ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 129

ตอนที่ 129 ซาฮ่วนลี่

“ไม่รีบขอรับ ไม่รีบขอรับ!” เถ้าแก่หัวเราะพลางยื่นกระบอกภาพให้ด้วยสองมือ “ตีกรอบภาพเรียบร้อยแล้ว คุณชายเซวียนหยวนเชิญชมก่อนเถิดว่าถูกใจหรือไม่”

หนิวโหย่วเต้ารับไปกางออกดู ตรวจสอบอย่างละเอียด ก่อนจะพยักหน้ารับ “ไม่เลว!” จากนั้นก็ยื่นส่งให้เฮยหมู่ตาน “ใส่กรอบเรียบร้อยแล้ว!”

เฮยหมู่ตานรับไปชื่นชมด้วยความรู้สึกที่แทบจะทนรอไม่ไหว มองภาพด้วยสายตาอ่อนโยนอยู่นาน ยากจะละสายตาไปได้

หยวนฟางเองก็ขยับเข้ามาร่วมชื่นชมอีกครั้ง อุทานเสียงดังจุ๊ๆ อีกครั้ง

หนิวโหย่วเต้าหันไปมอง เห็นเถ้าแก่ยังยืนอยู่ด้านข้าง คล้ายไม่มีท่าทีว่าจะออกไป จึงอดที่จะถามด้วยความแปลกใจไม่ได้ว่า “เถ้าแก่มีธุระใดหรือ?”

“ฮ่าๆ ใช่ขอรับ มีธุระเล็กน้อยขอรับ ไอ๊หยา แต่ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าพูดไปแล้วจะเหมาะสมหรือไม่” เถ้าแก่ยิ้มอย่างสงวนท่าทีอยู่บ้าง

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยไปว่า “มีธุระก็พูดมาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”

“ขอรับ!” เถ้าแก่ก้มหน้าเล็กน้อย มองไปยังม้วนภาพที่อยู่ในมือเฮยหมู่ตาน “ตามหลักแล้วโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์ไม่ควรรบกวนแขก…แต่คืออย่างนี้ขอรับ ภาพที่คุณชายเซวียนหยวนวาดนั้นมีความแปลกใหม่และมีเอกลักษณ์จริงๆ จึงอยากจะขอร้องให้คุณชายช่วยวาดภาพเหมือนให้อีกสักภาพ ไม่ทราบว่าคุณชายมีความเห็นเช่นใดขอรับ?”

เฮยหมู่ตานที่กำลังชื่นชมภาพวาดในมือคล้ายถูกอะไรมาสะกิดใจเข้า จึงเงยหน้าขึ้นมาทันที จ้องมองเถ้าแก่คนนั้นด้วยสายตาเปล่งประกาย

หนิวโหย่วเต้าลังเลเล็กน้อย จากนั้นส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “เกรงว่าคงจะทำให้เถ้าแก่ผิดหวังแล้ว ข้าไม่วาดภาพให้คนที่ไม่รู้จักคุ้นเคยกัน”

พอได้ยินเช่นนี้ ความร้อนใจวาบผ่านเข้ามาในดวงตาของเฮยหมู่ตาน นางม้วนเก็บภาพวาดที่อยู่ในมือ ค่อยๆ เดินเข้าไปอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า พยายามส่งสัญญาณเตือนเขาผ่านทางสายตา

“อ่า…” เถ้าแก่ผงะไปเล็กน้อย จากนั้นยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ไม่ได้ให้คุณชายวาดให้เปล่าๆ มีสินน้ำใจให้ขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าคล้ายมองไม่เห็นสัญญาณเตือนจากเฮยหมู่ตาน เอ่ยปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมว่า “เถ้าแก่ หากไม่มีธุระอื่นใดอีกก็เชิญกลับเถอะ ทางข้ายังมีธุระที่ต้องจัดการอยู่อีก”

