ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 5

ตอนที่ 5 ฉลาดตัดสินใจ

แพไม้ไผ่ลอยออกจากแม่น้ำสายเล็ก ไหลเข้าสู่แม่น้ำสายใหญ่ หนิวโหย่วเต้าเก็บถ่อไม้ไผ่ ปล่อยให้แพไม้ไผ่ไหลไปตามคลื่น ดูแล้วคงจะไปยังทิศทางที่ตงกัวเฮ่าหรานว่าเอาไว้ก่อนตาย คนใกล้ตายไม่มีเหตุผลต้องหลอกเขา ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก

หนิวโหย่วเต้านั่งอยู่บนแพไม้ไผ่ ใช้มีดผ่าฟืนฝานไม้ไผ่ออกมาเป็นซี่เล็กๆ จำนวนหนึ่ง ก่อนจะหยิบเอาฟืนแห้งที่เตรียมไว้ล่วงหน้ามานิดหน่อย ใช้ตะบันไฟจุดไฟกองเล็กๆ ขึ้นมาบนก้อนหินที่แบนเรียบกองหนึ่ง ทำการเผาซี่ไม้ไผ่เพื่อขับเอาน้ำในไม้ไผ่ออกมา จนกระทั่งได้ความเหนียวเพียงพอแล้ว จึงทำการตัดซี่ไม้ไผ่ออกเป็นท่อนเล็กๆ จากนั้นหยิบเอาเชือกปอที่เตรียมไว้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านก่อนหน้านี้ออกมาพลางใช้มือดึงดู มั่นใจว่าความเหนียวน่าจะเพียงพอ จึงนำเอาไม้ไผ่ท่อนเล็กๆ ที่ตัดเอาไว้มามัดไปบนเชือกปอโดยทิ้งระยะห่างเป็นช่วงๆ โดยตำแหน่งของเชือกปออยู่ตรงกึ่งกลางของซี่ไม้ไผ่

จากนั้นเขาหยิบเอาฟางข้าวออกมาจากในหน้าอกเส้นหนึ่ง ตัดแบ่งเป็นท่อนเล็กๆ ทำการดัดซี่ไม้ไผ่ที่มีความเหนียวมากพอให้โค้งงอก่อนจะพันปลายทั้งสองข้างเข้าไว้ด้วยกัน ใช้ฟางข้าวท่อนเล็กๆ มัดปลายของซี่ไม้ไผ่เอาไว้ ทำให้ซี่ไม้ไผ่ไม่อาจดีดตัวกลับได้ มือล้วงเข้าไปในรูเสื้อที่ขาด หยิบเอาเมล็ดข้าวสาลีออกมากำเล็กๆ นี่เป็นข้าวสาลีที่เขาเก็บขึ้นมาทีละเม็ดๆ จากบนพื้นโคลนในหมู่บ้าน น่าจะเป็นพวกทหารชั่วทำตกไว้ในตอนที่เข้ามาปล้นเสบียง เขาเอาเมล็ดข้าวสาลีเม็ดหนึ่งยัดเข้าไปในรูของฟางข้าวที่มัดปลายทั้งสองด้านของซี่ไม้ไผ่เอาไว้ ก่อนจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งบนเชือกปอมีกับดักง่ายๆ เช่นนี้อยู่สิบกว่าอัน

จากนั้นปล่อยเชือกปอลงน้ำ ปลายด้านหนึ่งมัดไว้บนแพไม้ไผ่ ส่วนที่เหลือปล่อยให้เป็นลิขิตสวรรค์ หนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่ได้สนใจมัน เขาตัดกระบอกไม้ไผ่เอามาตักน้ำในแม่น้ำ ค่อยๆ ดื่มน้ำเข้าไปในปาก อมเอาไว้ในปากสักครู่ให้น้ำมีความอุ่นก่อนจะกลืนลงไปในท้อง นั่งผิงไฟอยู่บนแพไม้ไผ่ ชื่นชมทิวทัศน์ริมสองฝั่งของแม่น้ำ ภายในสายตาเผยให้เห็นถึงความสงสัยใคร่รู้ที่มีต่อโลกนี้

แล้วก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จู่ๆ เขาพลันรู้สึกว่าแพไม้ไผ่ที่นั่งอยู่มีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย คล้ายมีอะไรบางอย่างกำลังออกแรงดึงอยู่ใต้น้ำ สีหน้าแสดงความยินดีออกมา แรงดึงยังคงถูกส่งมาอย่างต่อเนื่อง แต่เขากลับนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว จากนั้นไม่นานความเคลื่อนไหวก็หยุดนิ่งลง

