ตอนที่ 101 มหานครจินโจว
ปิดบังหยวนกังหรือ? ซางซูชิงไม่เข้าใจ แต่หนิวโหย่วเต้าหันหลังเดินออกไปแล้ว ไม่คิดจะอธิบายอะไรเลยแม้แต่น้อย
เหมิงซานหมิงมองเขาจากไป จากนั้นเอ่ยถาม “ท่านหญิงแน่ใจหรือว่าเขาตั้งใจวางหินสองก้อนนั้นให้พระองค์เห็น?”
ซางซูชิงที่มองดูหนิวโหย่วเต้าจากไปเช่นกันมีสีหน้าซับซ้อน ยิ้มเจื่อนพลางเอ่ยว่า “ตอนแรกยังไม่มั่นใจนัก แต่ตอนนี้มั่นใจแล้ว”
เหมิงซานหมิงร้องโอ้ “หมายความว่าอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางซูชิงอธิบาย “ก่อนหน้านี้เขายังไม่เผยท่าทีอะไรออกมาแม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งได้พบท่านกงซุนเมื่อครู่นี้ พอพวกเราบอกเล่าว่าที่นี่เป็นสถานที่ลับสำหรับผลิตอาวุธสงคราม เขาถึงได้บอกว่าเขาจะไปมณฑลจินโจว ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะทำเรื่องนี้โดยไม่มีการคิดใคร่ครวญใดๆ มาก่อนล่วงหน้า ไม่เชื่อว่าเขาตัดสินใจเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาวางหินไว้ให้ข้าเห็น หลังจากวางหินก็หลบหยวนกัง มารออยู่ที่นี่คนเดียว…และเขาไม่มีทางรออยู่ที่นี่ไปตลอดแน่”
เหมิงซานหมิงใคร่ครวญเล็กน้อยพลางเอ่ยเนิบๆ ขึ้นมา “เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เขากำลังทดสอบความจริงใจของพวกเรา หากว่าพวกเราไม่ยอมบอก เขาเองก็จะไม่ถามเช่นกัน แล้วก็ไม่มีทางบอกว่าจะเดินทางไปมณฑลจินโจว”
ซางซูชิงเอ่ยต่อไปว่า “ในเมื่อเขาทราบถึงความเชื่อมโยงระหว่างหินสองก้อนนั้น เช่นนั้นเขาก็คงจะจับสังเกตอะไรบางอย่างได้แต่แรกแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะรอให้พวกเราเป็นฝ่ายพูดมาโดยตลอด แต่พวกเราก็ไม่พูดเสียที ครั้งนี้ที่วางก้อนหินไว้ให้ข้าเห็น เหมือนเป็นการมอบโอกาสให้พวกเราอีกครั้งหนึ่ง ให้โอกาสพวกเราเป็นครั้งสุดท้าย! หากว่าพวกเรายังคงปิดบังไม่ยอมบอกเขา ข้ามีลางสังหรณ์ว่าพวกเราคงรั้งตัวเขาไว้ไม่ได้อีก เกรงว่าเขาคงจะพาหยวนกังหลบหนีไปไกลแสนไกล ไม่มีทางบอกว่าจะไปมณฑลจินโจว!”
เหมิงซานหมิงเองก็ยิ้มเจื่อนออกมาเช่นกัน “เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เขากำลังชั่งใจดูว่ามันคุ้มหรือไม่ ดูเหมือนเขาจะคิดว่าการเดินทางของเขาครั้งนี้มีความเสี่ยง!!”
ซางซูชิงกังวลเล็กน้อย นางเองก็รับรู้ได้เช่นกัน แต่นางไม่อาจขัดขวางได้ สำนักหยกสวรรค์และเฟิ่งหลิงปอไม่มีทางให้เวลาพวกนางสองพี่น้องนานนัก ในตอนนี้ดูเหมือนจะมีโอกาสยึดครองจังหวัดชิงซานเพียงแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น ในแง่หนึ่ง เป็นเพราะนางเคยเห็นความสามารถของหนิวโหย่วเต้ามาแล้ว จึงเกิดความหวังว่าความสามารถของหนิวโหย่วเต้าจะสามารถช่วยเกื้อหนุนพวกนางสองพี่น้องได้
ทว่าความคิดนี้ก็ทำให้นางรู้สึกผิดยิ่งนัก รู้สึกผิดที่ต้องปล่อยอีกฝ่ายไปเสี่ยงอันตรายเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
……
“จะไปไหน?”
