ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 114

ตอนที่ 114 ตัดความสัมพันธ์

ณ อำเภอชางหลู คฤหาสน์หนิงอ๋อง

ฟ้ายังไม่ทันสาง ด้านนอกห้องก็มีลูกน้องมาเคาะประตูร้องเรียกแล้ว “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”

ซางเฉาจงที่ยังหลับตาจมอยู่ในห้วงนิทราพลันลืมตาขึ้นมาทันที หันไปร้องถาม “มีเรื่องใด?”

เฟิ่งรั่วหนานที่นอนอยู่ข้างๆ ก็ถูกปลุกขึ้นมาด้วยเช่นกัน นางยกศีรษะมองสีท้องฟ้านอกหน้าต่างเล็กน้อย ขมวดคิ้วนิดๆ ฟ้ายังไม่ทันสว่างเลย หรือจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น?

ปัจจุบันนี้ทั้งสองย่อมไม่ตีกันตอนอยู่ในห้องแล้ว เวลาล่วงเลยมานานขนาดนี้ เฟิ่งรั่วหนานเองก็ค่อยๆ เคยชินกับสถานะนี้แล้ว ตอนนอนก็เคยชินกับการนอนร่วมห้องแล้วเช่นกัน

มีเสียงตอบมาจากด้านนอก “ท่านหญิงมาขอพบพ่ะย่ะค่ะ”

อันที่จริงซางซูชิงก็เพิ่งกลับมาถึงได้ไม่นาน เพิ่งมาถึงก่อนพลบค่ำวานนี้ หลังจากหนิวโหย่วเต้าออกจากหมู่บ้านไป นางก็ไม่มีอารมณ์อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนั้นต่ออีก ประกอบกับห่วงพะวงเรื่องทางนี้ ดังนั้นทันทีที่หนิวโหย่วเต้าจากไป นางจึงพาหยวนกังเก็บข้าวของเดินทางกลับมาแทบจะในทันที

ขากลับราบรื่นกว่าขาไปมากนัก แล้วก็สบายกว่ามากด้วย ทางหมู่บ้านจัดเตรียมเรือเอาไว้ลำหนึ่ง ล่องผ่านธารน้ำในทางลับใต้ดิน สะดวกสบายยิ่ง

ซางเฉาจงเองก็มองสีสันของท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างเช่นกัน ทราบว่าหากไม่มีเรื่องด่วน ซางซูชิงไม่มีทางมารบกวนในเวลานี้แน่ จึงรีบดึงผ้าห่มออกแล้วลงจากเตียง คลำหารองเท้ามาสวมอย่างรวดเร็ว หยิบผ้าคลุมกันลมมาห่มไว้บนตัวโดยไม่สวมใส่เสื้อตัวนอก จากนั้นก็รีบออกไป

เฟิ่งรั่วหนานลุกขึ้นนั่ง เผยสีหน้างุนงงสงสัย

ทันทีที่ซางเฉาจงเปิดประตูเดินออกมา ลูกน้องคนหนึ่งก็รีบเข้ามาประชิดตัวกระซิบรายงานว่า “ท่านอ๋อง ท่านหญิงมีธุระด่วน บอกว่าไม่สะดวกมาคุยกับท่านอ๋องที่นี่ ขอให้ท่านอ๋องไปหาท่านหญิงพ่ะย่ะค่ะ”

ซางเฉาจงฟังความหมายที่แฝงอยู่ในวาจานี้ออก เขามองไปรอบๆ แวบหนึ่ง ที่นี่มีสายของเฟิ่งรั่วหนานอยู่ไม่น้อย แต่ทางฝั่งของซางซูชิงล้วนเป็นคนฝ่ายตนทั้งสิ้น จึงพยักหน้าเล็กน้อย ก้าวอาดๆ ออกไป

เมื่อมาถึงเรือนเล็กที่ซางซูชิงพักอาศัย ซางเฉาจงถึงพบว่าหลานรั่วถิงก็อยู่ด้วย ยืนอยู่ด้วยกันกับซางซูชิง เห็นได้ชัดว่ากำลังรอเขาอยู่

