ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 132

ตอนที่ 132 สมคบคิด

หนิวโหย่วเต้าไม่เถียงเรื่องนี้กับเขา แต่ชี้ตั๋วแลกทองในมือเขาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเข้าไปในตัวเมือง ไปที่ร้านค้าของสำนักเลิศเมฆา เปลี่ยนดาบของเจ้าเป็นเล่มที่ดีกว่า จากนั้นแวะซื้อโอสถวิญญาณที่จำเป็นต่อการฝึกบำเพ็ญเพียรของเจ้ามาสักหน่อย”

หยวนฟางหัวเราะพลางเอ่ยว่า “ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ขอรับ ข้าจะช่วยเก็บไว้แทนท่านก่อน”

ช่วยเก็บแทนข้า? หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออก รู้แกวเจ้าหัวโล้นคนนี้ดี คงคิดจะเก็บไว้สร้างวัดอะไรนั่นกระมัง เขายิ้มหยันพลางกล่าวว่า “หากตอนนี้เจ้าไม่รีบพัฒนาความสามารถของตน ถ้าสร้างวัดขึ้นมาแล้วมีคนมาก่อกวนหาเรื่องเข้า เจ้าจะรับมือได้หรือ? สูงต่ำมิอาจวัดบรรพต เซียนปรากฏย่อมเรืองนาม ลึกตื้นมิอาจประเมินชลธาร มังกรล่องผ่านย่อมเลื่องลือ เจ้าลืมคำพูดของเจ้าลิงไปแล้วอย่างนั้นหรือ?”

หยวนฟางตะลึงไปเล็กน้อย หยิบตั๋วทองออกมา เดินออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

…..

เถ้าแก่กลับไปที่โต๊ะเก็บเงิน นั่งลงหลังโต๊ะ นึกถึงเงินหนึ่งแสนเหรียญทองที่ได้มา จิตใจว้าวุ่นเล็กน้อย

หลังจากขจัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป เถ้าแก่เอ่ยถามเสี่ยวเอ้อที่ช่วยเฝ้าโต๊ะแทนตนว่า “ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม?”

พนักงานตอบว่า “ไม่มีขอรับ โอ้ใช่ เมื่อครู่เจ้าหมามาครับ ดูเหมือนจะมีธุระบางอย่างกับท่านขอรับ”

เถ้าแก่ขมวดคิ้วขึ้นมา ก่อนหน้านี้จู่ๆ คนของสำนักเซียนสถิตก็วิ่งแจ้นมาที่โรงเตี๊ยม ดูแล้วค่อนข้างผิดปกติ เขาจึงสั่งให้เจ้าหมาคอยจับตามองอย่างลับๆ ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาอันใดขึ้นในโรงเตี๊ยม หรือว่าจะมีปัญหาจริงๆ? เขาโบกมือเอ่ยไปว่า “ให้เขาเข้ามา”

“ขอรับ!” เสี่ยวเอ้อรีบเดินออกไป

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมที่มีฉายาว่าเจ้าหมาก็มาถึง แทรกตัวเข้าไปในคอกโต๊ะเก็บเงิน

เถ้าแก่หันไปถาม “มีปัญหาหรือ?”

เจ้าหมาขยับเข้าไปกระซิบข้างหูเขา “ศิษย์ของสำนักเซียนสถิตสองคนนั้นไม่ค่อยปกติจริงๆ ด้วยขอรับ ทำตัวลับๆ ล่อๆ คอยด้อมๆ มองๆ ก่อนหน้านี้เอาแต่เดินเตร่อยู่ในสวน เมื่อครู่ตอนที่เถ้าแก่ไม่อยู่ ทั้งสองแอบเข้าไปในห้องของเหลยจงคังที่เป็นพรรคพวกของเฮยหมู่ตาน ไม่ทราบเช่นกันว่าทำอะไรบ้าง หลังจากทั้งสองคนออกมาแล้ว หวงเอินผิงก็ออกไปจากโรมเตี๊ยม เหลือชุยหย่วนที่ยังอยู่ขอรับ”