ภายในเรือน หยวนกังที่เพิ่งเก็บกวาดทำความสะอาดหลังฝึกวรยุทธ์เสร็จงุนงงทันทีที่ได้ยิน
หนิวโหย่วเต้าตอบเสียงราบเรียบ “ไปหาของบางอย่างที่จำเป็นต่อการบำเพ็ญเพียร”
หยวนกังพยักหน้ารับ “ออกเดินทางเมื่อไร?” เห็นได้ชัดว่าเจตนาของเขาคือต้องการเตรียมตัวล่วงหน้า
หนิวโหย่วเต้ากลับเอ่ยว่า “เดินทางพรุ่งนี้ เจ้าไม่ต้องไป เดี๋ยวข้าพาเจ้าหมีไปก็พอ”
ข้าไม่ต้องไปหรือ? หยวนกังตะลึงงัน คล้ายจะนึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต้าจะไม่ให้เขาไปด้วย
หนิวโหย่วเต้าอธิบายต่อว่า “ไม่มีอะไรหรอก ถ้าปลีกตัวไปตั้งแต่ตอนอยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกคนอื่นจับตามอง หากใช้ทางลับกลับไปยังอำเภอชางหลูก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง อย่างนั้นกลับจะอันตรายกว่า ไม่แน่ว่าอาจถูกศัตรูเพ่งเล็งก็เป็นได้ ดังนั้นข้าเตรียมจะพาเจ้าหมีเดินทางข้ามทิวเขาไปเลย เส้นทางบนภูเขาเดินทางไม่สะดวก หากเจ้าตามไปด้วยก็ต้องปีนเขาไปตลอด แบบนั้นกลับจะยิ่งเป็นตัวถ่วงให้ช้าลง”
หยวนกังเงียบไปเล็กน้อย คิดไปคิดมาก็พบว่าจริงดั่งว่า จึงเอ่ยถามว่า “ไปนานแค่ไหน จะกลับมาเมื่อไร?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “พวกเรายังไม่เคยเดินทางไปในโลกภายนอกตามลำพัง มีสภาพแวดล้อมหลายอย่างที่ยังไม่เข้าใจ ข้าเองก็ตอบอย่างชัดเจนไม่ได้ แต่ก็น่าจะไม่นานจนเกินไป”
หยวนกังถามต่อ “ให้ข้ารออยู่ที่นี่หรือ?”
หนิวโหย่วเต้าตอบ “เจ้าจะอยู่ที่นี่ก็ได้ หรือจะไปอยู่ที่อำเภอชางหลูก็ได้ ดูว่าซางซูชิงจะจัดการอย่างไร เดี๋ยวพอข้าเสร็จธุระแล้วก็น่าจะตรงกลับไปยังอำเภอชางหลูอย่างเงียบๆ เลย หากเจ้ากลับไปที่อำเภอชางหลูแล้ว ก็ฝากเจ้าดูแลสมณะเหล่านั้นของเจ้าหมีที แล้วก็ลู่เซิ่งจงคนนั้นด้วย หากแผนการของพวกซางเฉาจงดำเนินไปอย่างราบรื่น เจ้าก็เอาตัวเบี้ยอย่างลู่เซิ่งจงมาใช้งานได้”
หยวนกังพยักหน้ารับ หันไปเอ่ยกับหยวนฟาง “ติดตามเต้าเหยี่ยออกไปต้องกระฉับกระเฉงตื่นตัวให้มากหน่อย ไม่อย่างนั้นหากข้าส่งสมณะกลุ่มนั้นไปพบพุทธองค์ล่วงหน้า ก็อย่ามาโทษข้าแล้วกัน”
หยวนฟางทำสีหน้าเหยเก ก่อนจะฉีกยิ้มขึ้นมาพลางเอ่ยว่า “หยวนเหยี่ยวางใจได้เลย”
วันต่อมา ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ซางซูชิงตั้งใจจัดการทรงผมให้หนิวโหย่วเต้าอย่างพิถีพิถันเป็นพิเศษ เงาคนในคันฉ่องนั่งหลับตาสงบนิ่ง
หลังจากทั้งสองออกมาจากเรือน หยวนฟางสะพายสัมภาระใบหนึ่งคอยอยู่ด้านนอกแล้ว ส่วนหยวนกังก็ยื่นกระบี่ส่งให้หนิวโหย่วเต้า
หนิวโหย่วเต้ายื่นมือออกไปรับกระบี่ เดินอาดๆ ออกไป หยวนฟางเดินตามหลัง