พอพบหน้าก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ หลานรั่วถิงส่งสัญญาณว่าให้ไปที่ห้องหนังสือของซางซูชิง ขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณมือให้องครักษ์ด้วย สื่อว่าให้เฝ้าระวังไว้ อย่าให้ใครหน้าไหนเข้ามาใกล้ได้

ห้องหนังสือของซางซูชิงงดงามเป็นอย่างมาก แขวนภาพวาดที่ตัวเองวาดเอาไว้ ซ้ำยังมีตัวอักษรที่เขียนด้วยตัวเอง ภาพบุปผางดงามเรียบง่าย ลายมืองามชดช้อย

ตะเกียงถูกจุดเอาไว้แล้ว พอเข้ามาในห้องหนังสือ ซางเฉาจงยังไม่ทันได้ถามว่ามีเรื่องใด หลานรั่วถิงก็ล้วงจดหมายลับฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้เขา

จดหมายลับมิใช่ตัวต้นฉบับ เนื่องจากต้นฉบับเป็นรหัสลับที่ใช้สื่อสารกันในกองทัพ หลานรั่วถิงได้ทำการแปลและคัดลอกออกมาเพื่อให้อ่านได้สะดวกขึ้น แต่ถึงแม้จะใช้รหัสลับ ทว่าการสื่อสารผ่านปีกทองก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดี ระหว่างทางเต็มไปด้วยสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดคะเนได้ หากตกอยู่ในกำมือของผู้อื่นก็อาจจะถูกถอดรหัสได้เช่นกัน

ซางเฉาจงคลี่เปิดอย่างรวดเร็ว อ่านจดหมายภายใต้แสงตะเกียง ค่อยๆ เผยสีหน้าตกใจและปิติยินดีสลับกันไปมา เหตุที่ตกใจเป็นเพราะไม่คิดว่าหนิวโหย่วเต้าจะบังเอิญพบซ่งหลังทันทีที่ไปถึงมณฑลจินโจว ต้องเผชิญกับสถานการณ์อันตราย ส่วนเหตุที่ยินดีเป็นเพราะหนิวโหย่วเต้ามิใช่แค่คลี่คลายสถานการณ์อันตรายได้เท่านั้น แต่ยังโน้มน้าวทางไห่หรูเยวี่ยได้ด้วย หาทางออกให้ทางฝั่งนี้ที่กำลังตกอยู่ในสภาวะเข้าตาจนได้อีกครั้ง

ในจดหมายลับได้บอกเล่ารายละเอียดต่างๆ เอาไว้อย่างชัดเจน คาดว่าทางไห่หรูเยวี่ยคงหวั่นไหวแล้ว ให้ทางนี้เตรียมตัวรอไว้ล่วงหน้าได้เลย

หลังจากวางจดหมายในมือลง ซางเฉาจงเงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจยาวๆ คราหนึ่ง “ข้าได้รับความช่วยเหลือจากเต้าเหยี่ย ดุจมัจฉาพบวารี สวรรค์เป็นใจให้ข้าจริงๆ!”

หลานรั่วถิงเองก็กล่าวอย่างสะท้อนใจยิ่งนัก “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ! ไม่คิดเลยว่าจะรวดเร็วขนาดนี้ เต้าเหยี่ยเพิ่งไปถึงมณฑลจินโจวเมื่อวาน แทบจะจัดการเรื่องนี้ได้ภายในชั่วข้ามคืน เป็นบุคคลมีความสามารถที่หาได้ยากจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ! ท่านอ๋อง ยอดคนทรงปัญญา มีค่าเทียมทหารกล้านับแสน ที่แม่ทัพเหมิงฝากข้อความมาบอกให้ผูกมิตรไว้นั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

