ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 4

ตอนที่ 4 หนิวโหย่วเต้า

หลัวหยวนกงใช้สองมือรับเอาป้ายคำสั่งเจ้าสำนักมา แสดงความเคารพนอบน้อมอย่างที่ควรจะมีออกไป แต่ในตอนที่กลับมายืนอยู่ที่เดิมกลับมองไปทางถังซู่ซู่และซูพั่วพลางถอนใจออกมา

ทำอะไรไม่ได้ ถังมู่ในเวลานี้ไม่หวั่นเกรงต่อความกดดันใดๆ ต่อให้ร่วมมือกับศิษย์ทั้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คัดค้านเขาก็ไม่มีประโยชน์ การกำหนดตัวผู้สืบทอดเจ้าสำนักคืออำนาจที่กฎสำนักมอบให้แก่เจ้าสำนัก ถังมู่ตัดสินใจออกมาแบบนี้ก่อนตาย แล้วใครจะไปเอาชนะเขาได้?

“ทุกคนจำเอาไว้ให้ดี หลังข้าตายไปแล้ว อย่าให้โลกภายนอกรู้เรื่องนี้ มิฉะนั้นจะเกิดหายนะกับสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้!” ถังมู่กล่าวสั่งเสียอีกครั้งต่อหน้าทุกคน

ทุกคนสบตากัน ไม่รู้หมายความว่าอย่างไร? สายตาของผู้อาวุโสทั้งสามคนประสานกันเล็กน้อย ต่างมองเห็นความกังวลใจอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย คล้ายรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง?

จากนั้นครู่หนึ่ง ศิษย์สายในคนอื่นๆ พากันแยกย้ายออกไป ภายในโถงเหลือเพียงผู้อาวุโสสามคน แล้วก็ยังมีถังอี๋กับเว่ยตัว

ในเวลานี้ผู้อาวุโสหลัวหยวนกงถึงได้เอ่ยถามเสียงเบาขึ้นมา “เจ้าสำนัก ท่านกับตงกัวเฮ่าหรานพาศิษย์ของตัวเองออกไปจากสำนัก ตอนนี้ท่านบาดเจ็บกลับมาเช่นนี้ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ใครเป็นคนทำร้ายท่าน?”

ถังมู่ยังคงอดทนกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าเหนื่อยแล้ว ถ้าท่านมีคำถามอะไร รอให้ศิษย์น้องกลับมารับตำแหน่งเจ้าสำนัก ท่านค่อยถามเขาก็แล้วกัน”

ถังซู่ซู่กล่าวด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก “ช่วงนี้ด้านนอกมีข่าวลือ บอกว่าคันฉ่องแห่งซางปรากฏขึ้นมาในใต้หล้าอีกครั้ง หรือว่าเจ้าสำนักกับตงกัวเฮ่าหรานไปชิงคันฉ่องแห่งซางกับคนอื่น ถึงได้กลายเป็นแบบนี้?”

เมื่อเอ่ยถึง ‘คันฉ่องแห่งซาง’ ขึ้นมา สีหน้าของทุกคนที่อยู่ในโถงก็เปลี่ยนไป สายตาจับจ้องดูปฏิกิริยาของถังมู่

นั่นเป็นเพราะประวัติความเป็นมาของ ‘คันฉ่องแห่งซาง’ นั้นไม่ธรรมดาอย่างมาก แม้นปัจจุบันใต้หล้าจะประกอบไปด้วยเจ็ดแคว้น ทว่าแท้จริงแล้วทั้งเจ็ดแคว้นก็ล้วนแต่เติบโตมาจากการเป็นรัฐศักดินาของแคว้นอู่ ในอดีตซางซ่งที่เดิมทีเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งโลกบำเพ็ญเพียรใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีมาทั้งชีวิต ภายหลังไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ เขาถึงเกิดความคิดที่จะเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเรื่องราวบนโลก พยายามทำทุกวิถีทางที่จะรวมใต้หล้าเป็นหนึ่ง จากนั้นสถาปนาแคว้นอู่ขึ้นมา แต่งตั้งตัวเองเป็นฮ่องเต้ของแคว้นอู่ สยบผู้บำเพ็ญเพียรในใต้หล้าเอาไว้ภายใต้การปกครองของตัวเอง โดยอ้างคำพูดที่ฟังดูดีว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการแก่งแย่งชิงดีกันระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรกับคนธรรมดา ภายหลังซางซ่งแสวงหาชีวิตอมตะ จึงได้ทำผิดต่อปณิธานที่ตั้งเอาไว้แต่แรก เขาเจาะรูบนท้องฟ้าขึ้นมารูหนึ่ง ทำให้พลังวิญญาณจำนวนมหาศาลไหลทะลักเข้ามาจากด้านนอก โลกบำเพ็ญเพียรจึงรุ่งโรจน์ขึ้นมา ฮองเฮาหลีเกอแห่งแคว้นอู่ผู้เป็นภรรยาของซางซ่งไม่ลืมปณิธานที่ตั้งเอาไว้ในตอนแรก ด้วยเหตุนี้นางจึงทำการซ่อมรูรั่วบนท้องฟ้า ผลสุดท้ายไม่รู้ว่าสองสามีภรรยาหายตัวไปที่ใด

