ตอนที่ 100 บันทึกก้อนศิลา
เขาทบทวนซ้ำไปซ้ำมา คิดไปคิดมาก็ยังนึกไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าเล็กน้อย
หยวนฟางที่นั่งบนขั้นบันไดลุกขึ้นยืน ขยับเข้าไปใกล้พลางเอ่ยถาม “เต้าเหยี่ย หยวนเหยี่ย ชือโหยวคือผู้ใด กบฏหรือขอรับ?”
หยวนกังเอ่ยสั้นๆ “บอกไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ!”
“…..” หยวนฟางกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ยิ้มเจื่อนๆ
หยวนกังเอ่ยถาม “วันนี้ได้ตีข้ามีความสุขหรือไม่ ระบายแค้นพอหรือยัง?”
ถ้าตีแบบนี้แล้วมีความสุขได้ก็แปลกแล้ว ถ้าเจ้าแน่จริงก็ให้ข้าตีแบบสุดแรงสิ! หยวนฟางบ่นในใจ แต่ปากกลับเอ่ยเอาใจว่า “ไม่ได้ตีขอรับ ไม่ได้ตี เป็นการช่วยหยวนเหยี่ยฝึกวรยุทธ์ต่างหาก”
หยวนกังเอ่ยอย่างเย็นชา “ในใจคงไม่ได้คิดเช่นนี้กระมัง?”
หยวนกังพลันตีสีหน้าจริงจังพลางกล่าวว่า “ข้าพูดจริงนะขอรับ!”
แล้วก็เป็นเพราะประโยคนี้ ทำให้ในวันเวลาหลังจากนั้น หยวนฟางต้องเริ่มช่วยหยวนกังฝึกวรยุทธ์ทุกวัน เขาเองก็มั่นใจแล้วว่าการทุบตีคนเป็นเรื่องที่เหนื่อยมากจริงๆ
……
เพียงพริบตาเวลาก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว หนิวโหย่วเต้าแทบจะไม่ได้ออกมาจากเรือนเลย นอกจากออกไปเดินเล่นช่วงเช้าเย็นเพียงเล็กน้อยแล้ว เวลาที่เหลือล้วนนั่งสมาธิอยู่ในห้อง
หลังจากเส้นลมปราณเริ่มเข้ารูปอยู่ตัวตั้งแต่เมื่อครึ่งเดือนก่อนหน้า เขาก็เริ่มทดลองหลอมยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายอีกครั้ง จุดประสงค์แรกคือเพื่อค่อยๆ ฟื้นฟูแหล่งกำเนิดพลังที่แทบจะหยุดเคลื่อนไหวไปแล้ว จุดประสงค์ที่สองคือเพื่อค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับเส้นลมปราณที่เพิ่งหลอมขึ้นมาใหม่
ในช่วงเวลานี้ ซางซูชิงเองก็ไม่สะดวกจะมารบกวน เพียงมาเยี่ยมเยือนทุกเช้าวันละครั้งตามปกติเท่านั้น
เด็กๆ ในหมู่บ้านถูกกำชับอย่างเข้มงวด ห้ามไม่ให้มาวิ่งเล่นเอะอะในละแวกเรือนหลังนี้
ทุกๆ วันหยวนฟางต้องช่วยหยวนกังฝึกวรยุทธ์เป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ส่วนช่วงเวลาที่เหลือก็บำเพ็ญเพียรไปตามวิถีของตน
ในบรรดาคนทั้งสาม มีเพียงหยวนกังที่ไม่สนใจเรื่องการนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรตลอดทั้งวัน หยวนกังเชื่อว่าชีวิตคนเราไม่ควรดำเนินไปเช่นนี้ หากอายุขัยที่ยืนยาวที่ได้มาจากการบำเพ็ญเพียรต้องสูญเปล่าไปเช่นนี้ล่ะก็ อย่างนั้นชีวิตก็ไม่มีความหมายอะไร เขาเดินเข้าๆ ออกๆ อยู่ทุกวัน ไม่ทราบเช่นกันว่ากำลังยุ่งอะไรอยู่
ภายในเรือนเล็กที่ชาวบ้านในหมู่บ้านไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้หลังนี้เข้าสู่สภาวะทำงานและพักผ่อนอย่างเป็นระบบ
……
ตูม! เสียงดังกัมปนาทปานแผ่นดินไหวดังขึ้นมา ทำลายความเงียบสงบภายในหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านในหมู่บ้านตื่นตระหนกโดยไม่ทราบสาเหตุ
หนิวโหย่วเต้าและหยวนฟางพุ่งตามกันออกมาจากเรือน เปิดประตูเดินออกไป มองเห็นคนหนุ่มบางส่วนในหมู่บ้านมารวมตัวกัน ถืออาวุธมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่เกิดเสียงดังสนั่น
“เกิดอะไรขึ้น?” หยวนฟางรั้งตัวชาวบ้านคนหนึ่งที่เดินผ่านพลางสอบถาม
ชาวบ้านคนนั้นเอ่ยตอบด้วยสีหน้าฉงนมึนงง “ไม่รู้เหมือนกัน!”