ซางซูชิงมีสีหน้ามึนงงเล็กน้อย จำได้ว่าตอนอยู่ที่หมู่บ้านในหุบเขา นางยังห้ามปรามอีกฝ่ายเอาไว้ คิดว่าจะไปเสียเที่ยว นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหนิวโหย่วเต้าจะจัดการเรื่องราวได้รวดเร็วขนาดนี้ นางเพิ่งกลับมาถึงก็ได้รับข่าวดีแล้ว

แต่ก็เป็นเพราะเรื่องนี้ นางจึงเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า “ฟางเจ๋อทำงานผิดพลาด! คนตระกูลซ่งไปถึงแล้ว แต่กลับไม่รู้เรื่องอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว หากมิใช่เพราะเต้าเหยี่ยแก้ไขปัญหาทันการ กลับร้ายกลายเป็นดีได้ด้วยตัวเอง มิเช่นนั้นเต้าเหยี่ยคงต้องมีภัย มิเช่นนั้นจากปัญหาเล็กๆ คงจะกลายเป็นปัญหาใหญ่จนทำให้เสียงานใหญ่ได้ !”

ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงมองหน้ากัน น้อยครั้งนักที่ซางซูชิงจะใช้น้ำเสียงและท่าทีเช่นนี้

หลานรั่วถิงเงียบไปเล็กน้อย เอ่ยว่า “ท่านหญิง อันที่จริงเรื่องนี้ก็มิอาจกล่าวโทษฟางเจ๋อไปเสียทั้งหมดได้ พวกเราไม่มีเส้นสายอันใดที่มณฑลจินโจวเลย ฟางเจ๋อมีกำลังคนจำกัด จับตามองไม่ทั่วถึงก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือฟางเจ๋อไม่ทราบสถานการณ์ของเต้าเหยี่ย ไม่รู้เรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างเต้าเหยี่ยและตระกูลซ่ง ขอท่านหญิงโปรดอภัยให้เขาด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”

ซางซูชิงเอ่ยเสียงเข้ม “กำลังคนไม่พอไยไม่คิดหาทางเพิ่มพูนกำลังคนเล่า? ยามออกเดินทางก็พกค่าใช้จ่ายไปไม่น้อยมิใช่หรือ? เลินเล่อจนเกิดความผิดพลาดเช่นนี้ ทำงานไม่ดีก็คือทำงานไม่ดี ต้องหาข้อแก้ตัวด้วยหรือ? ข้าว่าเขาไร้ความสามารถมากกว่า!”

จากท่าทีของนางเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจฟางเจ๋อยิ่งนัก บุคลิกความเป็นท่านหญิงพลันระเบิดออกมา ถึงอย่างไรก็เป็นเจ้าคนนายคนมานาน รากฐานนั้นฝังลึกอยู่ในกระดูก

คนอื่นๆ ไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกของนาง หากมิใช่เพราะนางอยากได้คำแนะนำจากหนิวโหย่วเต้าจนเล่าเรื่องนี้ออกไป หนิวโหย่วเต้าที่อยู่ระหว่างเก็บตัวบำเพ็ญเพียรก็ไม่มีความจำเป็นต้องสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องนี้เลย ผลสุดท้ายคืออีกฝ่ายออกเดินทางไป พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจัดการเรื่องราวให้ครอบครัวนาง แต่สุดท้ายเกือบต้องเอาชีวิตไปทิ้งเพราะความสะเพร่าของทางฝั่งนี้

สถานการณ์ที่รายงานมาในจดหมายลับช่างอันตรายเสียเหลือเกิน ซ่งหลงมีฐานะเป็นราชทูตแคว้นเยี่ยน ข้างกายไหนเลยจะขาดแคลนยอดฝีมือได้?

เท่าที่รู้จักหนิวโหย่วเต้ามานานขนาดนี้ นางรับรู้ได้ว่าเขาเป็นคนเรียบง่ายสบายๆ ไม่ได้ต้องการเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งอะไรมากเกินไป เป็นนางที่พยายามใช้ประโยชน์จากหยวนกังเพื่อรั้งตัวเขาไว้ และเป็นเพราะนางเขาถึงต้องออกไปทำงานหนักเพื่อครอบครัวนาง ผลคือประสบเหตุไม่คาดฝันจนเกือบเอาชีวิตไปทิ้ง นางคิดๆ ไปก็รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด!