เหลยจงคังอย่างนั้นหรือ? เถ้าแก่นึกเชื่อมโยงไปถึงหนิวโหย่วเต้าทันที ลูบเคราพลางเอ่ยพึมพำ “คนพวกนี้คิดจะทำอะไรกันแน่? หรือว่าคิดจะสร้างความวุ่นวายในโรงเตี๊ยม?” สิ่งแรกที่เขาคำนึงถึงคือการรักษาความสงบมั่นคงของโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์

เจ้าหมาส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ แต่น่าจะไม่ถึงขั้นมาก่อความวุ่นวายในโรงเตี๊ยมกระมังขอรับ อย่าว่าแต่พวกเขาสองคนเลย ต่อให้เป็นสำนักหลิวเซียนทั้งสำนักก็คงไม่กล้าทำเช่นกัน พวกเฮยหมู่ตานยิ่งไม่มีความกล้าขนาดนั้น กลับเป็นเซวียนหยวนเต้าคนนั้นต่างหากที่ไม่ทราบประวัติความเป็นมาเลยขอรับ”

เถ้าแก่คิดๆ ดูก็พบว่าจริงดั่งว่า แต่เพื่อความไม่ประมาท เขายังคงสั่งกำชับไปว่า “ไปเรียกคนมาสักสองสามคน จับตามองคนพวกนี้ไว้ให้ดี ห้ามให้ใครหน้าไหนมาก่อเรื่องในโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์เด็ดขาด!”

“ขอรับ!” เจ้าหมาพยักหน้ารับ รีบเดินออกไป

ตกเย็น หนิวโหย่วเต้าร้องเรียกเสี่ยวเอ้อ สั่งให้โรงเตี๊ยมจัดเตรียมสุราอาหารเลิศรสหนึ่งโต๊ะ ให้พวกเฮยหมู่ตานร่วมโต๊ะด้วย นับเป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้กินอาหารร่วมกัน

หลังจากดื่มกินกันอิ่มหนำสำราญกันแล้ว หนิวโหย่วเต้าวางจอกสุราลง แจ้งให้ทราบอย่างเป็นทางการว่า “คืนนี้ทุกคนพักผ่อนกันให้ดี สัมภาระใดที่ควรเก็บก็จัดเตรียมไว้แต่เนิ่นๆ”

คนอื่นๆ มองหน้ากัน ฟังความหมายในวาจานี้ออก จะไปแล้วหรือ? โดยเฉพาะพวกเฮยหมู่ตาน มิใช่บอกว่าจะอยู่ที่นี่ครึ่งปีหรอกหรือ?

เฮยหมู่ตานเอ่ยถาม “เต้าเหยี่ย จะไปแล้วหรือเจ้าคะ?”

พอเฮยหมู่ตานเอ่ยเรียก ‘เต้าเหยี่ย’ เหลยจงคังก็เบะปากไปตามจิตใต้สำนึก รู้สึกไม่พอใจ สุนัขจรจัดตัวหนึ่งกล้าให้คนอื่นเรียกขานว่า ‘เหยี่ย’ อย่างนั้นเรอะ?

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ “ออกเดินทางพรุ่งนี้”

เฮยหมู่ตานถาม “ไปไหนเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบเพียงว่า “เอาไว้ถึงแล้วย่อมรู้เอง” เขายังคงทำนิสัยอมพะนำเช่นเดิม

เฮยหมู่ตานพยักหน้า ไม่ได้ถามต่ออีก เพียงแต่แอบบ่นอยู่ในใจ ไม่ทราบว่าเต้าเหยี่ยผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่ เมื่อวิเคราะห์จากเบาะแสต่างๆ ก่อนหน้านี้ เห็นๆ อยู่ว่าเขาอยากเข้าใกล้ซาฮ่วนลี่ แต่พอเข้าใกล้สำเร็จกลับรักษาระยะห่างอีก

นางหลงนึกว่าเต้าเหยี่ยคิดจะใช้แผนแสร้งปล่อยเพื่อจับ แต่ตอนนี้กลับบอกว่าจะออกเดินทางในวันพรุ่ง ไม่คล้ายว่ากำลังจะใช้แผนแสร้งปล่อยเพื่อจับเลย หรือว่าตนจะเดาผิดไป สรุปแล้วคนผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่?

