ตอนที่ 112 หิ่งห้อยกลางราตรีอันมืดมิด
เขาทราบแก่ใจดีว่าไม่มีทางบังคับไห่หรูเยวี่ยให้ตอบตกลงเรื่องนี้ในทันทีได้ นี่มิใช่เรื่องเล็กๆ และมิใช่เรื่องที่ไห่หรูเยวี่ยจะสามารถตัดสินใจคนเดียวได้ จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากวังสวรรค์หมื่นวิมานที่อยู่เบื้องหลังด้วย
ไห่หรูเยวี่ยนิ่งเงียบ สีหน้าเรียบเฉย นับว่าตอบรับโดยปริยายแล้ว
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสริมไปอีกประโยคหนึ่ง “ยังมีเรื่องเล็กน้อยบางเรื่องที่จำเป็นต้องได้รับคำอนุญาตจากองค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”
ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยถาม “มีอะไรก็พูดให้จบทีเดียวเลยมิได้หรือ?” น้ำเสียงเจือความโมโหเล็กน้อย
ดูเหมือนนางจะเข้าใจความทุกข์ทรมานของพวกซางเฉาจงแล้ว พวกซางเฉาจงสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่าหนิวโหย่วเต้ามีนิสัยไม่พูดทุกเรื่องออกมาในคราวเดียว การที่เขาค่อยๆ แง้มออกมาทีเรื่องทำให้คนระอาใจยิ่งนัก
ครั้งแรกที่มาขอเข้าพบก็บอกว่าเป็นยอดหมอมาตรวจอาการ ผลคือทันทีที่พบหน้าก็บอกว่ายอดหมอของเจ้าถูกจับไปแล้ว ต้องการให้เจ้าไปช่วยคน รอจนช่วยยอดหมอออกมาได้ ก็บอกว่ายอดหมออารมณ์ไม่ดีไม่อยากรักษา ต้องการสังหารซ่งหลง พอสังหารซ่งหลงได้ก็นึกว่าจะเรียบร้อยแล้ว ผลคือยอดหมอมิใช่ยอดหมอ ยอดหมอกลายเป็นตัวหนิวโหย่วเต้าเสียเอง เปลี่ยนตัวหมอก็ยังพอว่า แต่เปลี่ยนตัวแล้วก็ยังรักษาไม่ได้ ต่อมากลับละวางเรื่องบุตรชายนางลงก่อน กลายเป็นมาช่วยนางแทน ต้องการคลายความกังวลให้นาง
อ้อมวนกันอยู่พักใหญ่ ข้อเรียกร้องที่นางยื่นต่อทางซางเฉาจงว่าให้รักษาบุตรชายของนางถูกมองข้ามไปเสีย กลายเป็นเรื่องไม่สำคัญแล้ว เรื่องส่งกำลังทหารไปช่วยซางเฉาจงตีชิงจังหวัดชิงซานกลับถูกจัดให้เป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?