หลานรั่วถิงกระอักกระอ่วนเล็กน้อย พยักหน้าพลางกล่าวว่า “พ่ะย่ะค่ะ ท่านหญิงกล่าวถูกแล้ว ประเดี๋ยวกระหม่อมจะส่งหนังสือไปตำหนิเขาพ่ะย่ะค่ะ!”

ซางเฉาจงไม่ต้องการให้หลานรั่วถิงขายหน้าจนเกินไป เพราะว่าหลานรั่วถิงเป็นคนคัดเลือกฟางเจ๋อให้ไปทำภารกิจนี้เอง น้องสาวพูดจาเช่นนี้ออกจะไม่ไว้หน้าอาจารย์หลานอยู่บ้าง เขาจึงเอ่ยว่า “ชิงเอ๋อร์ พวกเราไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว กำลังคนที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ฟางเจ๋อเองก็ขาดแคลนประสบการณ์ในการเจรจาเช่นกัน บุคคลมีความสามารถล้วนต้องผ่านการขัดเกลาทั้งสิ้น…แต่แน่นอนว่าไม่มีทางนำไปเทียบกับผู้มีความสามารถแต่กำเนิดอย่างเต้าเหยี่ยได้ แต่ก็เหมือนคำกล่าวที่ว่าผิดเป็นครู ครั้งนี้ได้รับบทเรียนแล้ว ครั้งต่อไปเขาน่าจะใส่ใจมากขึ้น”

ซางซูชิงเองก็ตระหนักได้เช่นกันว่าอารมณ์ของตนผิดปกติไปเสียหน่อย วาจากล่าวรุนแรงเกินไป จะไปลงโทษฟางเจ๋อด้วยเรื่องนี้ก็ออกจะไร้เหตุผลไปบ้าง นางพยักหน้ารับพลางเอ่ยว่า “ข้าก็หวังว่าเขาจะระมัดระวังให้มากขึ้น ใส่ใจรอบข้างให้มากขึ้น เพราะนี่เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะทำผิดพลาดได้ ”

หลานรั่วถิงพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “ท่านหญิงกล่าวมีเหตุผลพ่ะย่ะค่ะ” เพียงแต่แววตาที่มองซางซูชิงมีความสงสัยเจืออยู่เล็กน้อย

ซางเฉาจงยกมือสื่อให้ยุติเรื่อง จากนั้นโบกจดหมายลับในมือ เอ่ยขึ้นว่า “มาหารือกันก่อนดีกว่าว่าจะแจ้งทางสำนักหยกสวรรค์อย่างไร”

ซางซูชิงกลับเอ่ยแทรกขึ้นมาว่า “เรื่องที่เต้าเหยี่ยให้พวกเราประกาศว่าตัดความสัมพันธ์กับเขาแล้วล่ะ จะจัดการอย่างไร?”

ภายในห้องหนังสือเงียบสงัดลงอีกครั้ง หลานรั่วถิงถอนหายใจ “เต้าเหยี่ยมีน้ำใจนัก อีกทั้งหวังดีต่อพวกเรา อันว่าสถานะนี้ เดิมทีเต้าเหยี่ยก็มิได้สนใจอยู่แล้ว จะมีหรือไม่มีก็ไม่ต่างกัน จัดการตามที่เขาบอกเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

ซางซูชิงเม้มปาก สิ่งที่นางอยากจะกล่าวคือหากตัดขาดสถานะนี้ไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าจะจากไปเช่นนี้เลยหรือไม่?