หลังกินอาหารเสร็จ หนิวโหย่วเต้าก็ไปเดินเล่นในตลาดเมืองโบราณต่อ ไปที่ร้านค้าของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ซื้อไข่ของผีเสื้อจันทรามาจำนวนหนึ่ง เตรียมจะฟักไข่ผีเสื้อส่องแสงสักตัว ต่อไปจะได้ทำอะไรในเวลากลางคืนได้สะดวกขึ้น

หนิวโหย่วเต้าซื้อไข่ผีเสื้อมาทีเดียวสิบฟอง ไข่ทุกฟองมีขนาดเท่าลูกปัดหยก ไข่ผีเสื้อธรรมดาย่อมไม่ใหญ่ขนาดนี้

ราคาแพงเอาการ หนึ่งร้อยเหรียญทองต่อหนึ่งฟอง สิบฟองก็เป็นเงินหนึ่งพันเหรียญทอง

พอจ่ายเงินเสร็จ สำนักหมื่นสรรพสัตว์ก็ให้คำแนะนำลูกค้าอย่างละเอียด พร้อมทั้งให้อุปกรณ์สำหรับฟักไข่มาด้วย สอนว่าต้องฟักและควบคุมอย่างไร

หลังจากทั้งกลุ่มกลับมาถึงโรงเตี๊ยม ต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนห้องใครห้องมัน

หนิวโหย่วเต้าและหยวนฟางกำลังเตรียมฟักไข่ผีเสื้อ แต่ละคนหยิบหีบไม้ใบเล็กขนาดประมาณครึ่งฝ่ามือออกมาใบหนึ่ง เมื่อเปิดออกดูก็มีกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยออกมา ด้านในบรรจุสิ่งที่มีลักษณะเหนียวๆ หลากสีสันไว้ เรียกว่าโคลนร้อยบุปผาอันใดสักอย่าง จากคำอธิบายของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ บอกว่าทำมาจากบุปผาร้อยชนิดบดละเอียดผสมกับโคลนสมุทร

ใน ‘บันทึกสวรรค์พิสุทธิ์’ มีบันทึกไว้ บอกว่าในโคลนร้อยบุปผาจะต้องมีความลับอันใดซ่อนอยู่แน่นอน โคลนร้อยบุปผาที่คนอื่นสร้างขึ้นไม่สามารถฟักไข่ ‘เสี่ยวเยวี่ย’ ออกมาได้ มีเพียงโคลนร้อยบุปผาที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์ผลิตขึ้นเท่านั้นถึงจะใช้ได้ อีกทั้งยังแปลกประหลาดอย่างมาก ไม่รู้ว่าสำนักหมื่นสรรพสัตว์มีวิธีคัดแยกอย่างไร ไข่ผีเสื้อที่ขายออกไป หลังจากฟักออกมาล้วนเป็นเพศผู้ทั้งสิ้น ไม่มีทางได้ตัวเมียไว้ออกไข่ เรียกได้ว่าสำนักหมื่นสรรพสัตว์ผูกขาดเส้นทางทำเงินนี้ไว้ในมือตนเองแต่เพียงผู้เดียว

ทั้งสองทำตามวิธีที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์สอนมา กรีดมือตนให้เป็นแผล หยดเลือดลงไปในหีบไม้ใบเล็กพอสมควร ผสมคลุกเคล้าโลหิตของตนเข้ากับโคลนร้อยบุปผาให้เข้ากันทั่วถึง จากนั้นทั้งสองต่างนำไข่ผีเสื้อ ‘เสี่ยวเยวี่ย’ ออกมาคนละฟอง ฝังลงไปในโคลน

ตามที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์บอก หลังจากฝังไข่เข้าไปแล้ว ไข่จะดูดซับสารสำคัญจากในโคลนร้อยบุปผาและเลือดลม รอจนกระทั่งเจ้าหนอนน้อยฟักตัวออกมาจากไข่ มันก็จะกินโคลนร้อยบุปผาในกล่องจนหมด จากนั้นจะกลายเป็นดักแด้ต่อ รอจนกระทั่งออกมาจากดักแด้ ก็จะกลายเป็นผีเสื้อส่องแสงตัวหนึ่ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า