ตอนนี้คนผู้นี้กลับมีเรื่องจะขออีกแล้ว นางไม่โมโหสิถึงจะแปลก
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในบรรดาลูกน้องของซ่งหลงที่ถูกคุมขังอยู่ มีอยู่คนหนึ่งเป็นศิษย์ที่ถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ขับออกจากสำนัก กระหม่อมอยากพบเขาเป็นการส่วนตัวพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องนี้เจ้าหารือกับจูซุ่นได้เลย” ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยทิ้งท้ายไว้แล้วลุกออกไปทันที เลี่ยงไม่ให้คนผู้นี้เอ่ยเรื่องใดขึ้นมา ทำให้นางหงุดหงิดขึ้นมาอีก
ผู้เป็นนายจากไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าทำได้เพียงหันไปหาจูซุ่น หลังปรึกษาหารือเสร็จเรียบร้อยก็เดินออกไปรอก่อน รอให้จูซุ่นจัดการให้
ระหว่างที่ถูกนำทางไปพักผ่อน ฟางเจ๋อเงียบงันตลอดทาง รู้สึกว่าตนทำผิดต่อความไว้วางใจของท่านอ๋องอยู่บ้าง
จากการเจรจาเมื่อครู่นี้ เขาพอจะมองออกแล้ว หนิวโหย่วเต้าแทบจะโน้มน้าวไห่หรูเยวี่ยได้สำเร็จแล้ว เหลือเพียงให้ทางวังสวรรค์หมื่นวิมานทำการตัดสินใจออกมา เมื่อคิดถึงว่าตนอยู่ที่นี่มานานขนาดนี้ ตามเกลี้ยกล่อมไห่หรูเยวี่ยมานานขนาดนี้ก็ยังไม่เป็นผลเลยสักนิด สุดท้ายแทบจะคุกเข่าอ้อนวอนไห่หรูเยวี่ยแล้วก็ยังไม่ได้ผล จากนั้นมองไปที่หนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง อีกฝ่ายเพิ่งมาถึงวันนี้เอง ซ้ำพอมาถึงก็เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายปานนี้ แต่เพียงเอ่ยเกลี้ยกล่อมเล็กน้อยก็สามารถจัดการได้เป็นรูปเป็นร่างแล้ว
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าตนพยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ไห่หรูเยวี่ยไม่มีทางเปลี่ยนความคิดได้
ทว่าตอนนี้ เขาพอจะเข้าใจความห่างชั้นระหว่างบุคคลแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดทางท่านอ๋องถึงส่งจดหมายมาแจ้งว่าให้ตนร่วมมือกับอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ เพราะท่านอ๋องส่งยอดนักโน้มน้าวตัวจริงมาแล้ว!
และเป็นเพราะเหตุนี้ เขาจึงรู้สึกคับข้องใจอยู่ลึกๆ แค้นตัวเองที่ไร้ความสามารถ แค้นตัวเองที่ทำให้ท่านอ๋องต้องสูญเสียเวลาอันมีค่าไปมากขนาดนี้ แล้วก็เกือบทำให้งานใหญ่ของท่านอ๋องต้องเสียหาย!
สายตาที่เขามองไปที่หนิวโหย่วเต้าอีกครั้งเปี่ยมไปด้วยความเคารพเลื่อมใส ไม่ได้มีความคิดที่ว่าหนิวโหย่วเต้ากำลังก่อเรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายอีก
หยวนฟางที่เดินตามหลังหนิวโหย่วเต้าก็รู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน ก่อนหน้านี้ยังอกสั่นขวัญแขวนอยู่ กังวลว่าจะถูกตัดหัวเพราะเรื่องรักษาอาการป่วย ไม่คิดเลยว่าจะผ่านพ้นไปเช่นนี้ได้ เรื่องรักษาอาการป่วยเหมือนจะไม่สำคัญอีกต่อไป คิดไม่ถึงว่าเรื่องการรักษาจะถูกเบี่ยงเบนออกไป
ตอนนี้ชัดเจนแล้ว เรื่องราวกลายเป็นเช่นนี้ ต่อให้ขอผลตะวันชาดมาไม่ได้ แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า?
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเต้าเหยี่ยเก่งกาจยิ่งนัก วันนี้ติดตามเต้าเหยี่ยมานับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว พบว่าเรื่องที่ตนเองต้องเรียนรู้จากเต้าเหยี่ยยังมีอีกมาก!
ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดชายฉกรรจ์ห้าวหาญเย่อหยิ่ง เย็นชาแข็งกร้าว ไร้เหตุผลและไม่ยอมฟังใครอย่างหยวนกังถึงยอมสยบต่อเต้าเหยี่ย!