เฮยหมู่ตานทนไม่ไหว จึงเอ่ยขึ้นมาว่า “เต้าเหยี่ย เถ้าแก่มาหาด้วยตัวเอง สื่อให้เห็นถึงความจริงใจ ถ้ายังไงเรายอมอะลุ่มอล่วยสักครั้งดีไหมเจ้าคะ”

สายตาของเถ้าแก่มองไปที่ใบหน้าของเฮยหมู่ตาน คล้ายจะมองออกถึงอะไรบางอย่าง จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “นางพูดมีเหตุผล ถ้ายังไงคุณชายลองพิจารณาความเห็นของเฮยหมู่ตานดูสักหน่อยเถิดขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าปฏิเสธ “ไม่จำเป็น ส่งแขก!”

หยวนฟางไม่พูดพร่ำทำเพลง ผายมือเชิญแขกออกไปทันที “เชิญ!”

เฮยหมู่ตานร้อนใจจนอยากจะกระทืบเท้า คำพูดของเถ้าแก่ยืนยันการคาดเดาของนางแล้ว โอกาสดีๆ แบบนี้จะพลาดไปได้อย่างไร นางคิดจะเกลี้ยกล่อมต่อ ทว่าถูกสายตาเย็นชาของหนิวโหย่วเต้าปรามไว้

เถ้าแก่กลับไม่รีบร้อนจากไป ย้อนถามว่า “คุณชายเซวียนหยวนไม่อยากทราบก่อนหรือว่าต้องวาดภาพให้ผู้ใด?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวอย่างเฉยชา “เถ้าแก่ นี่ไม่เกี่ยวกับว่าต้องวาดภาพให้ผู้ใด โรงเตี๊ยมเชิญจันทร์มีกฎของโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์ ข้าเองก็มีกฎของข้าเช่นกัน เชิญออกไปเถอะ!”

คราวนี้เถ้าแก่ลนลานขึ้นมาแล้ว งานที่เบื้องบนมอบหมายลงมา หากทำไม่สำเร็จล่ะก็ เขาต้องเดือดร้อนอย่างหนักแน่ จึงประสานมือกล่าวว่า “คุณชายเซวียนหยวน ผู้น้อยอยากใคร่ขอเชิญคุณชายด้วยความจริงใจ หากคุณชายมีเงื่อนไขอย่างไรก็เชิญว่ามาได้เลย ทุกอย่างล้วนเจรจากันได้”

หนิวโหย่วเต้าท่าทางคล้ายจะถูกเขาเซ้าซี้จนรำคาญ เอ่ยขึ้นว่า “จะให้ข้าวาดน่ะได้ แต่หนึ่งภาพแสนเหรียญทอง ท่านไปพิจารณาเอาเองเถอะ”

หยวนฟางกะพริบตาปริบๆ สบตากับเฮยหมู่ตาน

“……” เถ้าแก่พูดไม่ออก ภาพเช่นนี้ภาพเดียว จะเอาแสนเหรียญทองเลยหรือ?

“ว่าอย่างไรเล่า? รู้สึกว่าแพงกระมัง?” หนิวโหย่วเต้าผายสองมือออก “อย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ มันก็เหมือนกับโรงเตี๊ยมของพวกท่านนั่นแหละ พักหนึ่งวันจ่ายสิบเหรียญทอง ห้ามต่อรองราคา หากจ่ายไหวก็มา”

ไม่เคยเจอคนหน้าเลือดเช่นนี้มาก่อนเลย! โทสะคุกรุ่นอยู่ในใจเถ้าแก่ แต่เนื่องจากเขาเป็นฝ่ายมาขอร้อง ไม่สะดวกจะล่วงเกิน จึงยิ้มแห้งๆ แล้วตอบว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอข้ากลับไปสอบถามก่อนแล้วกันขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าผายมือเชิญ เถ้าแก่ประสานมือคำนับลา

กระทั่งเถ้าแก่จากไปแล้ว เฮยหมู่ตานรีบเอ่ยขึ้นว่า “เต้าเหยี่ย คนที่สามารถทำให้เถ้าแก่ต้องมาด้วยเองเพื่อภาพวาดภาพเดียวได้ จะต้องเป็นคนใหญ่คนโตที่อยู่ด้านหลังโรงเตี๊ยมแน่นอนเจ้าค่ะ”

หนิวโหย่วเต้าร้องโอ้ เอ่ยอย่างเฉยเมย “หรือจะเป็นซาฮ่วนลี่ที่เป็นเจ้าเมืองไจซิง?”

