ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 127

สรุปบท ตอนที่ 127 ทำคุณไถ่โทษ: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 127 ทำคุณไถ่โทษ – ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet

บท ตอนที่ 127 ทำคุณไถ่โทษ ของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 127 ทำคุณไถ่โทษ

ส่วนเฮยหมู่ตานก็มองตามภาพวาดแผ่นนั้นไปด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์ นางยังมองไม่พอ ยังไม่ได้พินิจดูอย่างละเอียดก็ถูกเอาออกไปเช่นนี้แล้ว

แท่งถ่านใช้ไม่สะดวก เปื้อนมือดำไปหมด หนิวโหย่วเต้าเข้าไปล้างมือในห้องเล็ก พอออกมาก็เห็นเฮยหมู่ตานยังยังมีท่าทางเหม่อลอยอยู่ จึงอดหัวเราะขบขันไม่ได้ “ดูเหมือนเจ้าจะชอบภาพนี้ทีเดียวนะ”

ตัวเขาก็คาดการณ์ไว้แล้วว่านางน่าจะชอบแน่ ตอนนี้พอได้เห็นปฏิกิริยาของเฮยหมู่ตาน เขาก็ยิ่งสบายใจมากขึ้น

สายตาที่เฮยหมู่ตานมองเขาแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนอย่างยิ่ง ยังคงถามซ้ำว่า “เต้าเหยี่ย จะให้ข้าจริงๆ หรือเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “วาดภาพเจ้า ถ้าไม่ให้เจ้าแล้วจะให้ผู้ใด? ยกให้เจ้าหมีหรือให้ข้าเก็บไว้เองเหรอ?”

เฮยหมู่ตานไม่พูดไม่จา เดินไปเปิดผนึกสุราที่เสี่ยวเอ้อนำมาวางไว้ด้านข้าง รินใส่จอกสุรา ประคองส่งให้ด้วยสองมือ ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

หนิวโหย่วเต้ารับจอกสุราไป ถามอย่างจริงจังยิ่ง “สมมุติว่าไม่ยกภาพนี้ให้เจ้า แต่ขายให้เจ้าในราคาหนึ่งแสนเหรียญทอง เจ้าจะซื้อหรือไม่?”

เฮยหมู่ตานตะลึงงัน พยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “แสนเหรียญทองข้าจ่ายไม่ไหว แต่หากว่าข้ามีเงินพอ ข้าจะซื้อแน่นอน”

หยวนฟางเบะปาก รู้สึกว่าเฮยหมู่ตานกำลังประจบเอาใจ ถึงภาพนี้จะงดงามแค่ไหน แต่ใครมันจะมายอมจ่ายเงินหนึ่งแสนเหรียญทองเพื่อซื้อของแบบนี้ สมองมีปัญหาน่ะสิไม่ว่า หากราคาสิบเหรียญทองเขาอาจจะยอมพิจารณาดู แต่หนึ่งแสนน่ะเหรอ ไม่มีทางเสียหรอก!

พอเฮยหมู่ตานเอ่ยประโยคนี้ออกไป นางก็คล้ายว่าจะเข้าใจแล้วว่าที่หนิวโหย่วเต้ากล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ‘หาเงิน’ มันหมายถึงอะไร จึงเอ่ยถามด้วยความฉงน “เต้าเหยี่ย ท่านจะหาเงินจากการวาดภาพหรือเจ้าคะ?”

“หาเงินจากการวาดภาพหรือ?” หนิวโหย่วเต้าหลุดหัวเราะออกมา

หากการวาดภาพสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดเจ้าลิงกับเจ้าหมีได้ หากการวาดภาพทำให้ตระกูลซ่งยอมละวางความแค้นได้ หากว่าการวาดภาพแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ เช่นนั้นเขาก็ยินดีทำ

จนปัญญาที่สิ่งนี้เพียงทำให้คนที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนรู้สึกแปลกใหม่ได้ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ของที่มีไว้ชื่นชม สุดท้ายก็มีไว้สำหรับชื่นชมเท่านั้น เมื่อผลประโยชน์วางอยู่ตรงหน้า ภาพวาดอาจจะน่าสนใจน้อยกว่าข้าวชามหนึ่งเสียด้วยซ้ำ เขาส่ายหน้าพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่ขายศิลปะ!”

