับลมหายใจเพื่อชักนำกระแสความร้อนสายนี้ ทว่าร่างกายนี้ไม่มีความสามารถที่ว่านั้น กระทั่งพื้นฐานการโคจรปราณที่เป็นเรื่องง่ายที่สุดก็ยังไม่มี ปราณแท้ภายในร่างกายยังไม่ถูกดึงออกมา จึงไม่สามารถเดินปราณได้ อาศัยเพียงแค่ความคิดนั้นไม่มีประโยชน์

นอกจากนี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าร่างกายของตัวเองร่างนี้เหมาะที่จะฝึกฝนวิชาหรือไม่ หากใช้คำพูดของคนที่บำเพ็ญเพียรมาอธิบายล่ะก็ นั่นก็คือไม่รู้ว่ามีฐานรากหรือเปล่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมาะกับการฝึกปราณ ความจริงแล้วคนส่วนใหญ่ล้วนแต่ไม่เหมาะที่จะฝึกปราณ สาเหตุของปัญหานี้เป็นเพราะว่าสภาพร่างกายของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน การฝึกปราณจำเป็นต้องมีการกระจายตัวของเส้นลมปราณภายในร่างกายที่ค่อนข้างสมบูรณ์ เส้นลมปราณเป็นเหมือนกิ่งก้านภายในร่างกาย กิ่งก้านหลักภายในร่างกายคนเราส่วนใหญ่แล้วจะเหมือนกัน แต่กิ่งก้านที่แตกย่อยออกไปกลับไม่แน่ว่าจะเหมือนกัน ก็เหมือนกับต้นไม้ชนิดเดียวกัน รูปร่างหน้าตาของพวกมันเวลาเจริญเติบโตขึ้นมาก็ไม่แน่ว่าจะเหมือนกัน

คนบางคนกระทั่งกิ่งก้านหลักของเส้นลมปราณภายในร่างกายก็ยังไม่แน่ว่าจะเหมือนกัน กระทั่งคนที่หัวใจไปเจริญเติบโตอยู่ในอีกด้านหนึ่งของหน้าอกก็ยังมี

ทว่าแม้นฐานรากไม่ดี หรือพูดอีกอย่างคือคนที่มีคุณสมบัติทางร่างกายไม่ดีก็ไม่ใช่ว่าจะฝึกปราณไม่ได้ เพียงแต่พวกเขาเหล่านั้นฝึกฝนได้เพียงวิชาง่ายๆ บางวิชาเท่านั้น ส่วนพวกวิชาการหายใจที่ช่วยยืดอายุขัย วิชาที่มีความลึกซึ้ง วิชาที่มีหลักการเดินปราณที่สลับซับซ้อน วิชาเหล่านั้นพวกเขาไม่สามารถฝึกได้

สุดท้ายแล้วก็รู้สึกร้อนจนทนไม่ไหว หนิวโหย่วเต้าใช้น้ำเย็นล้างหน้า ถึงขนาดปลดสาบเสื้อออกเพื่อตากลมเย็น เสื้อผ้าขาดๆ บนร่างกายยังคงมีไอร้อนฟุ้งกระจายขึ้นมา ผิวหนังกลายเป็นสีแดง

ในตอนที่เก็บลูกธนูบนแพไม้ไผ่ หนิวโหย่วเต้าก็สังเกตเห็นป้ายชื่อที่แม่ทัพหญิงคนนั้นยิงมา มีขนาดไม่ใหญ่ เป็นทรงกลมสีแดงคล้ำ ด้านหนึ่งสลักรูปนกเฟิ่งหวงกางปีกเอาไว้ตัวหนึ่ง อีกด้านหนึ่งสลักคำว่า ‘หนาน’ เอาไว้

“เสี่ยวจ้วน[1]…” หนิวโหย่วเต้าจ้องมองตัวหนังสือพลางกล่าวพึมพำ ในสายตาเผยให้เห็นถึงความรู้สึกงุนงงสับสน