เฮยหมู่ตานรีบพยักหน้าหงึกๆ “เต้าเหยี่ยเจ้าคะ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเช่นนั้น ต่อให้ไม่ใช่นาง ต่อให้เป็นเจ้าหน้าที่อื่นใดของเมืองนี้ได้รับงานศิลป์งดงามเช่นนี้ไป พวกเขาก็ไม่มีทางเก็บไว้ชื่นชมส่วนตัวเช่นกัน ภายหลังต้องทราบไปถึงหูของซาฮ่วนลี่แน่นอน เต้าเหยี่ยมิสู้ลองพิจารณาดู หากอาศัยภาพวาดผูกมิตรได้ สร้างไมตรีกับซาฮ่วนลี่ด้วยเรื่องนี้สำเร็จ วันหน้าใต้หล้านี้ยังจะมีผู้ใดที่กล้าไม่ไว้หน้าท่านอีก?”

หนิวโหย่วเต้าปรายตามองนาง พบว่าความคิดของคนระดับล่างยังคงเป็นความคิดของคนระดับล่างอยู่วันยังค่ำ หลายๆ เรื่องมักจะคิดอย่างตื้นเขินและไร้เดียงสาเกินไป ในสายตาของผู้มีอำนาจและสูงศักดิ์ระดับซาฮ่วนลี่ จิตรกรที่นึกจะเรียกมาก็เรียก นึกจะไล่ให้ไปก็ไล่จะนับเป็นอันใดได้ คิดจริงๆ หรือว่าอาศัยภาพวาดเพียงภาพเดียวจะสามารถสานไมตรีกับอีกฝ่ายได้?

หรืออย่างน้อยที่สุด หากอีกฝ่ายบังคับให้เจ้าวาด เจ้าจะกล้าไม่วาดหรือ?

เขาอยากถามเฮยหมู่ตานนักว่าคนระดับซาฮ่วนลี่จะไม่รู้จักผู้เชี่ยวชาญด้านพิณหมากตำราภาพบ้างเลยหรือ? คาดว่าคงพบเจอผู้เชี่ยวชาญศาสตร์แขนงต่างๆ มามากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว แล้วในบรรดาคนเหล่านี้มีคนที่ได้สานไมตรีกับซาฮ่วนลี่อย่างแท้จริงด้วยหรือ?

ก็อาจจะมีอยู่บ้าง! แต่ไม่มีทางเริ่มต้นจากภาพวาดเพียงภาพเดียวแน่ สาเหตุที่จะทำให้สามารถสานไมตรีอย่างแท้จริงได้จะต้องมาจากปัจจัยอื่นนอกเหนือจากการวาดภาพเขียนอักษรแน่นอน ถ้ามิใช่เพราะตำแหน่งฐานะ ก็ต้องเป็นเพราะการมีปฏิสัมพันธ์คบค้าสมาคม ไม่มีทางได้สานสัมพันธ์เพราะเรื่องวาดภาพคัดอักษรแน่นอน

ใครก็ตามที่คิดว่าถ้าวาดภาพให้ซาฮ่วนลี่แล้วจะแอบอ้างบารมีซาฮ่วนลี่ได้ นั่นต่างหากที่เป็นการหาเรื่องใส่ตัว เมื่อเกี่ยวพันไปถึงบุคคลระดับซาฮ่วนลี่ เช่นนั้นก็จะต้องมีคนลองหยั่งเชิงดูทันทีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าและซาฮ่วนลี่เป็นอย่างไร