หลังสองสามีภรรยาหายตัวไป รัฐศักดินาจำนวนหลายร้อยรัฐก็ไม่มีใครที่จะมาสะกดพวกเขาเอาไว้ได้อีก เจ้าผู้ปกครองรัฐเริ่มทำการสู้รบกัน ความวุ่นวายยังคงดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้

ว่ากันว่าซางซ่งได้สร้างอาวุธวิเศษขึ้นมาชุดหนึ่ง มีทั้งหมดแปดชิ้น การเจาะรูและการอุดรูรั่วบนท้องฟ้าของซางซ่งและหลีเกอล้วนแต่อาศัยอาวุธวิเศษเหล่านี้ เมื่อแคว้นอู่ล่มสลาย อาวุธวิเศษทั้งแปดกระจัดกระจายออกไปในโลกภายนอก หมุนเวียนไปมาระหว่างรัฐศักดินาต่างๆ เมื่อแคว้นเล็กๆ ถูกกลืนกินไปเรื่อยๆ สุดท้ายใต้หล้าก็ถูกแบ่งออกเป็นแปดแคว้นใหญ่ อาวุธวิเศษทั้งแปดชิ้นเองถูกแคว้นทั้งแปดแบ่งกันครอบครอง ถูกแต่ละแคว้นยกย่องให้เป็นของวิเศษประจำแคว้น และ ‘คันฉ่องแห่งซาง’ ก็คือของวิเศษประจำแคว้นที่อยู่ในมือแคว้นฉิน ว่ากันว่า ‘คันฉ่องแห่งซาง’ คือสิ่งที่ช่วยเพิ่มพลังให้แก่อาวุธวิเศษที่ใช้เจาะรูบนท้องฟ้าและอุดรูบนท้องฟ้า เป็นอาวุธวิเศษที่สำคัญที่สุดในบรรดาอาวุธวิเศษทั้งแปด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทำให้แคว้นฉินถูกทำลาย ขณะที่ราชวงศ์ฉินกำลังพังทลาย ‘คันฉ่องแห่งซาง’ กลับหายสาบสูญไป กลุ่มอำนาจต่างๆ เที่ยวตามหามัน ทว่าก็หาได้พบร่องรอยของมันไม่

แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ก็คือในตอนที่ฮองเฮาหลีเกอแห่งแคว้นอู่ทำให้อุดรูรั่วบนท้องฟ้า ว่ากันว่านางไม่ได้ทำการอุดรอยรั่วจนหมด หากแต่ยังมีรอยรั่วหลงเหลืออยู่ ด้วยเหตุนี้จึงมีคนคิดว่านี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรในใต้หล้ามีจำนวนเยอะเกินไป เมื่อผู้บำเพ็ญเพียรมีจำนวนมากก็ทำให้เกิดการแก่งแย่งชิงกับคนธรรมดาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ พวกเขาคิดว่าการที่ผู้บำเพ็ญเพียรสอดมือเข้ามายุ่งกับเรื่องราวบนโลกนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้ใต้หล้าเกิดความวุ่นวายไม่หยุด ดังนั้นจึงมีคนคิดจะรวบรวมอาวุธวิเศษทั้งแปดชิ้นมาอุดรอยรั่วทั้งหมดบนท้องฟ้า เพื่อตัดขาดแหล่งกำเนิดพลังวิญญาณ การกระทำเช่นนี้ย่อมต้องทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรในใต้หล้าเกิดความไม่พอใจ หนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วผู้เป็นสมุหพระกลาโหมแห่งแคว้นเยี่ยนก็คือตัวแทนของคนกลุ่มนี้

แต่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์กลับมีศิษย์ไม่รักดีที่แอบไปคบหากับหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋ว อาทิเช่นตงกัวเฮ่าหราน

