ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 12

ตอนที่ 12 ไม่เคยเจอคนหน้าไม่อายเช่นนี้มาก่อน

ขั้นตอนทะลวงเส้นลมปราณนั้นค่อนข้างเชื่องช้า โดยพื้นฐานแล้วเส้นลมปราณที่ในเวลานี้ยังไม่เคยผ่านการใช้งานอย่างเป็นทางการมาก่อนจะมีความอ่อนแอบอบบาง ไม่อาจฝืนทำการชะล้างอย่างรุนแรงได้ จำเป็นต้องมีกระบวนการปรับตัว ในจุดนี้ก็เหมือนกับท่อน้ำคุณภาพต่ำเส้นหนึ่ง การที่จู่ๆ ต้องมารองรับแรงดันน้ำสูงจะทำให้ระเบิดได้ง่ายๆ

และเส้นลมปราณที่ใช้สำหรับเดินลมปราณภายในร่างกายก็คือสิ่งที่เป็นพื้นฐานของการฝึกฝนปราณแท้ ในการบำเพ็ญเพียรมีสิ่งที่เรียกว่า ‘สร้างรากฐาน’ อยู่ อันที่จริงสิ่งที่เรียกว่าสร้างรากฐานก็คือการทำให้เส้นลมปราณสำหรับโคจรลมปราณที่เป็นเหมือนตาข่ายภายในร่างกายผืนนั้นมีความแข็งแกร่ง ทำให้ช่องทางสำหรับไหลเวียนปราณแท้ภายในร่างกายสามารถทนรับแรงดันสูงและสามารถรับแรงกระแทกด้วยความเร็วสูงได้ เมื่อวางรากฐานให้ดีแล้ว หรือก็คือบรรลุถึงสภาวะที่เรียกว่า ‘สร้างรากฐาน’ แล้ว เมื่อนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าเส้นลมปราณจะมีปัญหาอีก แต่แน่นอน การสร้างรากฐานมันก็ยังมีการแบ่งแยกว่าสร้างได้ดีกับสร้างได้ไม่ดีอยู่ รากฐานยิ่งดีเท่าไร ความสามารถในการรับแรงกดดันก็ย่อมมากขึ้นเท่านั้น

ตอนนี้เขาเพิ่งจะก้าวเดินไปในขอบเขตของการฝึกลมปราณได้ไม่นาน ยังอยู่ห่างไกลจากสภาวะขั้นสร้างรากฐานอยู่มากนัก

การทะลวงเส้นลมปราณมิใช่สิ่งที่จะทำให้สำเร็จได้ในวันสองวัน นี่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน จำเป็นต้องใช้เวลาพอสมควร ยิ่งไปกว่านั้นช่วงกลางวันเขายังต้องออกไปเสนอหน้าแสร้งทำตัวว่านอนสอนง่ายอีก

ทันทีที่แสงอรุณปรากฏ เขาก็เก็บลมปราณทันที ปราณแท้สายหนึ่งถูกเก็บไว้ในจุดตันเถียน เสมือนกระบี่ล้ำค่าตั้งตระหง่านลองล่อยพร้อมประจัญบาน กระแสปราณเต็มเปี่ยม

หนิวโหย่วเต้าอาบน้ำล้างหน้า ขจัดกลิ่นคาวเลือดทั้งตัวจนหมด ยืนอยู่กลางลานเรือนอ้าสองแขนรับแสงตะวันแรกของวัน เมื่อฝึกฝนจนเกิดปราณแท้ เขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าสบายตัวที่ห่างหายไปนาน

กลางวันรับมือกับสวี่อี่เทียนและเฉินกุยซั่ว พอตกกลางคืนก็ละวางการฝึกฝนอื่นๆ ไว้ชั่วคราว เข้าสู่สภาวะทะลวงเส้นลมปราณทันที

วันเวลาเช่นนี้ผ่านพ้นไปทีละวันๆ คล้ายจะไม่มีผู้ใดให้ความสนใจกับตัวเขาเลย เขาเกิดความรู้สึกเหมือนตนถูกหลงลืมไว้ในซอกมุมหนึ่ง

กลับเป็นซ่งเหยี่ยนชิงที่ระลึกถึงตนอยู่เสมอ แวะเวียนมาหาทุกสองวันสามวัน ถามว่าเขานึกบทกลอนของอาจารย์ออกหรือไม่ หนิวโหย่วเต้าย่อมบ่ายเบี่ยงไปอย่างนุ่มนวล ไม่เห็นหมูย่อมไม่ยื่นแมว