เกียรติยศหน้าตามีอยู่สองประเภท ประเภทแรกสามารถสยบปัญหายุ่งยากได้ ประเภทที่สองมีไว้ใช้อวดอ้างสร้างความชื่นชมเพื่อหาผลประโยชน์ ประเภทแรกเป็นเกียรติยศศักดิ์ศรีอย่างแท้จริง เป็นผู้มีพลังและอำนาจอย่างแท้จริง ส่วนประเภทหลังเป็นพวกหลอกลวง โกหกพกลมเอาเอง หลอกได้ไม่นานนัก หากเจอของจริงธาตุแท้จะเผยออกมาทันที

ใต้หล้ามีคนปราดเปรื่องอยู่มากมาย คนที่มีพลังและอำนาจไม่มีทางกริ่งเกรงเจ้าเพียงเพราะเจ้าเคยวาดภาพให้ซาฮ่วนลี่

โลกทัศน์ของเฮยหมู่ตานยังตื้นเขินอยู่นัก ตอนนี้อธิบายกับนางไปก็เปลืองน้ำลายเปล่า อีกทั้งหนิวโหย่วเต้าก็คร้านจะพูดมากเช่นกัน เขาเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “หากเป็นซาฮ่วนลี่จริงๆ แค่เรียกเงินนิดหน่อย ทำความรู้จักกันไว้เล็กน้อยก็พอแล้ว ตอนนี้อย่าไปคิดเรื่องอื่นให้มากเลย”

เฮยหมู่ตานหน้าม่อยคอตกด้วยความรู้สึกปวดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะพูดกับเขาอย่างไรดี ซาฮ่วนลี่เชียวนะ! หลานสาวของหลัวชิวที่เป็นหนึ่งในเก้ายอดฝีมือของใต้หล้าเชียวนะ! โอกาสดีๆ ที่คนมากมายต่างเฝ้าปรารถนาแต่ไม่มีปัญญาปีนป่ายขึ้นไปได้ ท่านกลับทิ้งไปอย่างนี้หรือ?

นางไม่เชื่อหรอกว่าภูมิหลังของเต้าเหยี่ยผู้นี้จะยิ่งใหญ่จนถึงระดับหลัวชิวได้!

เถ้าแก่ที่มายังด้านหลังของโรงเตี๊ยมเดินผ่านซุ้มประตูเข้าไป เร่งเดินขึ้นบันไดสูงไปอย่างรวดเร็ว จนมาถึงสวนบุปผาแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยช่อผกานานาพันธุ์

ชายชราผมขาวชุดเขียวคนหนึ่งกำลังถือกรรไกรตัดกิ่งตัดแต่งพุ่มไม้ในกระถางขนาดใหญ่ใบหนึ่ง คอยถอยหลังออกไปสองสามก้าวเพื่อมองรูปทรงโดยรวมเป็นระยะๆ เมื่อเห็นจุดที่ยังไม่เรียบร้อยก็จะเดินเข้าไปใช้กรรไกรเล็มเล็กน้อย

คนผู้นี้คือเซี่ยงหมิงพ่อบ้านของจวนเจ้าเมืองไจซิง

เถ้าแก่เดินเข้าไปทำความเคารพอย่างนอบน้อม “ท่านพ่อบ้าน”

เซี่ยงหมิงไม่ได้หันกลับมา เพียงเพ่งพินิจพุ่มไม้ในกระถางพลางเอ่ยว่า “พาคนไปพบคุณหนูได้เลย”

เถ้าแก่ตอบด้วยสีหน้าละอาย “ท่านพ่อบ้าน เขาไม่ยอมมาขอรับ”

ในเวลานี้เซี่ยงหมิงถึงได้หันกลับมา เอ่ยถาม “เหตุใดถึงไม่มา?”

เถ้าแก่ยิ้มเฝื่อนรายงานไปว่า “เขาบอกว่าเขาไม่วาดรูปให้คนที่ไม่รู้จัก ข้าเชื้อเชิญอยู่หลายครั้ง เขาจึงยื่นเงื่อนไข บอกว่าวาดหนึ่งภาพแสนเหรียญทองขอรับ!”

