ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 13

ตอนที่ 13 ไขปริศนาคันฉ่อง

ยิ่งไปกว่านั้น วิชาของสวรรค์พิสุทธิ์ยังยากจะสั่นคลอนปราณแท้เอกะวิถีสายนั้นได้ ชาติก่อนใช่ว่าเขาจะไม่เคยฝึกฝนวิชาอื่น หากแต่เคยลองมาแล้ว นี่ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า ‘สวรรค์พิสุทธิ์หทัยสูตร’ ที่ตนเฝ้าปรารถนายังมิอาจเทียบ ‘เอกะวิถี’ ได้

สภาวะของตงกัวเฮ่าหรานที่อยู่ในความทรงจำทำให้เขาตะลึงประหนึ่งพบเทพสวรรค์ แต่นี่มันอะไรกัน? หรือว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มิได้มอบเคล็ดฝึกบำเพ็ญเพียรที่แท้จริงให้แก่ตน?

แต่หลังจากไปหลอกถามเฉินกุยซั่วดู ก็ไม่พบความผิดปกติอันใด ‘สวรรค์พิสุทธิ์หทัยสูตร’ คือวิชาที่ดั้งเดิมที่สุดของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ผู้คนตั้งแต่เบื้องบนจรดเบื้องล่างต่างฝึกฝนวิชานี้ ตัววิชาไม่มีปัญหาแน่นอน ความแตกต่างเพียงประการเดียวที่มีคือศิษย์ที่มีระดับชั้นไม่สูงพอจะไม่สามารถฝึกฝนวิชาอื่นได้เท่านั้น

ผีหลอกรึไง นี่มันเรื่องอะไรกัน? หนิวโหย่วเต้าครุ่นคิดไปมา นึกถึงความคืบหน้าของการฝึกฝน ‘เอกะวิถี’ ในตอนนี้ที่ห่างชั้นกับชาติก่อนนัก จึงค่อยๆ ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง บางที ‘เอกะวิถี’ อาจจะแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่า ‘สวรรค์พิสุทธิ์หทัยสูตร’ จริงๆ ก็เป็นได้ ความแตกต่างที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ว่าพลังวิญญาณของสถานที่ที่เขาเคยอยู่ในชาติก่อนไม่อาจเทียบที่นี่ได้

หลังคิดได้เช่นนี้แล้ว เขายิ่งรู้สึกพูดไม่ออก ที่ตนลำบากตรากตรำมาตั้งนานมิเท่ากับสูญเปล่าหรอกหรือ ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาจะดั้นด้นฝ่าอันตรายมาถึงสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เพื่ออะไรกัน? แทบเอาชีวิตไปทิ้งด้วยซ้ำ แล้วดูสิเนี่ย ไม่รู้ว่าตนต้องถูกกักบริเวณไปจนถึงเมื่อไร

แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ถ้าไม่มีการเปรียบเทียบก็ไม่รู้ว่าอะไรดีไม่ดี บางครั้งเสียเปรียบบ้างก็เป็นเรื่องจำเป็น ยังจะว่าอะไรได้อีก ทำได้แค่เพียงทุ่มเทฝึกฝน ‘เอกะวิถี’ ต่อไปเท่านั้น

หนึ่งเดือนต่อมา ช่วงพลบค่ำ เขาร่ำสุรากับเฉินกุยซั่วใต้ต้นท้อ

“สุราทุกจอกล้วนกลั่นจากเมล็ดข้าว ด้านนอกไม่รู้ว่ามีชาวบ้านตาดำๆ อยู่มากน้อยเท่าไรที่กินไม่อิ่มท้อง หิวโหยตายเป็นเบือ แต่พวกเรากลับมาดื่มด่ำกับสุราเลิศรสอยู่ที่นี่ ไม่รู้นับเป็นบาปหรือไม่…” เฉินกุยซั่วที่ดื่มจนมีท่าทางมึนเมาอยู่หลายส่วนกล่าวรำพึงรำพันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มคล้ายกำลังหยอกเย้าเล่น แต่คำหยอกล้อนี้ฟังดูน่าเศร้าใจอยู่บ้าง

ดวงตาหนิวโหย่วเต้าทอแววเคร่งขรึมแวบหนึ่ง จากนั้นยิ้มน้อยๆ ยกการินสุราให้ “ศิษย์พี่เชิญดื่ม”

ทั้งสองกินดื่มกันจนฟ้ามืด ขณะที่กำลังจะเลิกราแยกย้าย พลันมีแสงสว่างดวงหนึ่งลอยมาจากด้านล่างบันไดหิน เป็นผีเสื้อเรืองแสงตัวหนึ่ง ผู้ที่เดินตามมามิใช่ใครอื่น เป็นผู้อาวุโสถังซู่ซู่ ด้านหลังยังมีศิษย์ติดตามอีกสองคน

เฉินกุยซั่วและหนิวโหย่วเต้าตกใจ ไม่คิดว่าจู่ๆ ถังซู่ซู่จะปรากฎตัวขึ้นที่นี่ได้ จึงตะลีตะลานลุกขึ้นทำความเคารพ “ผู้อาวุโสถัง!”

