ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 3

ตอนที่ 3 ถกเถียงเรื่องสืบทอดตำแหน่ง

ฟ้าเยือกดินเย็น อากาศอันหนาวเหน็บไม่อาจแช่แข็งสายน้ำได้ ไกลออกไปมีเสียงน้ำตกดังครืนๆ

ภายใต้ดวงเดือนและดารา ม้าตัวหนึ่งห้อเหยียดเข้ามา พ่นลมหายใจร้อนๆ ออกมาตลอดทั้งทาง คนที่อยู่บนหลังม้าซ่อนตัวอยู่ภายใต้ผ้าคลุมสีดำ

ม้าวิ่งมาถึงธารน้ำตื้น หักเลี้ยวลงริมธาร ย่ำเหยียบลงไปในน้ำ ควบไปยังอีกฟากฝั่งของธารน้ำท่ามกลางหยดน้ำที่สาดกระเซ็น ห้อตะบึงต่อไปยังป่าที่อยู่ไกลออกไป

ป่าลึกมืดทึบวังเวง ขณะที่ห้อตะบึงเข้าไปในป่า คนที่อยู่บนหลังม้าสะบัดมือ ภายใต้ผ้าคลุมสีดำมีแสงนวลสีขาวอมชมพูสว่างวาบขึ้นมา ส่องสว่างทางเบื้องหน้า

แสงนวลสีขาวอมชมพูคือผีเสื้อที่กระพือปีกโบยบินอย่างรวดเร็วตัวหนึ่ง มันมีชื่อว่า ‘เสี่ยวเยวี่ย’ ความหมายคือพระจันทร์ดวงน้อย บนตัวมีเปลือกแข็ง ภายในปีกมีกระดูก ยามเผชิญกับแสงอาทิตย์ร้อนแรงในเวลากลางวันดูไม่มีอะไรผิดปกติ แต่เมื่ออยู่ในความมืดจะเปล่งแสงนุ่มนวลออกมา ให้ความสว่างภายในระยะสองจ้างได้โดยไม่มีปัญหา ความเร็วในการบินประเดี๋ยวช้าประเดี๋ยวเร็ว ถูกคนในโลกบำเพ็ญเพียรเลี้ยงเอาไว้เพื่อให้ความสว่าง

แหล่งกำเนิดแสงของ ‘เสี่ยวเยวี่ย’ อยู่บนปีก บนผิวภายนอกของปีกไม่มีแสง แสงมาจากด้านในปีก ด้วยเหตุนี้เวลาที่มันกระพือปีก ขอบเขตที่แสงสาดกระจายออกมาจึงประเดี๋ยวเล็กประเดี๋ยวใหญ่ ให้ความรู้สึกเหมือนประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวสลัว เวลาที่มันหยุดกระพือปีกสามารถเอามาใช้แทนโคมไฟได้

เสี่ยวเยวี่ยคอยให้แสงสว่างอยู่เบื้องหน้า ม้าควบตามอยู่ด้านหลัง

จู่ๆ ภายในป่าด้านหน้าพลันมีแสงสว่างสายหนึ่งมาขวางทางเอาไว้ นั่นคือผีเสื้อที่เปล่งแสงสว่างอีกตัวหนึ่ง

คนที่อยู่บนหลังม้ารีบดึงบังเหียนหยุดม้า เสี่ยวเยวี่ยที่ทำหน้าที่นำทางบินกลับมาตรงหน้าเขา คนที่อยู่ใต้ผ้าคลุมสีดำเงยหน้าขึ้นมา นั่นคือชายชราที่มีใบหน้าซูบผอมแต่มีชีวิตชีวาผู้หนึ่ง หนวดเคราสีขาวยาวห้อยตก ดวงตาเปล่งประกาย สะบัดมือซัดป้ายคำสั่งอันหนึ่งออกไป

คนที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้รับป้ายคำสั่งไป หลังตรวจสอบแล้วก็โยนป้ายคำสั่งกลับมา ผีเสื้อเปล่งแสงที่ขวางทางอยู่บินกลับไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหายตัวไปในความมืดมิด

ม้าออกตัวห้อตะบึงไปอีกครั้ง ไล่ตามอยู่ด้านหลังเสี่ยวเยวี่ย ก่อนจะหายเข้าไปในส่วนลึกของป่าทึบ

แสงจันทร์กระจ่างแจ้ง ในส่วนลึกของป่ามีสถานที่ที่มีพลังวิญญาณหนาแน่นแห่งหนึ่ง ยอดเขาประหลาดที่มีผาสูงชันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้ บนผามีอาคารสิ่งก่อสร้างใหญ่โตตั้งเรียงราย แสงไฟส่องสว่าง สถานที่แห่งนี้ก็คือที่ตั้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แห่งโลกบำเพ็ญเพียร

ชายชราที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมกระโดดลงจากหลังม้าตรงด้านล่างหน้าผา เปิดผ้าคลุมศีรษะออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง เขาคือถังมู่ เจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์

ศิษย์ผู้หนึ่งรีบเดินเข้ามาคารวะ “ท่านเจ้าสำนัก!”

