ตอนที่ 133 ไป๋อวี้โหลว
หนิวโหย่วเต้าและหยวนฟางกำลังพักผ่อน วันนี้ทุกคนล้วนเข้านอนกันแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้จะออกเดินทาง ต้องพักผ่อนเก็บเรี่ยวแรงเอาไว้
ถึงจะบอกว่าพักผ่อน แต่ความจริงล้วนกำลังนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่
ด้วยความช่วยเหลือจากโอสถวิญญาณ หยวนฟางรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าสภาวะก้าวหน้าเร็วขึ้นกว่าเดิม
หลักการนี้เข้าใจได้ไม่ยาก ยามที่ฝึกบำเพ็ญเพียรร่างกายไม่เพียงแต่จะดูดซับไอวิญญาณจากฟ้าดินเข้าไป แต่ยังดูดซับไอวิญญาณจากโอสถวิญญาณเข้าไปในเวลาเดียวกันด้วย หากไม่ก้าวหน้าเร็วขึ้นสิถึงจะแปลก
ส่วนสภาวะของหนิวโหย่วเต้าพัฒนาไปได้เร็วยิ่งกว่า คนอื่นดูดซับไอวิญญาณมาเปลี่ยนเป็นแหล่งกำเนิดพลังของตน ทว่าเขากลับสามารถดูดซับแหล่งกำเนิดพลังของตงกัวเฮ่าหรานมาเป็นของตนตรงๆ ได้เลย
หลังจากสภาวะบรรลุถึงระดับสร้างฐาน เขาก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าความเร็วในการหลอมรวมเข้ากับแหล่งกำเนิดพลังของตงกัวเฮ่าหรานเร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก ระหว่างทางจนมาถึงตอนนี้ ยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายจุดที่สามที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งได้ถูกเขาหลอมมาเป็นของตนจนหมดแล้ว เวลานี้กำลังอยู่ระหว่างหลอมจุดที่สี่
หากเทียบกับช่วงที่อยู่ในระดับหลอมปราณที่เพียงแค่หลอมยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายสองจุดก็สามารถบรรลุขั้นสูงสุดของระดับหลอมปราณได้แล้ว หนิวโหย่วเต้าสังเกตเห็นว่าปริมาณในการกักเก็บพลังของสภาวะระดับสร้างฐานนั้นเหนือกว่าระดับหลอมปราณอย่างมาก นี่มิใช่เรื่องแปลกเลย สามารถเข้าใจได้ หากยังเหมือนระดับหลอมปราณสิถึงจะแปลก แต่ปัญหาคือหนิวโหย่วเต้าได้ลองทำการประเมินดูเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าหลังจากหลอมยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายอีกสามสิบจุดที่เหลืออยู่ในร่างกายแล้ว สภาวะของเขาจะบรรลุถึงช่วงปลายของระดับสร้างฐานได้หรือไม่ แต่น่าจะบรรลุถึงช่วงกลางได้ไม่มีปัญหา
ในอดีตตงกัวเฮ่าหรานเป็นยอดฝีมือระดับโอสถทอง จนปัญญาที่ตอนถ่ายพลังเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส สูญเสียพลังมากเกินไป จึงไม่สามารถถ่ายทอดพลังทั้งหมดของระดับโอสถทองให้หนิวโหย่วเต้าได้
แต่หากว่ากันในอีกมุมหนึ่ง หากตงกัวเฮ่าหรานมีสภาวะสมบูรณ์พร้อม นั่นก็หมายความว่าเขาสบายดี คาดว่าคงไม่เกิดการถ่ายทอดพลังเช่นนี้ขึ้น
โลกนี้มีคำกล่าวไว้ว่า ‘มีได้ก็ต้องมีเสีย ทุกเรื่องย่อมเป็นเช่นนี้!’
ก๊อกๆ มีเสียงเคาะประตูแว่วจากด้านนอก
ทั้งสองคนที่นั่งสมาธิอยู่บนเตียงสองหลังที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกันลืมตาขึ้นมา ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่มาเคาะประตูกลางดึกเช่นนี้?
พวกเขาไม่ได้ปล่อยคนเข้ามา หยวนฟางลงจากเตียง วิ่งไปเปิดประตูตรวจดูว่าเป็นผู้ใด จากนั้นกลับมารายงานว่า “เต้าเหยี่ย เป็นเสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมขอรับ ก่อนหน้านี้เคยเจอที่ข้างโต๊ะเก็บเงินในโถงใหญ่มาก่อน เขาบอกว่ามาหาท่านขอรับ”
“โอ้ เชิญเข้ามาสิ” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ เขาเชื่อว่าในเวลาปกติคงไม่มีใครกล้ามาก่อเรื่องที่โรงเตี๊ยมเชิญจันทร์
หยวนฟางกลับไปเปิดประตูอีกรอบ ให้เสี่ยวเอ้อเข้ามา ผู้มาก็คือเจ้าหมา
เมื่อรู้ว่าวันนี้คนผู้นี้ได้พบท่านเจ้าเมือง เจ้าหมาจึงดูสุภาพมีมารยาทอย่างเห็นได้ชัด โค้งกายก้มหัวพลางกล่าวว่า “นายท่าน เถ้าแก่ของพวกเราขอเชิญท่านขอรับ”
“เถ้าแก่อย่างนั้นหรือ?” หนิวโหย่วเต้านึกถึงบทสนทนาตอนกลางวัน ยิ้มเล็กน้อยพร้อมถามว่า “ไม่ทราบว่าเรียกไปพบด้วยเรื่องใดหรือ?”
