ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 133

ตอนที่ 133 ไป๋อวี้โหลว

หนิวโหย่วเต้าและหยวนฟางกำลังพักผ่อน วันนี้ทุกคนล้วนเข้านอนกันแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้จะออกเดินทาง ต้องพักผ่อนเก็บเรี่ยวแรงเอาไว้

ถึงจะบอกว่าพักผ่อน แต่ความจริงล้วนกำลังนั่งสมาธิบำเพ็ญเพียรอยู่

ด้วยความช่วยเหลือจากโอสถวิญญาณ หยวนฟางรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าสภาวะก้าวหน้าเร็วขึ้นกว่าเดิม

หลักการนี้เข้าใจได้ไม่ยาก ยามที่ฝึกบำเพ็ญเพียรร่างกายไม่เพียงแต่จะดูดซับไอวิญญาณจากฟ้าดินเข้าไป แต่ยังดูดซับไอวิญญาณจากโอสถวิญญาณเข้าไปในเวลาเดียวกันด้วย หากไม่ก้าวหน้าเร็วขึ้นสิถึงจะแปลก

ส่วนสภาวะของหนิวโหย่วเต้าพัฒนาไปได้เร็วยิ่งกว่า คนอื่นดูดซับไอวิญญาณมาเปลี่ยนเป็นแหล่งกำเนิดพลังของตน ทว่าเขากลับสามารถดูดซับแหล่งกำเนิดพลังของตงกัวเฮ่าหรานมาเป็นของตนตรงๆ ได้เลย

หลังจากสภาวะบรรลุถึงระดับสร้างฐาน เขาก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าความเร็วในการหลอมรวมเข้ากับแหล่งกำเนิดพลังของตงกัวเฮ่าหรานเร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างมาก ระหว่างทางจนมาถึงตอนนี้ ยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายจุดที่สามที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งได้ถูกเขาหลอมมาเป็นของตนจนหมดแล้ว เวลานี้กำลังอยู่ระหว่างหลอมจุดที่สี่

หากเทียบกับช่วงที่อยู่ในระดับหลอมปราณที่เพียงแค่หลอมยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายสองจุดก็สามารถบรรลุขั้นสูงสุดของระดับหลอมปราณได้แล้ว หนิวโหย่วเต้าสังเกตเห็นว่าปริมาณในการกักเก็บพลังของสภาวะระดับสร้างฐานนั้นเหนือกว่าระดับหลอมปราณอย่างมาก นี่มิใช่เรื่องแปลกเลย สามารถเข้าใจได้ หากยังเหมือนระดับหลอมปราณสิถึงจะแปลก แต่ปัญหาคือหนิวโหย่วเต้าได้ลองทำการประเมินดูเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าหลังจากหลอมยันต์ถ่ายทอดธรรมคุ้มกายอีกสามสิบจุดที่เหลืออยู่ในร่างกายแล้ว สภาวะของเขาจะบรรลุถึงช่วงปลายของระดับสร้างฐานได้หรือไม่ แต่น่าจะบรรลุถึงช่วงกลางได้ไม่มีปัญหา

ในอดีตตงกัวเฮ่าหรานเป็นยอดฝีมือระดับโอสถทอง จนปัญญาที่ตอนถ่ายพลังเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส สูญเสียพลังมากเกินไป จึงไม่สามารถถ่ายทอดพลังทั้งหมดของระดับโอสถทองให้หนิวโหย่วเต้าได้

แต่หากว่ากันในอีกมุมหนึ่ง หากตงกัวเฮ่าหรานมีสภาวะสมบูรณ์พร้อม นั่นก็หมายความว่าเขาสบายดี คาดว่าคงไม่เกิดการถ่ายทอดพลังเช่นนี้ขึ้น

โลกนี้มีคำกล่าวไว้ว่า ‘มีได้ก็ต้องมีเสีย ทุกเรื่องย่อมเป็นเช่นนี้!’