ทันทีที่เสี่ยวเอ้อโรงเตี๊ยมออกมาจากห้อง เขาก็รีบไปที่ห้องโถงโรงเตี๊ยม ตรงเข้าไปด้านหลังโต๊ะเก็บเงิน “เถ้าแก่ขอรับ ท่านลองดูนี่สิขอรับ”

“อะไร?” เถ้าแก่สงสัย จ้องมองภาพวาดที่เขากางออก หลังจากเห็นสิ่งที่อยู่ด้านในชัดเจนแล้ว เขาก็ตะลึงไปเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “นี่คือเฮยหมู่ตาน?”

มองเพียงแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าคนในภาพเป็นใคร สาเหตุสำคัญเป็นเพราะวาดได้สมจริงเหลือเกิน ความรู้สึกแตกต่างไปจากภาพวาดน้ำหมึกที่เน้นเชิงศิลป์แบบเลือนรางคลุมเครืออย่างสิ้นเชิง

“ใช่ขอรับ” เสี่ยวเอ้อพยักหน้า

เถ้าแก่รับภาพไปถือ ตาเป็นประกาย พินิจชื่นชมอย่างละเอียดแล้วถามด้วยความประหลาดใจว่า “นี่คือทักษะการวาดอันใด? ได้มาจากไหน?”

“แขกในห้องหมายเลขสองท่านนั้นวาดให้เฮยหมู่ตานขอรับ ข้าเห็นมากับตาตอนยกสุราไปส่ง ใช้แท่งถ่านแทนพู่กัน ร่างภาพลงบนกระดาษ…” เสี่ยวเอ้อเล่าเหตุการณ์ที่ตนได้เห็นอย่างละเอียด บอกว่าแขกต้องการให้เขานำภาพไปใส่กรอบ หลังกล่าวจบก็ถามหยั่งเชิงว่า “ของแปลกใหม่เช่นนี้ควรนำไปให้ทางด้านหลังดูหรือไม่ขอรับ?”

แววตาเถ้าแก่วูบไหว ม้วนภาพวาดอย่างระมัดระวัง เอ่ยกำชับว่า “เรื่องใส่กรอบไม่ต้องรีบร้อน เจ้าเฝ้าอยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปพบท่านผู้ดูแล”

“ขอรับ!” เสี่ยวเอ้อพยักหน้ารับ

เถ้าแก่ถือภาพวาดเดินออกจากโต๊ะเก็บเงินไปอย่างรวดเร็ว เร่งเดินไปยังปราสาทที่อยู่ด้านหลังโรงเตี๊ยม

…..

ภายในสวนพฤกษศาสตร์ หวงเอินผิงกับศิษย์น้องเดินเตร่ไปเตร่มา คอยสังเกตการณ์รอบข้าง มองหาเป้าหมาย

ตรงโต๊ะเก็บเงินน่าจะมีหมายเลขห้องที่เป้าหมายลงทะเบียนเอาไว้ จนปัญญาที่ทั้งสองไม่กล้าสอบถาม ถึงถามไปตรงโต๊ะเก็บเงินก็ไม่มีทางบอกพวกเขา พวกเขาจึงได้แต่ต้องค่อยๆ ตามหากันไป

หลังตามหาอยู่ครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้เบาะแสอะไร อีกอย่างทั้งสองก็ไม่สามารถไปไล่เคาะประตูทีละห้องได้ หากทำเช่นนั้นจริง เกรงว่าคงถูกโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์จับตามองทันที

ถึงยังไงเป้าหมายก็ต้องออกไปข้างนอกอย่างแน่นอน ขณะที่ทั้งสองเตรียมจะไปดักรอหน้าประตูโรงเตี๊ยม จู่ๆ ชุยหย่วนพลันถองแขนหวงเอินผิงเล็กน้อย

หวงเอินผิงหันมองไปตามทิศทางที่เขาส่งสัญญาณ เมื่อมองลอดช่องระหว่างต้นไม้ไป ทั้งสองเห็นเหลยจงคังออกมาจากห้องพักชั้นบนของฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็เข้าไปในห้องข้างๆ

“ไป ไปหาเขากัน” หวงเอินผิงที่จำเลขห้องไว้กล่าวกระซิบ

ชุยหย่วนรั้งเขาไว้ “ศิษย์พี่ ไปหาถึงห้องคงไม่เหมาะกระมัง อาจารย์อาไม่ต้องการแหวกหญ้าให้งูตื่นมิใช่หรือ?”