ตัวอักษรที่คนที่นี่ใช้คือเสี่ยวจ้วนอย่างนั้นหรือ? ด้วยสายอาชีพที่เขาเคยทำมา เขาย่อมต้องรู้จักตัวอักษรเสี่ยวจ้วนเป็นอย่างดี จึงสามารถอ่านออกได้อย่างง่ายดาย

แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกสงสัยก็คือคนในโลกนี้พูดภาษาจีนกลาง ทว่ากลับใช้ตัวอักษรเสี่ยวจ้วน เมื่อเทียบโลกที่เขารู้จักเป็นอย่างดีโลกนั้นแล้วดูค่อนข้างสับสนวุ่นวาย แต่เมื่อกลับมาลองคิดดูแล้ว หากมองโลกเมื่อในอดีตของเขาจากมุมมองของโลกนี้ บางทีอาจจะเป็นโลกที่เขาคุ้นเคยใบนั้นต่างหากที่สับสนวุ่นวายก็เป็นได้ สุดท้ายแล้วจะเป็นโลกไหนที่สับสนวุ่นวาย เขาเองก็ไม่รู้คำตอบเช่นกัน

ส่วนแพไม้ไผ่ก็ล่องเข้าไปในกระแสน้ำเชี่ยวในภูเขา ความเร็วที่ลอยไปรวดเร็วเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเริ่มกระเพื่อมขึ้นลง

หนิวโหย่วเต้าที่ได้สติกลับมารีบดึงเอากับดักจับปลาที่ผูกไว้ด้านหลังแพไม้ไผ่กลับมา หนทางยังอีกยาวไกล ภายหน้าไม่แน่อาจจะได้ใช้มันอีกก็เป็นได้ ไม่อาจปล่อยให้มันเสียไประหว่างทางเช่นนี้ได้ ถ่อไม้ไผ่ถืออยู่ในมือ ยันซ้ายยันขวาอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำในหุบเขาที่เชี่ยวกราก สาบเสื้อที่เปิดรับลมหนาวปะทะเข้ากับคลื่นลมท่ามกลางหยดน้ำที่สาดกระเซ็นขึ้นมาเป็นระยะ ความเคลื่อนไหวดูคล่องแคล่ว เห็นได้ชัดว่าเขามีประสบการณ์ในด้านนี้ แม้นจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่วุ่นวายก็ยังรับมือได้อย่างใจเย็น ดูช่างยิ่งใหญ่และน่าตกตะลึง

เมื่อผ่านจุดอันตรายมาแล้ว กระแสน้ำก็สงบลงอีกครั้ง หนิวโหย่วเต้ารู้สึกเหนื่อยล้า จึงจับเอาปลาบนแพไม้ไผ่ที่ตายไปแล้วตัวหนึ่งขึ้นมากินสดๆ บนท้องฟ้าที่อยู่เหนือหมู่เขาขึ้นไปมีพระจันทร์ที่ส่องแสงสว่างไสวอยู่ดวงหนึ่ง

ภาพเหตุการณ์นี้ให้ความรู้สึกเหมือนในบทกวีที่ว่า ‘ริมสองฝั่งวานรร้องเรียก เรือลำน้อยลอยผ่านหมู่เขา’ แพไม้ไผ่ลอยออกมาจากเทือกเขา ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าพร้อมกับแสงสีทองเรืองรอง หนิวโหย่วเต้าเองก็หาที่เข้าฝั่ง

ความร้อนบนร่างกายค่อยๆ สลายไป ความหนาวเย็นโจมตีเข้ามาอีกครั้ง หลังหาสถานที่เหมาะๆ ได้ที่หนึ่ง หนิวโหย่วเต้าก็เหวี่ยงจอบขุดโพรง เก็บฟืนและไม้แห้งมา หมุนไม้จุดไฟ นอนอยู่ในโพรงที่จุดไฟร้อนๆ แล้วนอนหลับไป

ทันทีที่ตื่นขึ้นมาก็ออกเดินทางอีกครั้ง

ท่ามกลางลมหนาวมีดวงอาทิตย์งดงาม ยามค่ำคืนมีแสงจันทร์นวลผ่อง สุริยันจันทราคลอเคลียเคียงกัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า