หยวนฟางหันกลับไป พบว่าหนิวโหย่วเต้าทะยานออกไปแล้ว เขารีบเหินสู่อากาศไล่ตามไป
ในหุบเขาที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้าน หนิวโหย่วเต้าไปถึงเป็นคนแรก มองเห็นหน้าผาแถบหนึ่งพังถล่มลงมา แล้วก็มองเห็นหยวนกัง หยวนกังกำลังตรวจสอบอะไรบางอย่างอยู่
หนิวโหย่วเต้าร่อนลงในหุบเขา มองดูภาพนี้อย่างเงียบๆ
ไม่นานนัก กลุ่มชาวบ้านก็ตามมาถึง มองเห็นหยวนกังเดินลงมาจากกองหินที่พังถล่ม หลัวอันเดินเข้าไปสอบถาม “น้องหยวน เสียงเมื่อครู่มันคืออะไร? เจ้าเห็นหรือไม่?”
หยวนกังตอบอย่างเรียบเฉย “ไม่มีอะไร ภูเขาถล่มน่ะ”
“ทำไมเสียงถล่มของภูเขาลูกนี้ถึงดังเหมือนฟ้าผ่าเลย มีฟ้าผ่าลงมาหรือ?” หยวนฟางที่ยืนอยู่ข้างๆ หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยความแปลกใจ เงยหน้ามองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งแจ่มใส พึมพำว่า “อย่าบอกนะว่าฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ?”
หนิวโหย่วเต้ามองหยวนกังที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสายตาลุ่มลึกแฝงความนัยบางอย่าง
……
เช้าวันต่อมา หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ซางซูชิงปล่อยสองมือออกจากศีรษะของหนิวโหย่วเต้าพลางเอ่ยเบาๆ “เต้าเหยี่ย เรียบร้อยแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าลุกขึ้นเดินไปส่งตามปกติ แต่พอส่งถึงประตูเรือนแล้วก็ยังไม่หยุดเท้า หากแต่เดินต่อไปพร้อมกับซางซูชิง
ซางซูชิงค้อมกายให้ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ส่งเท่านี้ก็พอแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าผายมือสื่อให้เดินต่อไป ขณะที่ทั้งสองเดินเคียงข้างกัน เขาเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ท่านหญิงมีเรื่องในใจหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ตามปกติแล้ว เวลาที่ซางซูชิงมาเกล้าผมให้เขาจะชวนคุยอยู่เสมอ แต่สองสามวันมานี้ซางซูชิงพูดน้อย ค่อนข้างผิดปกติ
ซางซูชิงเงียบไป คล้ายไม่รู้ควรจะพูดดีไหม
หนิวโหย่วเต้ามองไปรอบๆ “หมู่บ้านนี้ก็ดูไม่มีอะไรผิดปกติ พวกชาวบ้านก็ยังมีท่าทีเหมือนเดิม ทางอำเภอชางหลูมีเรื่องหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า