ถังมู่โยนสายบังเหียนให้แก่อีกฝ่าย มิได้กล่าวอะไร รีบสืบเท้าเดินไป พุ่งตัวขึ้นไปบนบันไดหินที่หักงอคดเคี้ยวไปมาตามหน้าผา ปลายเท้าแตะพื้นไม่กี่ครั้งก็กระโดดขึ้นไปบนยอดผา มาถึงด้านนอกเรือนที่ใหญ่โตโอฬารบนภูเขา จากนั้นรีบสืบเท้าเดินต่อไป

ใต้ชายหลังคาของเรือน หญิงสาวผู้หนึ่งยืนนิ่ง ผมเกล้าเป็นมวยขึ้นไปคล้ายเปลือกหอย สวมใส่อาภรณ์ผืนบาง

คิ้วเรียวยาวดั่งใบหลิว ตาหงส์แลดูสูงศักดิ์ นัยน์ตาดำขลับคล้ายหยกดำ จมูกได้รูปสวยงาม ริมฝีปากอวบอิ่มคล้ายเกสรดอกไม้ที่เบ่งบาน ใบหน้างดงามดุจดอกบัว แฝงเอาไว้ด้วยความสง่างามและหยิ่งทะนง ผิวพรรณขาวผ่องเป็นยองใย ปทุมถันกลมกลึงสมส่วน รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น สวมชุดกระโปรงยาวสีเทา ท่าทีประหนึ่งเซียนบนสรวงสวรรค์

นางคือถังอี๋ บุตรสาวของถังมู่ แหงนหน้ามองฟ้า ชมจันทร์เพียงลำพังในค่ำคืนที่เงียบสงัด

ผีเสื้อเปล่งแสงดึงดูดสายตา แม้นจะถูกเก็บไปเมื่อขึ้นมาถึงยอดผา แต่มันก็ยังถูกถังอี๋พบเห็นเข้า

ถังอี๋เหลียวหน้ากลับไปมอง รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงเดินไปยังบันไดเพื่อต้อนรับ จากนั้นมองไปยังด้านหลังผู้เป็นบิดา ทว่าไม่เห็นใครคนอื่น จึงกล่าวถามถังมู่ที่เดินขึ้นบันไดมาอย่างแปลกใจว่า “ท่านพ่อ พวกศิษย์พี่ไม่ได้กลับมาด้วยกันหรือคะ?”

ทว่าจู่ๆ ร่างของถังมู่กลับโงนเงนเล็กน้อย ขณะไม่ทันระวังเท้าของเขาพลันสะดุดขั้นบันไดจนล้มลงบนบันได ขณะเดียวกันก็กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง

ถังอี๋ตกใจเป็นอย่างมาก ด้วยสภาวะของท่านพ่อทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้ จึงรีบถลาตัวเข้าไปช่วยพยุง

แต่เมื่อเข้าไปใกล้ นางก็ได้กลิ่นคาวเลือดอบอวลจากบนร่างของผู้เป็นบิดา มือที่จับไปบนแขนเสื้อสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเปียกชื้น อีกทั้งยังมีความเหนียวเหนอะหนะ นางยกมือขึ้นมาดู ด้วยแสงไฟจากใต้ชายหลังคาทำให้นางมองเห็นว่ามันคือคราบเลือด จึงรีบกล่าวถามด้วยความรู้สึกตกใจจนหน้าถอดสีว่า “ท่านพ่อ ท่านได้รับบาดเจ็บหรือคะ?”

ถังมู่โบกมือเล็กน้อยเพื่อบอกนางว่าอย่าส่งเสียงดังไป

ด้านนอกอากาศหนาวเย็น บนภูเขาอากาศยิ่งหนาวเย็น ทว่าภายในเรือนกลับอบอุ่นราวฤดูใบไม้ผลิ กระถางสัมฤทธิ์ใบใหญ่ที่ดูคล้ายเตาหลอมยาตั้งอยู่กึ่งกลางโถง หากไปยืนอยู่ใต้เตาจำเป็นต้องแหงนหน้าขึ้นมอง ด้านในคือถ่านที่กำลังลุกไหม้ เมื่อเข้าไปใกล้จะสามารถรับรู้ได้ถึงความร้อนระอุที่แผ่กระจายออกมา ทำให้ภายในเรือนทั้งหลังอบอุ่น ไอร้อนไหลไปยังห้องต่างๆ ที่อยู่ภายในเรือน แม้นจะเปิดประตูหน้าเอาไว้ก็ยากที่จะทำให้ความอบอุ่นที่อยู่ภายในเรือนลดลงไปได้

ถังอี๋พยุงผู้เป็นบิดาเข้ามานั่งภายในโถง สีหน้าร้อนรุ่ม คิดอยากจะตรวจดูอาการบาดเจ็บให้บิดา

ถังมู่ยกมือห้าม กล่าวเสียงคร่ำเคร่งว่า “รีบไปแจ้งผู้อาวุโสทั้งสามและศิษย์สายในให้มาพบข้า ข้ามีเรื่องสำคัญจะแจ้ง!”

ถังอี๋ร้อนใจ “ท่านพ่อ อาการบาดเจ็บของท่าน…”

ถังมู่ตะคอกตัดบท “รีบไป! เร็ว!”

ถังอี๋กัดริมฝีปาก ในดวงตามีน้ำตารื้นขึ้นมา คล้ายรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็จำต้องสะบัดกระโปรงรีบวิ่งออกไป

ผ่านไปไม่นานก็มีศิษย์สายในหลายคนรีบวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นสภาพของถังมู่ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขามองออกว่าถังมู่ได้รับบาดเจ็บสาหัส

เหล่าลูกศิษย์รีบเข้าไปตรวจดูอาการ โดยเฉพาะเว่ยตัวที่เป็นศิษย์คนโตของถังมู่นั่นยิ่งร้อนใจเป็นอย่างมาก “อา…อาจารย์…ทำ…ทำไมท่าน…ถึง…ถึงได้บาดเจ็บ…ขนาดนี้….ศิษย์…ศิษย์จะรักษา…อา…อาการบาดเจ็บให้ท่าน!” เขาพูดติดอ่างมาแต่กำเนิด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า