……
ชุลมุนวุ่นวายกันยกใหญ่ ล่วงเลยเข้ายามดึกแล้ว
ณ ลานเรือนเงียบสงัด ไห่หรูเยวี่ยยืนเดียวดาย แหงนหน้ามองจันทรา
จูซุ่นเดินเข้าหยุดข้างกายนางอย่างแผ่วเบา กระซิบว่า “ฮูหยิน สั่งการลงไปแล้วขอรับ”
ไห่หรูเยวี่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
จูซุ่นกล่าวว่า “แม้จะบอกว่ามาโน้มน้าว แต่ที่พูดมาก็มีเหตุผลขอรับ”
ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยด้วยความกลัดกลุ้มเล็กน้อย “ในอดีตข้างกายหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋ว ฝ่ายบุ๋นมีพวกลั่วเส้าฟู ฝ่ายบู๊มีพวกเหมิงซานหมิง บุ๋นบู๊สอดรับขับเสริม ทัพใหญ่เกรียงไกรยืนยง หากมิใช่เพราะขาดแรงสนับสนุนที่มากพอจากโลกบำเพ็ญเพียร เกรงว่าผู้ปกครองแคว้นเยี่ยนคงถูกเปลี่ยนตัวไปแล้ว ยามนี้ข้างกายซางเฉาจงที่เป็นบุตรชายของเขาก็ปรากฏผู้มีความสามารถเช่นกัน ตอนแรกที่ได้รับแจ้งข่าวว่าเขาถูกปล่อยตัวออกมาจากเมืองหลวงแคว้นเยี่ยน ข้ายังนึกดูแคลนเขาอยู่เลย! ”
จูซุ่นเองก็ถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ใช่ขอรับ! ข้างกายมีทหารติดตามเพียงห้าร้อยนาย ซ้ำยังถูกกดดันจากราชสำนักแคว้นเยี่ยน ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนแต่ต้องนึกดูแคลน ต่างคิดว่าเมืองศักดินาคงจะกลายเป็นสุสานฝังศพเขา หรือไม่ก็คงหลบหนีไป ทว่าตลอดการเดินทางกลับมีระเบียบแบบแผน ทุกอย่างมีขั้นมีตอน แรกเริ่มก็แต่งกับธิดาของเฟิ่งหลิงปอก่อน หยิบยืมกำลังทหารจากเฟิ่งหลิงปอ จากนั้นก็ใช้กำลังควบคุมอำเภอชางหลูตั้งหลักให้มั่นคง ตอนนี้ก็ต้องการยึดครองจังหวัดชิงซานอีก ไม่อาจดูแคลนได้เลยขอรับ!”
ไห่หรูเยวี่ยกล่าวว่า “เกรงว่าความตั้งใจของเขาจะมิใช่แค่จังหวัดชิงซานเล็กๆ จังหวัดเดียว ข้าว่าเป้าหมายต่อไปของเขาน่าจะเป็นมณฑลหนานโจวทั้งแถบ! ทันทีที่ยึดจังหวัดชิงซานได้ เมื่อข่าวแพร่ไปถึงเมืองหลวงแคว้นเยี่ยน ไม่รู้ว่าฮ่องเต้แห่งแคว้นเยี่ยนจะนึกเสียที่ปล่อยเสือเข้าป่าหรือไม่! หากสถานการณ์โดยรวมดำเนินไปเช่นนี้ แผนการจากยอดคนทรงปัญญาเพียงแผนการเดียวก็มีค่าเทียบเท่าทหารกล้านับแสนแล้ว หรือว่าตัวข้าที่ครอบครองมณฑลจินโจวยังเทียบซางเฉาจงคนเดียวไม่ได้? เหตุใดถึงไม่เห็นยอดคนทรงปัญญามาเข้าร่วมกับข้าเลย หรือเพียงเพราะข้าเป็นสตรี?” ความหมายในวาจานี้คล้ายกำลังคิดว่าข้างกายตนขาดผู้มีความสามารถคอยช่วยเหลือ
จูซุ่นเงียบไป ไม่สะดวกจะออกความเห็น
จู่ๆ ไห่หรูเยวี่ยก็ถามขึ้นมาอีก “ไม่รู้เช่นกันว่าแผนการมาโน้มน้าวข้าในตอนแรกมาจากหลานรั่วถิงที่เป็นศิษย์ของลั่วเส้าฟู หรือมาจากตัวหนิวโหย่วเต้ากันแน่?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า