“เฮอะ! ช่างโลภมากเสียจริง!” เซี่ยงหมิงเอ่ยเยาะหยัน โบกมือพลางกล่าวว่า “ในเมื่อคุณหนูชื่นชอบก็ช่วยไม่ได้ แสนเหรียญทองก็แสนเหรียญทอง อย่าให้คุณหนูรู้เรื่องเงินล่ะ ไปเชิญมาซะ”

“ขอรับ!” เถ้าแก่ตอบรับ ลอบตกใจอยู่บ้าง

ขณะที่เขากำลังหันหลังจากไป เซี่ยงหมิงได้เอ่ยเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “จับตามองความเคลื่อนไหวของคนผู้นี้ไว้ทุกฝีก้าว เร่งรายงานให้ฉับไว”

เถ้าแก่ผงะไปเล็กน้อย เอ่ยถาม “ท่านพ่อบ้านคิดว่าเขามีปัญหาอันใดหรือขอรับ?”

“มีปัญหาหรือไม่ข้าไม่รู้ เงินเป็นเรื่องเล็ก แต่มักจะมีคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงชอบคิดหาทางเข้ามาใกล้ชิดคุณหนู เหตุใดวาดภาพแล้วบังเอิญให้เจ้าเห็นเข้าพอดีเล่า?” เซี่ยงหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้าไร้อารมณ์ กรรไกรตัดกิ่งตัดฉับๆ ต่อไป

“เข้าใจแล้วขอรับ” เถ้าแก่ใคร่ครวญดูแล้วค้อมคำนับ เร่งเดินจากไป

ผ่านไปสักพัก เขากลับมาอยู่นอกห้องหนิวโหย่วเต้า เคาะประตูแล้วเดินเข้าไปอีกครั้ง

“ฮ่าๆ คุณชายเซวียนหยวน ผู้ที่ต้องการภาพวาดตอบตกลงแล้ว ยินดีมอบสินน้ำใจให้หนึ่งแสนเหรียญทอง” เถ้าแก่เดินเข้าไปในห้องพลางประสานมือ แจ้งข่าวดีให้ทราบ ท่าทางคล้ายแสดงความยินดีที่ได้รับทรัพย์

เฮยหมู่ตานปรีดานัก รีบมองไปทางหนิวโหย่วเต้า หวังว่าหนิวโหย่วเต้าจะไม่บ่ายเบี่ยงอีก

หยวนฟางก็กระตือรือร้นขึ้นมาเช่นกัน แสนเหรียญทองเชียวนะ ยอมแต่โดยดีเถิด!

หนิวโหย่วเต้าสังเกตกริยาท่าทางของอีกฝ่ายเล็กน้อย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจพลางกล่าวว่า “ดูเหมือนข้าจะไม่มีเหตุผลอันใดให้ปฏิเสธอีกแล้ว”

“เชิญขอรับ!” เถ้าแก่ผายมือเชิญ พร้อมเอ่ยกับเฮยหมู่ตานว่า “เจ้าก็ไปด้วยกันเถอะ เอาภาพวาดไปด้วย ผู้ที่ต้องการภาพวาดอยากเห็นว่าคล้ายคลึงกับตัวจริงหรือไม่”

เมื่อเห็นว่าหนิวโหย่วเต้าไม่ได้ปฏิเสธ เฮยหมู่ตานจึงทำตามที่เขาบอก

ทั้งสี่คนออกจากห้องพัก ตัดผ่านสวนมุ่งสู่ด้านหลังโรงเตี๊ยม เมื่อมาถึงหน้าบันได ยามที่เฝ้าอยู่ปล่อยให้หนิวโหย่วเต้าและเฮยหมู่ตานผ่านเข้าไปเท่านั้น

หยวนฟางเกาคอ เขาถูกสกัดไว้ ไม่ให้เข้าไป

ความหรูหรางดงามของสถานที่ที่ดูคล้ายปราสาทแห่งนี้ย่อมไม่ต้องเอ่ยถึงให้มากความอีก การก่อสร้างสถานที่งดงามตระการตาเช่นนี้ขึ้นในพื้นที่ที่โอบล้อมไปด้วยทะเลทรายจะต้องใช้ทรัพยากรและกำลังทรัพย์มากมายอย่างแน่นอน