หวงเอินผิงจ้องมองห้องนั้นแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อพวกเขาต้องการเกาะขาคนผู้นั้น เช่นนั้นอย่างน้อยๆ พวกเขาก็ต้องรักษามารยาทบ้างหรือเปล่า แต่นี่กลับเข้าออกห้องโดยไม่แม้แต่จะเคาะประตู ดูแล้วผู้เป็นนายคงจะไม่อยู่ในห้องนั้น เราฉวยโอกาสนี้ไปหาเขาเพื่อตรวจสอบข้อมูลเสียหน่อย”

ชุยหย่วนพยักหน้า ยอมรับความเห็นของเขา

เหลยจงคังส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ! หวงเหยี่ย ข้ามิได้โกหกท่าน แต่เขาไม่ได้เปิดเผยประวัติความเป็นมาใดๆ ของเขาเลย ทางฝั่งพวกเราล้วนไม่มีผู้ใดทราบทั้งสิ้น”

หวงเอินผิงสื่อสารกับชุยหย่วนผ่านทางสายตาอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปที่เก้าอี้แล้วนั่งลงไป ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ข้าว่าพวกเจ้าคงเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง คิดไม่ถึงว่าจะกล้าเป็นปรปักษ์กับสำนักเซียนสถิตของพวกเรา”

เหลยจงคังแปลกใจ “หวงเหยี่ย เหตุใดถึงเอ่ยเช่นนี้? พวกเราก็เคารพให้เกียรติสำนักเซียนสถิตของพวกท่านมาโดยตลอดมิใช่หรือ ไปเป็นปรปักษ์ตั้งแต่ตอนไหน?”

หวงเอินผิงกล่าวว่า “เจ้าไม่รู้ความเป็นมาของคนผู้นั้นจริงๆ หรือว่าแสร้งไม่รู้กันแน่?”

เหลยจงคังรู้สึกว่าวาจาของอีกฝ่ายแฝงความนัยไว้ “ไม่รู้จริงๆ ขอรับ หวงเหยี่ยมีอะไรจะชี้แนะหรือเปล่าขอรับ?”

“คนผู้นี้มิได้มีนามว่าเซวียนหยวนเต้าอะไรนั่น เซวียนหยวนเต้าเป็นชื่อปลอม ชื่อจริงคือหนิวโหย่วเต้า ฐานะที่แท้จริงคือศิษย์ที่ถูกขับไล่ออกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์แห่งแคว้นเยี่ยน สังหารหลานชายของท่านเสนาบดียุติธรรมแห่งแคว้นเยี่ยน…” หวงเอินผิงเล่าถึงหนิวโหย่วเต้าแต่ในเชิงลบ ตั้งแต่สังหารซ่งเหยี่ยนชิง สังหารหลิวจื่ออวี๋ศิษย์สำนักเซียนสถิตไปจนถึงสังหารซ่งหลงราชทูตแคว้นเยี่ยน หลังเล่าจบก็ย้อนถามว่า “ในเมื่อพวกเจ้าติดตามเขา แล้วจะไม่เป็นปรปักษ์กับสำนักเซียนสถิตของพวกเราได้อย่างไร?”

เหลยจงคังได้ฟังก็อกสั่นขวัญผวา มิน่าเล่าถึงรู้สึกว่าเต้าเหยี่ยคนนี้ดูแปลกๆ อยู่บ้าง หากเรื่องที่อีกฝ่ายเล่ามาเป็นความจริง เช่นนั้นก็เท่ากับพวกเขากำลังเป็นปรปักษ์กับสำนักเซียนสถิตอยู่จริงๆ พวกเขาไหนเลยจะกล้าล่วงเกินสำนักเซียนสถิตได้ จึงรีบเอ่ยว่า “เรื่องนี้พวกเราไม่รู้ไม่เห็นเลยจริงๆ นะขอรับ อันที่จริงพวกเราไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย…” พยายามเน้นย้ำว่าแค่ตอบตกลงติดตามก็เท่านั้น สุดท้ายเอ่ยย้ำอีกว่า “หวงเหยี่ยวางใจได้ขอรับ อีกเดี๋ยวข้าจะรีบไปคุยกับพวกเฮยหมู่ตาน บอกให้รีบตัดสัมพันธ์กับเขาโดยเร็ว พวกเรามิกล้าเป็นปรปักษ์กับสำนักเซียนสถิตแน่นอนขอรับ!”