ช่วงนี้จู่ๆ โลกภายนอกก็มีข่าวลือว่า ‘คันฉ่องแห่งซาง’ ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นถังมู่กับตงกัวเฮ่าหรานก็ยังพาศิษย์ออกไปข้างนอกในเวลานี้ ไม่รู้ไปทำอะไรถึงได้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จึงเป็นไปได้ยากที่จะไม่ให้พวกเขาสงสัยว่าการเดินทางออกไปจากสำนักครั้งนี้ของทั้งสองคนมีความเกี่ยวข้องกับคันฉ่องแห่งซาง

เบื้องหลังของแคว้นแคว้นหนึ่งมีสำนักบำเพ็ญเพียรอยู่มากน้อยเท่าไร? ส่วนคันฉ่องแห่งซางกลับเป็นสิ่งที่สามารถนำหายนะมาสู่แคว้นได้ เช่นนั้นหากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เข้าไปข้องเกี่ยวกับเจ้าสิ่งสิ่งนี้ล่ะก็ แล้วจะไม่ให้คนอื่นๆ ในสำนักเป็นกังวลได้อย่างไร? สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มิใช่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่เคยอยู่ในยุครุ่งเรืองเมื่อในอดีตแล้ว ความแข็งแกร่งลดน้อยถอยลง ไม่สามารถทนรับสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนั้นได้อีก

ถังมู่ค่อยๆ หลับตา “พวกท่านคิดมากไปแล้ว ข้าก็แค่ถูกคนลึกลับลอบโจมตีเท่านั้น”

หลายคนมองออกว่าถังมู่ไม่คิดที่จะพูดความจริงออกมา ตัวเขาในตอนนี้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะล้มลงทุกเมื่อ ไม่มีใครบีบให้เขาพูดได้…

……..

รุ่งเช้าวันถัดมา ประตูวัดแง้มเปิดออก ดวงตาข้างหนึ่งมองลอดออกมาจากช่องประตู

ประตูค่อยๆ เปิดออก ศีรษะของเต้าเหยี่ยชะโงกออกมามองซ้ายแลขวา

ประตูเปิดกว้างขึ้นอีก เต้าเหยี่ยค่อยๆ ยื่นเท้าพร้อมกับเบี่ยงตัวออกมา เดินด้วยปลายเท้าอย่างแผ่วเบา ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ คอยสังเกตดูความเคลื่อนไหวทางด้านนอก ก่อนจะออกมาเดินวนรอบวัด ใบหูเงี่ยฟังเสียง ดวงตาเปิดกว้าง สอดส่องมองดูรอบด้านอย่างระมัดระวัง

คล้ายอยู่ในช่วงกลางฤดูหนาว ด้านนอกอากาศหนาวเย็น ต้นไม้ใบหญ้าแห้งเหลือง

เขาโยนหินหยั่งเชิงไปทั่วทุกที่ แต่ก็ไม่มีตอบสนองใดๆ หลังพบว่าคล้ายจะไม่มีอันตรายอะไรแล้วจริงๆ เต้าเหยี่ยที่ยืนอยู่บนเนินด้านนอกวัดถึงได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา ร่างกายที่โค้งงอด้วยความระแวดระวังเหมือนอย่างแมวยืดตรงขึ้น ก่อนจะหยิบเอาคันฉ่องที่ถูกขัดเป็นมันวาวจนกระทั่งสามารถสะท้อนให้เห็นใบหน้าได้บานนั้นออกมาจากในหน้าอก ส่องซ้ายแลขวาดูใบหน้าตัวเองพลางถอนใจ

เต้าเหยี่ยยัดคันฉ่องกลับเข้าไปในหน้าอก มองเห็นลำธารสายเล็กที่อยู่ตรงตีนเขา จึงวิ่งลงมาจากเขาอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงริมลำธาร เต้าเหยี่ยกระโดดขึ้นไปบนก้อนหินที่อยู่กลางลำธารที่ไหลเอื่อย มองดูเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่บนน้ำในลำธาร “เฮ้อ!” เขาถอนใจออกมาอีกครั้งหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในวัด เขาหยิบยืมแสงสว่างจากด้านนอกมาส่องดูคันฉ่อง ทำการสรุปสถานการณ์ของตนเองในปัจจุบัน จึงพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดชายชราผู้นั้นถึงเรียกเขาว่าพ่อหนุ่ม ที่ชายชราเรียกเขาว่าพ่อหนุ่มนั้นไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย เขาพบว่าตัวเองกลายเป็นเด็กหนุ่มอายุน้อยดั่งว่าจริงๆ

เต้าเหยี่ยค่อยๆ นั่งยองลงบนก้อนหิน มองดูเงาของตัวเองในลำธารที่ใสกระจ่างอยู่ครู่หนึ่ง ท้องส่งเสียงร้อง ‘โครกๆ’ ออกมาด้วยความหิวโหย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า