ทั้งสามเดินทะลุผ่านสวมบุปผา มาถึงหอสูงแห่งหนึ่ง มีคนเชิญให้พวกเขาคอยสักครู่ ส่งคนไปแจ้งต่อท่านเจ้าเมืองแล้ว

เฮยหมู่ตานและเถ้าแก่ล้วนค่อนข้างสำรวมอย่างเห็นได้ชัด ทว่าหนิวโหย่วเต้ากลับยกมือไพล่หลังเดินเล่นไปช้าๆ ชื่นชมทัศนียภาพโดยรอบ

หอยกสูงชายคาเชิดงอน คานสลักเสลาเสาวาดลวดลาย ประณีตงดงามยิ่ง หนิวโหย่วเต้าจ้องมองพลางนึกชื่นชมในฝีมือการแกะสลัก ถึงขนาดที่ยื่นมือออกไปลูบไล้ตามรอยสลักดูเล็กน้อย ลองใคร่ครวญตามว่าช่างสลักลงมีดอย่างไร การทำเช่นนี้ก็เหมือนการคัดลอกลายมือ ผู้เชี่ยวชาญจะมองออกว่าผู้เขียนจรดพู่กันตวัดเขียนอย่างไรและเก็บปลายพู่กันอย่างไร

เถ้าแก่สังเกตทุกอากัปกริยาของหนิวโหย่วเต้า รำพันอยู่ในใจ ดูเหมือนคนจำพวกที่ลุ่มหลงหมกมุ่นในงานศิลป์

ผ่านไปสักพัก สตรีชุดชมพูคนหนึ่งเดินเข้ามาจากสุดปลายเฉลียงทางเดินโดยมีสาวใช้หลายคนห้อมล้อมอยู่รอบกาย

หนิวโหย่วเต้าหันไปมองปฏิกิริยาของเฮยหมู่ตานและเถ้าแก่ ทราบว่าเจ้าบ้านมาถึงแล้ว อดมองพินิจอย่างละเอียดไม่ได้ พบว่าผู้ที่เดินเข้ามาเป็นอย่างที่เฮยหมู่ตานเล่าไว้จริงๆ รูปโฉมโนมพรรณล้วนธรรมดาทั้งสิ้น มีเพียงผิวกายที่ขาวผ่อง ทุกกริยาการเคลื่อนไหวล้วนแฝงบุคลิกสง่างามสูงศักดิ์ สีหน้าท่าทางดูอ่อนโยน

ใช่แล้ว ผู้ที่เดินเข้ามาก็คือซาฮ่วนลี่เจ้าเมืองไจซิง

เมื่อซาฮ่วนลี่มาถึง เถ้าแก่และเฮยหมู่ตานต่างประสานมือคำนับ หนิวโหย่วเต้าก็คำนับตามเล็กน้อย

ซาฮ่วนลี่โบกมือสื่อว่าไม่ต้องมากพิธี สายตาจับจ้องพิจารณาเฮยหมู่ตาน เอ่ยถามเสียงอ่อนละมุน “ภาพล่ะ ข้าอยากเห็นอีกครั้ง”

มีคนเข้ามาขอภาพจากมือเฮยหมู่ตานทันที ก่อนจะกางออกให้นางได้ชม

ซาฮ่วนลี่มองภาพวาดจากนั้นก็มองเฮยหมู่ตาน หลังจากเปรียบเทียบดูอยู่หลายครั้ง ก็ทอดถอนใจพร้อมเอ่ยชื่นชม “ฝีมือเลิศล้ำนัก เหมือนจริงๆ!” นางหันไปมองหนิวโหย่วเต้าที่อยู่ด้านข้าง “คาดว่าท่านนี้คงเป็นคุณชายเซวียนหยวนผู้วาดภาพกระมัง?”

……………………………………………………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า