หวงเอินผิงหัวเราะหยัน “เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว พวกเจ้านึกจะเข้าก็เข้า นึกจะออกก็ออกได้อย่างนั้นหรือ? ป่วยหนักก็ลนลานไปหาหมอส่งเดช[1]โดยแท้ พวกเจ้าไม่คิดดูบ้างหรือว่าการสังหารราชทูตแคว้นเยี่ยนเป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหน แคว้นเยี่ยนไหนเลยจะปล่อยเขาไปได้ แม้แต่ยงผิงจวิ้นอ๋องก็กริ่งเกรงอยากหลบเลี่ยงปัญหาจนเฉดหัวเขาทิ้งแล้ว พวกเจ้ากลับดีเหลือเกิน เข้าไปคลุกคลีตีโมง ไม่กลัวตายเลยจริงๆ!”

เหลยจงคังรู้สึกหวาดผวาจนเหงื่อตกแล้ว “หวงเหยี่ย…”

หวงเอินผิงยกมือเอ่ยขัด “ในเมื่อข้ามาหาเจ้าถึงที่ ในเมื่อข้ามานั่งคุยเรื่องนี้กับเจ้าดีๆ เช่นนั้นก็แปลว่ามิได้มาคาดโทษเอาความ ระหว่างพวกเราไร้ซึ่งความบาดหมาง ยิ่งไปกว่านั้นคือเจ้าก็เพิ่งรู้จักเขาเช่นกัน มิได้ช่วยเหลืองานการอันใดของอีกฝ่าย ข้าเองก็ไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องเอาราวกับเจ้า แต่เรื่องนี้ใช่ว่าเจ้าบอกว่าจบก็จบลงได้เลย”

เหลยจงคังรีบประสานมือเอ่ยขึ้นว่า “หวงเหยี่ย โปรดชี้ทางสว่างให้ด้วยเถิด”

หวงเอินผิงเอ่ยอย่างเรียบเฉย “เจ้าก็ทราบกฎของเมืองไจซิงดี แขกที่พักอยู่ในโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์แห่งนี้ พวกเราไม่สะดวกลงมือ อีกทั้งพวกเราเองก็ไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่นทำให้เขาไหวตัวทัน เข้าใจหรือไม่?”

เหลยจงคังงุนงงไปเล็กน้อย จากนั้นพลันกระจ่างขึ้นมา เข้าใจแล้ว กล่าวเช่นนี้คือต้องการให้ทางฝั่งนี้ช่วยจับตามอง เขารีบพยักหน้าพลางกล่าวว่า “หวงเหยี่ยโปรดวางใจ ข้าจะแจ้งให้พวกพ้องทราบทันที ช่วยสำนักเซียนสถิตจับตามองเขา ทำคุณไถ่โทษ!”

หวงเอินผิงโบกมือ “คิดไม่ถึงเลยว่าเฮยหมู่ตานจะตอบตกลงเช่นนี้ได้ ไม่ทราบเช่นกันว่าคนผู้นั้นวางยาอันใดเฮยหมู่ตานหรือไม่ จิ้งจอกตัวนี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก สามารถหลบหนีการไล่ล่าสังหารมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าไม่อยากให้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายอันใดอีก เรื่องนี้เจ้ารู้คนเดียวก็พอแล้ว อย่าพึ่งให้พวกเฮยหมู่ตานรู้ชั่วคราว ยิ่งมีคนรู้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเสี่ยงจะถูกจับพิรุธได้มากเท่านั้น เจ้าวางใจเถอะ ไม่มีทางให้เจ้าเหนื่อยเปล่าแน่ หลังจบเรื่องแล้ว ข้าจะพยายามขอให้ทางสำนักช่วยแนะนำและรับรองพวกเจ้า ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ นั่นก็ขึ้นอยู่กับดวงของพวกเจ้าแล้ว”

………………………………………………….

[1] หมายถึง รีบร้อนจะหาทางแก้ปัญหาโดยไม่ดูเลยว่าวิธีการที่ใช่เหมาะสมหรือไม่

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า