ก๊อกๆ มีเสียงเคาะประตูแว่วจากด้านนอก

ทั้งสองคนที่นั่งสมาธิอยู่บนเตียงสองหลังที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกันลืมตาขึ้นมา ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดที่มาเคาะประตูกลางดึกเช่นนี้?

พวกเขาไม่ได้ปล่อยคนเข้ามา หยวนฟางลงจากเตียง วิ่งไปเปิดประตูตรวจดูว่าเป็นผู้ใด จากนั้นกลับมารายงานว่า “เต้าเหยี่ย เป็นเสี่ยวเอ้อของโรงเตี๊ยมขอรับ ก่อนหน้านี้เคยเจอที่ข้างโต๊ะเก็บเงินในโถงใหญ่มาก่อน เขาบอกว่ามาหาท่านขอรับ”

“โอ้ เชิญเข้ามาสิ” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ เขาเชื่อว่าในเวลาปกติคงไม่มีใครกล้ามาก่อเรื่องที่โรงเตี๊ยมเชิญจันทร์

หยวนฟางกลับไปเปิดประตูอีกรอบ ให้เสี่ยวเอ้อเข้ามา ผู้มาก็คือเจ้าหมา

เมื่อรู้ว่าวันนี้คนผู้นี้ได้พบท่านเจ้าเมือง เจ้าหมาจึงดูสุภาพมีมารยาทอย่างเห็นได้ชัด โค้งกายก้มหัวพลางกล่าวว่า “นายท่าน เถ้าแก่ของพวกเราขอเชิญท่านขอรับ”

“เถ้าแก่อย่างนั้นหรือ?” หนิวโหย่วเต้านึกถึงบทสนทนาตอนกลางวัน ยิ้มเล็กน้อยพร้อมถามว่า “ไม่ทราบว่าเรียกไปพบด้วยเรื่องใดหรือ?”

เจ้าหมาตอบด้วยรอยยิ้ม “มิใช่เรียกพบขอรับ เถ้าแก่บอกว่าต้องการเชิญนายท่านไปดื่มชาขอรับ”

“ดื่มชาหรือ?” หนิวโหย่วเต้างุนงงไปเล็กน้อย ทำไมอยู่ดีๆ ถึงเชิญเขาไปดื่มชา? เขาไม่ใคร่เชื่อนัก ต้องมีเรื่องอะไรแน่นอน

เขาลงจากเตียง ลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เถ้าแก่เชื้อเชิญ ไหนเลยจะกล้าปฏิเสธ” เขาโบกมือส่งสัญญาณว่าให้ไป

หยวนฟางติดตามไปทันที แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าเจ้าหมากลับยื่นแขนมาขวางหยวนฟางไว้ เอ่ยขออภัยว่า “เถ้าแก่กล่าวไว้ เชิญนายท่านเพียงคนเดียวขอรับ”

“โอ้!” แววตาหนิวโหย่วเต้าวูบไหว ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ได้ อย่างนั้นเจ้าก็อยู่ที่นี่แล้วกัน” พลันโบกมือสื่อว่าให้หยวนฟางอยู่ที่ห้อง

หยวนฟางหยิบกระบี่ของเขาขึ้นมาทันที ประคองส่งให้ ให้เขาพกไว้ป้องกันตัว

แต่หนิวโหย่วเต้ากลับดันกลับมาพร้อมส่ายศีรษะ ก่อนจะเดินออกไป

เขาทราบแก่ใจดี เมื่ออยู่ในโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์แห่งนี้ หากเถ้าแก่ต้องการจัดการเขาจริงๆ ล่ะก็ ต่อให้พกกระบี่ไปก็ไม่มีประโยชน์ มิสู้ไปอย่างเปิดเผยดีกว่า

ทั้งสองเดินออกจากห้อง เจ้าหมานำทางให้ พาหนิวโหย่วเต้าไปที่ชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยม เคาะประตูห้องของเถ้าแก่แล้วเปิดเข้าไป