เชือกปอที่อยู่ด้านหลังแพไม้ไผ่ถูกดึงกลับมา ไม่นานก็เห็นปลาที่หนักประมาณสองสามจิน[1]ตัวหนึ่งถูกลากขึ้นมาจากน้ำ เหงือกปลาทั้งสองด้านได้ถูกซี่ไม้ไผ่ที่ดีดตัวออกแทงจนเปิดออก เพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่นานแต่ปลาตัวนี้ก็อยู่ในสภาพใกล้ตายแล้ว อย่าได้ดูแคลนกับดักจับปลาอันเล็กๆ ที่ดูเรียบง่ายอันนี้ เหงือกปลานั้นเป็นระบบการหายใจใต้น้ำของปลา เมื่อการหายใจเกิดการติดขัด ต่อให้ปลาที่ใช้ชีวิตอยู่ใต้น้ำก็ยังจมน้ำตายได้ ซี่ไม้ไผ่นี้มีความยืดหยุ่น ปลาไม่สามารถดิ้นหลุดออกไปได้ ยิ่งเมื่อขาดออกซิเจนจึงทำให้มันหมดแรงไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ติดกับแล้วก็ยากจะหนีรอดไปได้ กลับเป็นปลาที่ถูกตกด้วยเบ็ดตกปลาที่ยังสามารถดิ้นไปดิ้นมาอยู่ในน้ำได้เป็นเวลานาน

แต่แน่นอนว่ากับดักนี้ก็มีจุดอ่อนเช่นเดียวกัน นั่นคือมันยากที่จะใช้จับปลาใหญ่ได้

ช่วยไม่ได้ ในหมู่บ้านยากจน ไม่มีอาหารให้เขาพกติดตัวมาได้ เขาจึงได้แต่ต้องเอาของเล็กๆ น้อยๆ มาปรับใช้ไปตามสถานการณ์เพื่อหาอาหารให้ตัวเองอิ่มท้องระหว่างทาง

เขาแกะปลาออกมาจากกับดัก ก่อนจะมัดฟางข้าวท่อนเล็กๆ พร้อมกับใส่เหยื่อเข้าไปใหม่แล้ววางลงไปในน้ำอีกครั้ง เมล็ดข้าวสาลีเมล็ดอื่นๆ แช่น้ำจนพองตัวแล้ว เขาคิดว่าโอกาสที่จะล่อปลามาได้มีเพิ่มขึ้นอย่างมาก

เขาเก็บปลาที่กำลังใกล้ตายขึ้นมา หยิบเอามีดสั้นมาผ่าท้องปลาแล้วล้างทำความสะอาดในแม่น้ำ ก่อไฟขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เอาไม้เสียบตัวปลาแล้วเอาขึ้นไปย่างด้วยท่าทีมีความสุข ในเมื่อสามารถจับปลาได้ เห็นทีสภาพแวดล้อมทางนิเวศวิทยาของที่นี่จะค่อนข้างดีทีเดียว เขาเตรียมที่จะกินดื่มขับถ่ายอยู่บนแพไม้ไผ่นี้ ได้ยินว่าแถบนี้มีการสู้รบวุ่นวาย ดูแล้วการอยู่บนแพไม้ไผ่จะปลอดภัยกว่า

ปลาเพิ่งย่างสุก หนิวโหย่วเต้าที่จับปลาร้อนๆ ด้วยสองมือเพิ่งจะกัดเข้าไปได้ไม่กี่คำ ด้านล่างแพไม้ไผ่ก็มีความเคลื่อนไหวขึ้นมาอีกครั้ง หนิวโหย่วเต้ารู้สึกดีใจ

แต่ในเวลาเดียวกันนี้เอง บนฝั่งที่อยู่ห่างออกไปก็ได้มีรถม้าคันหนึ่งกำลังวิ่งมาด้วยความเร็ว ด้านหลังมีคนขี่ม้ากลุ่มหนึ่งไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ไล่ตามทัน ทหารม้าที่ไล่ตามขึ้นมาจากทั้งสองด้านยกคันธนูกระหน่ำยิงเข้าไปในรถม้า เสียงกรีดร้องดังลอยออกมา รถม้าถูกบังคับให้หยุดอย่างรวดเร็ว

ในตอนที่แพไม้ไผ่เคลื่อนผ่าน หนิวโหย่วเต้าที่กำลังค่อยๆ กินปลาย่างมองเห็นทหารม้าโยนศพสองสามศพลงมาจากในรถม้า มีคนคนหนึ่งคล้ายยังไม่ตาย กำลังคุกเข่าร้องขอชีวิต แม่ทัพคนหนึ่งควบม้าเข้ามาใกล้ มือที่ถือหอกแทงออกไปจนคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นล้มตายลงไป