เจ้าหมาตอบด้วยรอยยิ้ม “มิใช่เรียกพบขอรับ เถ้าแก่บอกว่าต้องการเชิญนายท่านไปดื่มชาขอรับ”
“ดื่มชาหรือ?” หนิวโหย่วเต้างุนงงไปเล็กน้อย ทำไมอยู่ดีๆ ถึงเชิญเขาไปดื่มชา? เขาไม่ใคร่เชื่อนัก ต้องมีเรื่องอะไรแน่นอน
เขาลงจากเตียง ลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เถ้าแก่เชื้อเชิญ ไหนเลยจะกล้าปฏิเสธ” เขาโบกมือส่งสัญญาณว่าให้ไป
หยวนฟางติดตามไปทันที แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าเจ้าหมากลับยื่นแขนมาขวางหยวนฟางไว้ เอ่ยขออภัยว่า “เถ้าแก่กล่าวไว้ เชิญนายท่านเพียงคนเดียวขอรับ”
“โอ้!” แววตาหนิวโหย่วเต้าวูบไหว ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ได้ อย่างนั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่แล้วกัน” พลันโบกมือสื่อว่าให้หยวนฟางอยู่ที่ห้อง
หยวนฟางหยิบกระบี่ของเขาขึ้นมาทันที ประคองส่งให้ ให้เขาพกไว้ป้องกันตัว
แต่หนิวโหย่วเต้ากลับดันกลับมาพร้อมส่ายศีรษะ ก่อนจะเดินออกไป
เขาทราบแก่ใจดี เมื่ออยู่ในโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์แห่งนี้ หากเถ้าแก่ต้องการจัดการเขาจริงๆ ล่ะก็ ต่อให้พกกระบี่ไปก็ไม่มีประโยชน์ มิสู้ไปอย่างเปิดเผยดีกว่า
ทั้งสองเดินออกจากห้อง เจ้าหมานำทางให้ พาหนิวโหย่วเต้าไปที่ชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยม เคาะประตูห้องของเถ้าแก่แล้วเปิดเข้าไป
เมื่อเข้าไปในห้องก็มองเห็นเถ้าแก่กำลังนั่งชงชาอยู่ หนิวโหย่วเต้ายิ้มให้อีกฝ่าย เถ้าแก่โบกมือไล่เจ้าหมาออกไป ก่อนจะผายมือไปที่ฝั่งตรงข้าม เชื้อเชิญให้หนิวโหย่วเต้านั่งลง
หนิวโหย่วเต้าพิจารณาสภาพห้องเล็กน้อย ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ในใจวิเคราะห์ได้ว่าที่นี่เป็นเพียงสถานที่พักชั่วคราวของอีกฝ่าย มิใช่สถานที่อยู่อาศัย
หลังจากเดินไปนั่งลงในฝั่งตรงข้าม หนิวโหย่วเต้าก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่เรียกหา ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดจะชี้แนะหรือ”
เถ้าแก่ชี้กาน้ำชาที่ยังไม่เดือด เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดื่มชา~”
ทั้งสองยิ้มให้กัน ต่างรู้อยู่แก่ใจ ดื่มชาเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น หนิวโหย่วเต้าประสานมือกล่าวว่า “ยังไม่ทราบเลยว่าเถ้าแก่มีนามว่าอะไร”
เถ้าแก่ที่ผิวพรรณขาวกระจ่างยกมือลูบเคราเล็กน้อย กล่าวตอบว่า “ไป๋อวี้โหลว! คนที่อยู่ในเมืองนี้เป็นประจำล้วนน่าจะทราบกันดี”
หนิวโหย่วเต้าปรบมือเบาๆ อุทานว่า “นามดี เป็นนามที่ดี!”
ไป๋อวี้โหลวหัวเราะพลางเอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าน้องเซวียนหยวนเป็นศิษย์ของสำนักนิกายใดหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าตอบไปว่า “เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักที่ท่องไปทั่วหล้าเท่านั้น”
“ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักอย่างนั้นหรือ?” ไป๋อวี้โหลวแสร้งยิ้มขึ้นมา “มอบตั๋วเงินหนึ่งแสนเหรียญทองให้คนอื่นเป็นรางวัลได้ง่ายๆ กระทั่งตาก็ไม่กะพริบด้วยซ้ำ นี่มิคล้ายวิสัยที่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักพึงมีเลย ความใจกว้างระดับนี้แม้แต่แซ่ไป๋เองก็เทียบไม่ติด!” ความหมายในวาจาคือไม่เชื่อว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก
การกระทำของเขาหลังจากนั้นยิ่งแสดงให้เห็นท่าทีที่ไม่เชื่อหนิวโหย่วเต้า เขาหยิบตั๋วแลกทองทั้งสิบใบออกมา เลื่อนไปไว้ตรงหน้าหนิวโหย่วเต้า ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมเผยความจริง เงินนี่เขาก็ไม่กล้าเก็บเอาไว้อีก
เขานึกฉงนขึ้นมา ก่อนหน้านี้อะไรดลจิตดลใจให้เขารับเงินนี้ไว้กันนะ ทำเอารู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา ภายหลังพอคิดๆ ดูแล้ว หากเป็นเงินหลักร้อยหลักพัน มันก็ไม่แน่ว่าจะเข้าตาเขา หากเป็นหลักหมื่นสองหมื่นเขาก็ยังพอรับมืออย่างมีสติได้ แต่นี่อีกฝ่ายใจป้ำจริงๆ ตกรางวัลทีเดียวแสนเหรียญทอง ทำให้เขาระงับใจไม่อยู่ไปชั่วขณะ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า