กว่าทางนี้จะหารือจนได้ข้อสรุปออกมา ฟ้าก็สว่างแล้ว

ซางเฉาจงและหลานรั่วถิงจากไปพร้อมกัน ทั้งสองมองข้ามเฟิ่งรั่วหนานไป ตรงไปที่เรือนพำนักของไป๋เหยา

หลังจากเข้าพบไป๋เหยา ทั้งสองเลือกบอกเล่าสถานการณ์ ถึงขนาดที่จัดเรียงลำดับแผนการให้เล็กน้อยด้วย

ไป๋เหยารับฟังด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เดินวนกลับไปกลับมาอยู่ในลานเรือนพลางใช้ความคิด

หลานรั่วถิงจ้องมองปฏิกิริยาเขาพลางเอ่ยถามว่า “ในเมื่อไห่หรูเยวี่ยมีความคิดเช่นนี้ ไม่ทราบว่าพวกเราควรบุกยึดจังหวัดชิงซานที่อยู่เบื้องหน้านี้หรือไม่”

ไป๋เหยาหยุดเดิน หันมามองพลางเอ่ยว่า “รอข้ารายงานทางสำนักก่อน หลังจากได้รับคำตอบแล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย!”

หลานรั่วถิงและซางเฉาจงสบตากับ ซางเฉาจงประสานมือกล่าวไปว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นพวกเราจะรอคอยข่าวจากทางฝ่าซือ”

ไป๋เหยาปรายตามองอย่างเย็นชา เอ่ยขึ้นว่า “ไหนบอกว่าหนิวโหย่วเต้าคุ้มกันท่านหญิงไปติดต่อกับกองกำลังเก่าของหนิงอ๋องไง? ไฉนจึงไปโผล่ที่มณฑลจินโจวได้?”

หลานรั่วถิงรีบอธิบายว่า “ทางมณฑลจินโจวเพิ่งส่งข่าวมา พวกเราไม่มีลูกน้องคนใดอยู่ด้านนอกเลย จึงจำเป็นต้องรบกวนเต้าเหยี่ยไปเยือนสักครา ไม่ได้เตรียมการใดๆ ไว้เลยจริงๆ หากตั้งใจจริงคงไม่มีทางปะทะกับซ่งหลงเข้า”

“ข้าไม่เข้าใจ!” ไป๋เหยาตอบโต้กลับอย่างไม่เกรงใจเลย เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ท่านอ๋อง ครั้งหน้าหากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ขอให้บอกกล่าวกันก่อนจะเป็นการดีที่สุด เลี่ยงไม่ให้เกิดความไม่พอใจขึ้น!”

หลานรั่วถิงยิ้มเจื่อนพลางกล่าวว่า “ตอนแรกไหนเลยจะทราบว่าเป็นเรื่องนี้ ไห่หรูเยวี่ยเพียงบอกว่ามีเรื่องจะปรึกษา…”

….

ในสวนผัก ในหมู่สมณะที่กำลังกำจัดวัชพืชในแปลงผักมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เป็นเว่ยตัว!

หยวนกังที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้คอยมองคนที่เคยตายไปแล้วครั้งหนึ่งคนนี้อยู่เป็นระยะ จากที่ได้ฟังมา เขาคุกเข่าอยู่นอกประตูจนเกือบตาย เกือบถูกนำไปฝังแล้ว โชคดีที่ไป๋เหยาออกไปสอบถามดูเล็กน้อย ช่วยตรวจสอบอาการให้ ถึงได้ยื้อชีวิตเขากลับมาได้

ได้ยินว่าครั้งนั้นบาดเจ็บสาหัส รักษาตัวอยู่พักใหญ่กว่าจะทุเลา หลังลงจากเตียงได้ ไป๋เหยาก็พาคนมาทิ้งไว้กับทางนี้

หนิวโหย่วเต้าไม่อยู่ ไม่รู้จะจัดการคนติดอ่างผู้นี้อย่างไรดี แต่หยวนกังก็คล้ายไม่มีทีท่าว่าจะขับไล่เขาไปเลย

สมณะรูปหนึ่งที่สวมหมวกไผ่สานไว้เร่งเดินเข้ามาจากอีกฟากหนึ่ง เขาเพิ่งกลับมาจากไปหาซื้อเครื่องใช้สำหรับเหล่าสมณะในตัวอำเภอมา บนหลังสะพายตะกร้าสานเอาไว้ใบหนึ่ง