เมื่อเข้าไปในห้องก็มองเห็นเถ้าแก่กำลังนั่งชงชาอยู่ หนิวโหย่วเต้ายิ้มให้อีกฝ่าย เถ้าแก่โบกมือไล่เจ้าหมาออกไป ก่อนจะผายมือไปที่ฝั่งตรงข้าม เชื้อเชิญให้หนิวโหย่วเต้านั่งลง

หนิวโหย่วเต้าพิจารณาสภาพห้องเล็กน้อย ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ในใจวิเคราะห์ได้ว่าที่นี่เป็นเพียงสถานที่พักชั่วคราวของอีกฝ่าย มิใช่สถานที่อยู่อาศัย

หลังจากเดินไปนั่งลงในฝั่งตรงข้าม หนิวโหย่วเต้าก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เถ้าแก่เรียกหา ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดจะชี้แนะหรือ”

เถ้าแก่ชี้กาน้ำชาที่ยังไม่เดือด เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดื่มชา~”

ทั้งสองยิ้มให้กัน ต่างรู้อยู่แก่ใจ ดื่มชาเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น หนิวโหย่วเต้าประสานมือกล่าวว่า “ยังไม่ทราบเลยว่าเถ้าแก่มีนามว่าอะไร”

เถ้าแก่ที่ผิวพรรณขาวกระจ่างยกมือลูบเคราเล็กน้อย กล่าวตอบว่า “ไป๋อวี้โหลว! คนที่อยู่ในเมืองนี้เป็นประจำล้วนน่าจะทราบกันดี”

หนิวโหย่วเต้าปรบมือเบาๆ อุทานว่า “นามดี เป็นนามที่ดี!”

ไป๋อวี้โหลวหัวเราะพลางเอ่ยว่า “ไม่ทราบว่าน้องเซวียนหยวนเป็นศิษย์ของสำนักนิกายใดหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าตอบไปว่า “เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักที่ท่องไปทั่วหล้าเท่านั้น”

“ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักอย่างนั้นหรือ?” ไป๋อวี้โหลวแสร้งยิ้มขึ้นมา “มอบตั๋วเงินหนึ่งแสนเหรียญทองให้คนอื่นเป็นรางวัลได้ง่ายๆ กระทั่งตาก็ไม่กะพริบด้วยซ้ำ นี่มิคล้ายวิสัยที่ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักพึงมีเลย ความใจกว้างระดับนี้แม้แต่แซ่ไป๋เองก็เทียบไม่ติด!” ความหมายในวาจาคือไม่เชื่อว่าเขาเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก

การกระทำของเขาหลังจากนั้นยิ่งแสดงให้เห็นท่าทีที่ไม่เชื่อหนิวโหย่วเต้า เขาหยิบตั๋วแลกทองทั้งสิบใบออกมา เลื่อนไปไว้ตรงหน้าหนิวโหย่วเต้า ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมเผยความจริง เงินนี่เขาก็ไม่กล้าเก็บเอาไว้อีก

เขานึกฉงนขึ้นมา ก่อนหน้านี้อะไรดลจิตดลใจให้เขารับเงินนี้ไว้กันนะ ทำเอารู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา ภายหลังพอคิดๆ ดูแล้ว หากเป็นเงินหลักร้อยหลักพัน มันก็ไม่แน่ว่าจะเข้าตาเขา หากเป็นหลักหมื่นสองหมื่นเขาก็ยังพอรับมืออย่างมีสติได้ แต่นี่อีกฝ่ายใจป้ำจริงๆ ตกรางวัลทีเดียวแสนเหรียญทอง ทำให้เขาระงับใจไม่อยู่ไปชั่วขณะ

หนิวโหย่วเต้าแปลกใจ “เถ้าแก่ นี่หมายความว่าอย่างไร?”