หลายวันผ่านไป ผู้อาวุโสหลัวหยวนกงมาเยือน คนผู้นี้คือผู้อาวุโสถ่ายทอดวิชาของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ท่าทางองอาจภูมิฐานยิ่ง หนวดเครายาวสามเส้นดำดุจน้ำหมึก ให้ความรู้สึกขึงขังทรงอำนาจ เมื่อเทียบกันแล้ว ภาพลักษณ์ของผู้อาวุโสซูพั่วในความทรงจำของศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ดูจะเงียบขรึมสงวนวาจา ส่วนผู้อาวุโสถังซู่ซู่ดูค่อนข้างเฉียบแหลม ไม่ทราบว่าเพราะเป็นสตรีหรือไม่

ซ่งเหยี่ยนชิงก็ตามมาด้วย ที่พวกเขามาเยือนครั้งนี้มิใช่เพราะเรื่องอื่นใด หากแต่มาเพื่อถ่ายทอดวิชาให้แก่หนิวโหย่วเต้าอย่างเป็นทางการ การที่หลัวหยวนกงมาด้วยตัวเองก็เพื่อจะทำให้ขั้นตอนนี้ดูเป็นทางการขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น

มาตรว่าเป็นเช่นนี้ หนิวโหย่วเต้ายังคงเลื่อมใสในความสามารถของซ่งเหยี่ยนชิงเป็นอย่างยิ่ง การที่สามารถรบเร้าให้หลัวหยวนกงมาที่นี่ได้ แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่ตระกูลซ่งมีต่อสำนักสวรรค์พิสุทธิ์

ภายในโถงดอกท้อมีรูปปั้นบรรพจารย์ตั้งอยู่ หลังจากคารวะบรรพจารย์เสร็จเรียบร้อย หลัวหยวนกงก็สั่งให้ศิษย์ผู้ติดตามนำเอาตำราสองสามเล่มมอบให้แก่หนิวโหย่วเต้า จากนั้นสั่งให้หนิวโหย่วเต้าคุกเข่ากล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าบรรพจารย์ สาบานว่าจะไม่แพร่งพรายวิชาต่อคนนอก

พิธีการเสร็จเรียบร้อย ความจริงสีหน้าที่หลัวหยวนกงมองดูหนิวโหย่วเต้าเองก็ค่อนข้างสับสนอยู่เช่นกัน เนื่องจากตนรู้อยู่แก่ใจดี จะเรียกว่าละอายใจก็ว่าได้ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้ารูปปั้นบรรพจารย์ เขาก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ หลังละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าที่เคร่งขรึมก็โอนอ่อนลง เอ่ยกำชับหนิวโหย่วเต้าด้วยท่าทีอ่อนโยนว่า “ศิษย์พี่ของข้าก็นับว่าฉลาดหลักแหลม ศิษย์หลายคนที่เขารับไว้ต่างเป็นอัจฉริยะในหมู่คน อาจารย์ของเจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้น นับว่าเป็นยอดคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่มีอยู่น้อยนิดในช่วงหลายปีมานี้ หวังว่าเจ้าจะตั้งใจฝึกฝนบำเพ็ญเพียร อย่าให้ผิดต่อความหวังสุดท้ายของอาจารย์เจ้า มุ่งสร้างคุณูปการประสบความสำเร็จ แล้วก็เพื่อเป็นกำลังส่วนหนึ่งให้แก่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ของพวกเราในอนาคต”

“ขอรับ ศิษย์จะจดจำไว้!” หนิวโหย่วเต้าประคองม้วนตำราด้วยท่าทางเคารพนอบน้อม ทว่าภายในใจปิติจนแทบคลั่ง แทบทนรอพลิกอ่านตำราในมือให้หนำใจไม่ไหวแล้ว

หลัวหยวนกงหันไปเอ่ยกับซ่งเหยี่ยนชิง “เป็นศิษย์ร่วมสำนักก็สมควรช่วยเหลือเกื้อกูลกัน อาจารย์ลุงตงกัวของเจ้าสิ้นบุญไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าไร้ผู้ถ่ายทอดวิชา เรื่องชี้แนะแนวทางและไขข้อสงสัยในการบำเพ็ญเพียรก็ขอมอบให้เป็นหน้าที่เจ้าก็แล้วกัน มีข้อโต้แย้งหรือไม่?”

ซ่งเหยี่ยนชิงประสานมือกล่าวตอบทันที “ไม่มีข้อโต้แย้งขอรับ ศิษย์จะพยายามอย่างเต็มที่!”