“หยวนเหยี่ย ข้าเพิ่งเห็นประกาศแจ้งในตัวอำเภอมาขอรับ ยงผิงจวิ้นอ๋องประกาศว่าเขาขับไล่เต้าเหยี่ยออกจากอำเภอชางหลูแล้ว ทางนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเต้าเหยี่ยอีกต่อไปขอรับ”

หยวนกังหันขวับทันที

สมณะรูปนั้นเอ่ยต่อว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันขอรับ? เป็นความจริงหรือขอรับ? เต้าเหยี่ยยังจะกลับมาหรือเปล่า? เจ้าอาวาสล่ะขอรับ? เจ้าอาวาสจะตามเต้าเหยี่ยกลับมาหรือเปล่าขอรับ?”

หยวนกังเอ่ยเสียงขรึม “รายละเอียดบนประกาศว่าอย่างไรบ้าง?”

“บอกว่าเรื่องที่เต้าเหยี่ยสังหารซ่งหลงราชทูตแคว้นเยี่ยนในอาณาเขตแคว้นจ้าวเป็นเรื่องบุญคุณความแค้นส่วนตัวอะไรทำนองนั้น ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับทางนี้…”

หลังจากได้ฟังเรื่องราวคร่าวๆ หยวนกังก็หันหลังออกเดินไป

องครักษ์เฝ้าประตูของซางเฉาจงไม่สามารถสกัดขวางหยวนกังได้ คนหนึ่งถูกหยวนกังถีบกระเด็น อีกคนนึ่งถูกจับทุ่มข้ามไหล่ สุดท้ายถึงได้ถูกผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งขวางไว้

เสียงอึกทึกด้านนอกทำให้พวกซางเฉาพากันโผล่หน้าออกมาดู พอเห็นว่าเป็นฝีมือหยวนกัง พวกซางเฉาจงก็คาดเดาสถานการณ์ได้ทันที

ทั้งสามคนรีบเดินเข้ามา ขอให้ผู้บำเพ็ญเพียรคนนั้นหลีกทาง เชิญหยวนกังเข้าไปคุยกันในเรือน

ทันทีที่เข้าไปในเรือน หยวนกังพลันเอ่ยถามอย่างเย็นชา “ประกาศที่บอกว่าตัดความสัมพันธ์กับเต้าเหยี่ยหมายความว่าอย่างไร?”

“น้องหยวนเข้าใจผิดแล้ว นี่มิใช่ความต้องการของพวกเรา เป็นเต้าเหยี่ยที่ส่งข่าวมาบอกให้พวกเราทำ…” หลานรั่วถิงบอกเล่าสถานการณ์โดยรวมทันที

หยวนกังเข้าใจแล้ว ที่แท้หนิวโหย่วเต้าไม่ได้ออกจากหมู่บ้านเพื่อไปเสาะหาของจำเป็นสำหรับการบำเพ็ญเพียรอันใด หากแต่ไปช่วยจัดการเรื่องให้คนพวกนี้ ประสบเรื่องเหนือความคาดหมาย ปะทะกับคนตระกูลซ่งเข้า เขาจ้องมองซางซูชิงอย่างเย็นชา “ท่านรู้เรื่องนี้แต่แรกใช่หรือไม่? เหตุใดถึงปิดบังข้า?”

ซางซูชิงถูกซักถามจนรู้สึกละอายนัก เอ่ยด้วยความลำบากใจ “เป็นเต้าเหยี่ยที่กำชับไม่ให้ข้าบอกเรื่องนี้กับเจ้า”

หากไม่รู้เรื่องนี้ยังพอว่า แต่ทันทีที่รู้ หยวนกังพลันหันหลังจากไปทันที

“น้องหยวน น้องหยวน…” ไม่ว่าคนทั้งสามจะร้องเรียกอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ หยวนกังเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา

………………………………………………………..

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า