สายตาเยียบเย็นของถังซู่ซู่กวาดมองข้าวของที่วางระเกะระกะอยู่บนโต๊ะ แววตาเย็นชายกเงยขึ้นมา คล้ายจะถลึงตาใส่เฉินกุยซั่วที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้า

เฉินกุยซั่วพลันตื่นตระหนก สีหน้าหวาดกลัวลนลาน ก้มศีรษะลงไป ถังซู่ซู่คือผู้อาวุโสคุมกฎของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ตามปกติจะดูแลเรื่องการลงโทษ ประกอบกับอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะดีนัก ศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ตั้งแต่บนจรดล่างล้วนหวาดกลัวนางทั้งสิ้น

แต่ถังซู่ซู่ในวันนี้ดูพูดคุยง่ายอยู่บ้าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ทำตัวงามหน้านัก ยังไม่รีบเก็บกวาดให้สะอาดอีก?”

“ขอรับ!” ทั้งสองตอบรับ ราวกับได้รับการอภัยโทษ ขณะที่หนิวโหย่วเต้ากำลังจะตามเฉินกุยซั่วไปเก็บกวาด

ผู้ใดจะรู้ถังซู่ซู่กลับเอ่ยว่า “หนิวโหย่วเต้า มานี่” พูดจบก็หันหลังเดินเข้าไปในเรือน

หนิวโหย่วเต้าตะลึงไปแวบหนึ่ง มองเฉินกุยซั่วด้วยสีหน้าฉงนสงสัย ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น

เฉินกุยซั่วรีบเอียงหัวส่งสัญญาณให้ สื่อว่าให้เขารีบตามเข้าไป อย่าให้ผู้อาวุโสถังคอยนาน

หนิวโหย่วเต้าได้แต่รีบตามเข้าไป ไม่ทราบเช่นกันว่าถังซู่ซู่มาที่นี่ด้วยเหตุใด มองเห็นถังซู่ซู่เดินวนอยู่ในลานบ้านอย่างเชื่องช้า ทำได้เพียงเดินตามหลังต้อยๆ ท่าทางสุภาพนอบน้อม สำหรับผู้อาวุโสถังคนนี้ เรียกได้ว่าเขามีความทรงจำที่ฝังลึก ยามพบหน้ากันครั้งแรก นางไม่มีการออมมือเลยแม้แต่น้อย มาถึงก็คิดจะเด็ดชีวิตของเขา ตอนนั้นหากมิเป็นเพราะยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายที่ตงกัวเฮ่าหรานถ่ายทอดเข้ามาในร่างของเขา ชีวิตน้อยๆ ของเขาคงต้องจบสิ้นลงไปเสียแล้ว ดังนั้นภายในใจเขาจึงรู้สึกหวาดระแวงเป็นอย่างยิ่ง

“นับว่าเก็บกวาดได้สะอาดสะอ้านดี” หลังจากถังซู่ซู่ที่เดินวนเข้านอกออกในเสร็จก็เข้าไปในโถงดอกท้อพลางเปิดปากเอ่ย นางเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ารูปปั้นบรรพจารย์พลางทำความเคารพอย่างนอบน้อม หลังจากยืดตัวขึ้นมาก็จ้องมองรูปปั้นอีกครั้ง ก่อนเอ่ยเนิบๆ ว่า “นึกถึงปีนั้นที่บรรพจารย์มาบุกเบิกภูเขาก่อตั้งสำนักขึ้นที่นี่ สองมือของท่านว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดเลย เรือนพำนักหลังแรกที่สร้างขึ้นคือสวนดอกท้อแห่งนี้ การได้พักอยู่ที่นี่ เท่ากับได้ซึมซับบารมีของบรรพจารย์ นับเป็นวาสนาของเจ้า”

“ขอรับ!” หนิวโหย่วเต้าขานรับอย่างนอบน้อม “นับเป็นวาสนาของศิษย์” ทว่าในใจกลับบ่นอิดออด วาสนากับผีสิ เอาข้ามากักบริเวณชัดๆ

ถังซู่ซู่หันกลับมา มองสำรวจไปรอบห้องเล็กน้อย พลางเอ่ยถามว่า “เคยชินกับที่พักหรือยัง?”

หนิวโหย่วเต้าตอบ “เรียนผู้อาวุโส สงบดียิ่งขอรับ”

ถังซู่ซู่มองข้ามความหมายที่แฝงอยู่ในวาจาของเขา เอ่ยถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ที่บ้านได้จับคู่วิวาห์ให้หรือไม่? อย่างเช่นเคยมีการหมั้นหมายอะไรทำนองนั้นหรือไม่?”

“เอ่อ…” หนิวโหย่วเต้าเงยหน้าด้วยความประหลาดใจ ไม่ทราบว่านางถามเช่นนี้ทำไม จึงตอบไปอย่างระมัดระวังว่า “อายุยังน้อยไม่เคยหมั้นหมายขอรับ ทางบ้านฐานะยากจน ไม่มีคุณสมบัติคุยเรื่องวิวาห์”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า