หลัวหยวนกงพยักหน้า จากนั้นเดินเล่นในสวนดอกท้อรอบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสะเทือนใจที่ตงกัวเฮ่าหรานด่วนจากไปหรือไม่ จึงถอนหายใจอยู่หลายครา ก่อนเดินจากไปด้วยใบหน้าเศร้าหมอง

เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว หนิวโหย่วเต้าจึงรีบอ่านตำราเหล่านั้นอย่างหิวกระหายทันที สองตาส่องประกาย ฟันฝ่าอุปสรรคยากเข็ญมาถึงที่นี่ มิใช่เพื่อสิ่งนี้หรอกหรือ

เล่มหนึ่งคือ ‘สวรรค์พิสุทธิ์หทัยสูตร’ นี่คือเคล็ดวิชาดั้งเดิมของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์

อีกเล่มหนึ่งคือ ‘บันทึกเสริมสวรรค์พิสุทธิ์’ โดยในนั้นมีเนื้อหาอยู่เยอะแยะมากมาย แบ่งแยกย่อยออกเป็นหลายบท เช่นบทที่ว่าด้วยสมุนไพร บทที่ว่าด้วยโอสถ บทที่ว่าด้วยสัตว์สารพัน บทที่ว่าด้วยโลกภายนอกเป็นต้น อันบทว่าที่ด้วยโลกภายนอกล้วนเป็นบันทึกเรื่องราวของบุคคลบางส่วนในโลกบำเพ็ญเพียร หนิวโหย่วเต้าอ่านดูเล็กน้อย มองจากวันเวลาที่จดบันทึกจะเห็นได้ว่ามีการปรับเสริมเพิ่มเติมอยู่ตลอด

‘บันทึกเสริมสวรรค์พิสุทธิ์’ คือสิ่งที่หนิวโหย่วเต้าจำเป็นต้องใช้ มันมีส่วนช่วยให้เขาเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างมาก แต่หลังจากอ่านไปอ่านมาอยู่ครู่หนึ่งก็โยนไปกองไว้ด้านข้าง ความสนใจหลักๆ ยังคงอยู่ที่ ‘สวรรค์พิสุทธิ์หทัยสูตร’ นี่คือสิ่งที่เขาร้อนใจอยากจะรีบเปิดดู

ทันทีที่ได้อ่าน เขาก็อ่านอย่างดื่มด่ำเมามัว เมื่อครั้งที่ฝึกเคล็ดวิชา ‘เอกะวิถี’ ในชาติก่อน ไม่รู้ว่าเขาพลิกอ่านตำราโบราณไปมากแค่ไหน ไปรบกวนผู้เชี่ยวชาญให้ช่วยอธิบายมากน้อยเท่าไร ถึงได้แตกฉานในเคล็ดวิชา ‘เอกะวิถี’ สิ่งที่เก็บสั่งสมเอาไว้ได้แสดงประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจ ‘สวรรค์พิสุทธิ์หทัยสูตร’ ในตอนนี้แล้ว เขาอ่านทำความเข้าใจได้ไม่ยาก ซ้ำยังได้อรรถรสอีกด้วย

เขารู้ว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังมีวิชาบางส่วนที่ไม่ได้มอบให้ตนอยู่เป็นแน่ แล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมอบทุกอย่างให้เขาในคราวเดียว เขาไม่มีอะไรให้ต่อว่า ค่อยๆ ก้าวไปทีละขั้น หลักการที่ว่าอย่าทำเรื่องเกินตัวเขายังคงเข้าใจดี แค่เพียงสิ่งที่อยู่ในมือก็เพียงพอให้เขาได้ใช้งานไปอีกนาน

วันต่อมา ซ่งเหยี่ยนชิงมาเยือนอีกครา มาหาเขาเพราะต้องการบทกลอน ส่วนคำพูดที่รับปากหลัวหยวนกงไว้ก็เสมือนผายลมมิมีผิด หนิวโหย่วเต้าถือตำรา ‘สวรรค์พิสุทธิ์หทัยสูตร’ ไว้ในมือ ถามถึงจุดหนึ่งว่ามีความหมายอย่างไร ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่มีความอดทนที่จะอธิบายให้เขาฟังเลย สรุปแล้วก็คือเรื่องที่รับปากเจ้าไว้ข้าทำให้เจ้าแล้ว เรื่องที่เจ้ารับปากข้าไว้ก็ต้องทำให้ข้าเช่นกัน!

ตัวบัดซบ! หนิวโหย่วเต้าด่าเขาในใจสามคำ ก่อนจะฝนหมึกหยิบพู่กันเขียนกลอนให้เขาบทหนึ่ง

หลังจากซ่งเหยี่ยนชิงหยิบไปอ่านก็ปรีดานัก หันมากล่าวอย่างเบิกบานว่า “มีอีกหรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้าสีหน้าขมขื่น กล่าวว่า “ตอนนี้นึกออกแค่บทเดียว!” เขาจะมอบทั้งหมดให้อีกฝ่ายโดยไม่เหลือทางหนีทีไล่ให้ตนได้อย่างไร

“แค่บทเดียว?” ใบหน้าซ่งเหยี่ยนชิงคร่ำเคร่งขึ้นมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า