การฆ่าคนในเวลากลางวันแสกๆ เช่นนี้ สำหรับหนิวโหย่วเต้าที่เคยผ่านการใช้ชีวิตในอีกโลกหนึ่งมาแล้วถือว่าป่าเถื่อนเกินไปหน่อย ที่สำคัญที่สุดคือจากสิ่งที่เขาได้เห็นได้ฟังมาจากในหมู่บ้านก่อนหน้านี้ ทำให้เขามีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อทหารกลุ่มนี้ เกิดความอคติตั้งแต่แรกพบ แต่เขาก็ทำได้เพียงมองดูอยู่เฉยๆ เท่านั้น

แม่ทัพที่ดึงหอกกลับมาก็สังเกตเห็นหนิวโหย่วเต้าเช่นเดียวกัน จึงรู้สึกแปลกใจ ย่างปลาบนแพไม้ไผ่อย่างนั้นหรือ?

หนิวโหย่วเต้าเองก็พบว่าทหารกลุ่มนี้สังเกตเห็นตนเองแล้ว จึงแสร้งทำเป็นชาวบ้านธรรมดาที่กำลังง่วนอยู่กับงานของตัวเอง ดึงเอาเชือกปอขึ้นมาจากด้านหลังแพ ก่อนจะจับปลาขึ้นมาได้อีกตัวหนึ่ง

ภายในดวงตาของแม่ทัพผู้นั้นมีความรู้สึกสนใจปรากฏขึ้นมาให้เห็น เขากล่าวกับลูกน้องที่อยู่ข้างๆ ว่า “กลางฤดูหนาว อีกทั้งเสื้อผ้าเก่าขาด ทว่ากลับมีวิธีทำให้ตัวเองอิ่มท้อง เด็กหนุ่มผู้นี้ฉลาดเฉลียว รู้จักปรับตัวไปตามสถานการณ์ หากได้รับการสั่งสอนอาจจะกลายเป็นคนที่มีความสามารถก็เป็นได้” เสียงที่พูดเป็นเสียงของผู้หญิง

ลูกน้องเข้าใจความหมายของผู้เป็นนาย นี่คือการบอกให้เขาจับเด็กหนุ่มผู้นั้นมาเป็นทหาร จึงหันไปตะโกนเรียกหนิวโหย่วเต้าที่อยู่บนแพไม้ไผ่ทันที ด้วยคิดที่จะหลอกหนิวโหย่วเต้าเข้ามา “เจ้าหนูคนนั้นน่ะ รีบขึ้นฝั่งเร็ว มีเรื่องอยากจะถามเจ้าหน่อย”

หนิวโหย่วเต้าไหนเลยจะกล้าเข้าฝั่ง จึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เช็ดมือไปบนเสื้อผ้าเล็กน้อย ก่อนจะดึงปลาย่างที่เสียบอยู่บนแพไม้ไผ่ขึ้นมา ก้มหน้าก้มตากินปลาของตัวเองต่อ ให้ความรู้สึกคล้ายคนหูหนวก

ปัก! ลูกธนูดอกหนึ่งปักลงบนแพไม้ไผ่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า ตัวลูกธนูสั่นไหวเล็กน้อย เกือบทำให้หนิวโหย่วเต้าตกใจ นี่ถ้ายิงเอียงไปอีกนิดหนึ่งจะเป็นอย่างไร?

เขาเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว พบว่าเป็นแม่ทัพที่ถือหอกสังหารคนก่อนหน้านี้ผู้นั้น

อีกฝ่ายนั่งอยู่บนหลังม้า ถือคันธนูชี้มาพลางตะโกนว่า “เจ้าหนู มานี่!”

เสียงสดใสดังชัด ถือได้ว่าไพเราะ เวลานี้หนิวโหย่วเต้าถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นแม่ทัพหญิง เพียงแต่เป็นเพราะชุดเกราะเปรอะเปื้อนฝุ่นดิน จึงทำให้มองไม่ออกว่าเป็นผู้หญิง เขารู้สึกโมโหขึ้นมาทันที ชูนิ้วกลางไปทางอีกฝ่ายพร้อมกับตะโกนว่า “ไอชั่ว!”

แม้นแม่ทัพหญิงจะมองไม่ออกว่านิ้วกลางที่เขาชูขึ้นมามันหมายความว่าอย่างไร แต่ก็พอคาดเดาได้จากคำด่าของอีกฝ่ายว่าสัญลักษณ์มืออันนี้จะต้องมิใช่กำลังชมตัวเองอย่างแน่นอน ชาวบ้านธรรมดาๆ กลับกล้าด่าเจ้าหน้าที่ทหารต่อหน้า ใจกล้าไม่เบา น่าสนใจจริงๆ ด้วย จึงแค่นหัวเราะออกมาเล็กน้อย

ลูกน้องของนางสิบกว่าคนง้างคันธนูขึ้นมาทันที เล็งไปทางหนิวโหย่วเต้า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า