ซางซูชิงและหยวนกังออกมาส่งนอกเรือน เหมิงซานหมิงที่นั่งอยู่บนรถเข็นเฝ้ามองจากซอกมุมหนึ่ง
หนิวโหย่วเต้าและหยวนฟางเดินทางออกจากหมู่บ้านอย่างไม่เร่งร้อน แต่ทันใดนั้นจู่ๆ ทั้งคู่พลันเร่งความเร็ว โผนทะยานตามกันไป คนหนึ่งนำหน้าคนหนึ่งตามหลัง ขึ้นสู่เขาสูงลูกหนึ่ง
ทั้งสองหยุดอยู่บนยอดเขา หยวนฟางหันหลังกลับไปมองดูหมู่บ้านที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางขุนเขาตามหนิวโหย่วเต้า จากนั้นแต่ละคนต่างหยิบใบไม้สีเขียวมรกตใบเล็กๆ ใส่เข้าปาก ใบไม้นี้ไม่มีชื่อเรียก แต่ชาวบ้านในหมู่บ้านเรียกมันว่า ‘ใจกระจ่าง’ หากอมไว้ในปากจะสามารถต้านทานควันพิษที่ปกคลุมอยู่ในภูเขาได้
“ไป!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยคำหนึ่ง พลันดีดตัวทะยานออกจากยอดเขา ตัวคนพุ่งฉิวราวกับลูกศรพ้นแล่งธนู กระแสปราณภายในร่างระเบิดออกมา ก่อนจะรวมตัวเข้าด้วยกันคล้ายปีกนก อาศัยความเร็วในการดีดตัวและระดับความสูงในการปีนป่ายเหาะทะยานไปในอากาศ
หยวนฟางเองก็ทะยานไปในอากาศตามหลังไปติดๆ
เบื้องหน้ามีภูเขาพุ่งเข้ามา เงาร่างของคนทั้งสองเบี่ยงหลบติดตามกันไป หนึ่งหน้าหนึ่งหลัง อาศัยแรงลอยตัวในอากาศบินอ้อมผ่านไปอย่างรวดเร็ว ลัดเลาะไปในหมู่เขาราวพญาวิหคสองตัว
เสียงลมหวีดหวิวอยู่ข้างหู
เห็นได้ชัดว่าสภาวะของหยวนฟางด้อยกว่าหนิวโหย่วเต้า ปีกลมปราณเสียดสีอยู่ในอากาศด้วยความเร็วสูงได้ไม่นานก็พังทลายลง ตัวเขาร่วงตกลงไปบนภูเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวิ่งห้อตะบึง จากนั้นดีดตัวขึ้นมาอีกครั้งพร้อมก่อปีกลมปราณขึ้นมาใหม่แล้วไล่ตามไป เห็นได้ชัดว่าความถี่ในการหายใจของหนิวโหย่วเต้าช้ากว่าหยวนฟางมากนัก แต่เขายังคงหยุดรอเป็นครั้งคราว มิเช่นนั้นหยวนฟางอาจจะตามไม่ทันแล้วพลัดหลงกันไป
เมื่อพบเจอพื้นที่ราบ ทั้งสองจะเหินทะยานขึ้นๆ ลงๆ ไปอย่างว่องไว หากพบเนินเขาเล็กๆ ก็จะพุ่งทะยานข้ามไป หรือไม่ก็บินอ้อมไป หากพบภูเขาสูงก็จะปีนป่ายหน้าผาขึ้นไปสู่ยอด เมื่อมาถึงยอดเขาก็จะดีดตัวออกไปอีกครั้งหนึ่ง ทะยานไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางหมู่เขาสูงชัน เงาร่างสองสายหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง เหินร่อนไปอย่างอิสระเสรีราววิหค
……
หลังผ่านไปเกือบครึ่งวัน ระดับความลดหลั่นสูงชันของภูเขาลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ควันพิษที่อบอวลอยู่ในหมู่เขาก็เห็นได้ชัดเจนว่าหายไปหมดแล้ว หนิวโหย่วเต้าคาดเดาว่าน่าจะออกมาจากพื้นที่นั้นแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า