ไป๋อวี้โหลวเอ่ยว่า “น้ำใจนี้มากเกินไป ข้าเป็นเพียงเถ้าแก่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ช่วยเหลืออันใดน้องชายไม่ได้ หากรับไว้ก็ละอายแก่ใจ ขออภัยจริงๆ!”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ขี่ม้าท่องทั่วหล้า ลมก็ดี ฝนก็ช่าง ไม่อาจขัดขวางข้าได้! เหยียบย่างไปตามเส้นทาง ทำความรู้จักสร้างสหาย เพียงหวังให้หนทางสะดวกราบรื่น มิเคยคิดจะเรียกร้องสิ่งใด และไม่เคยเป็นฝ่ายสร้างความเดือดร้อนให้สหาย เถ้าแก่คิดมากไปแล้ว หากท่านรังเกียจว่าเงินนี้คือเผือกร้อนลวกมือ คิดว่าข้ามีแผนการใดแอบแฝง เช่นนั้นก็จัดการไม่ยาก!”

เขาโคจรพลังยื่นมือไปยกกาน้ำชาที่ร้อนลวกมือขึ้น มืออีกข้างหยิบตั๋วแลกทองหนึ่งแสนเหรียญทองที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา หมายจะโยนเข้าไปในเตาไฟ

เฮ้ย! มุมปากไป๋อวี้โหลวกระตุกเล็กน้อย รีบยื่นมือออกไปคว้าข้อมือหนิวโหย่วเต้าเอาไว้

ทั้งสองสบตากัน หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ วางกาน้ำชากลับไปบนเตาไฟ ไป๋อวี้โหลวก็ค่อยๆ คลายมือจากข้อมือของเขา ถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “น้องชายรับเงินกลับไปก็พอแล้ว เผาเงินแสนเหรียญทองทิ้งเช่นนี้มิเสียดายหรือ? ด้านนอกมีผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักมากน้อยเท่าไรที่พยายามทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้เงินหนึ่งแสนเหรียญทอง”

เขานับว่ายอมใจคนผู้นี้เลย หนึ่งแสนเหรียญทองนึกจะเผาก็เผากันง่ายๆ

ตั๋วแลกทองถูกวางกลับลงบนโต๊ะ หนิวโหย่วเต้าเลื่อนกลับไปตรงหน้าเขา ให้อีกฝ่ายจัดการเอาเอง

ไป๋อวี้โหลวไม่ได้รับไว้ เอ่ยถามเสียงเรียบว่า “น้องชายมีไมตรีกับสำนักเซียนสถิตหรือไม่?” เขาเริ่มสอบถามเรื่องราวจากหนิวโหย่วเต้า

“สำนักเซียนสถิตหรือ?” หนิวโหย่วเต้าผงะไปแวบหนึ่ง นึกว่าอีกฝ่ายทราบตื้นลึกหนาบางของตนแล้ว ลอบรู้สึกตกใจ

จนถึงปัจจุบันนี้ คนในโลกบำเพ็ญเพียรที่เขาเคยพบปะข้องแวะมีไม่มากนัก คิดว่าที่เมืองไจซิงไม่น่าจะผู้ใดรู้จักตนได้ ดูเหมือนกลุ่มอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเมืองไจซิงแห่งนี้จะร้ายกาจจริงๆ เหนือกว่าที่ตนจินตนาการไว้มากนัก หากมีโอกาสก็อยากจะศึกษาดูเสียหน่อยว่าเป็นกลุ่มอำนาจแบบใดกัน

เขาแอบกังวลเล็กน้อย หรือว่าสำนักเซียนสถิตจะเป็นหนึ่งในกลุ่มอิทธิพลที่อยู่ใต้สังกัดของหลัวชิว? จึงย้อนถามว่า “เถ้าแก่หมายถึงสำนักเซียนสถิตแห่งแคว้นเยี่ยนหรือ?”

ไป๋อวี้โหลวเอ่ยว่า “เท่าที่ข้าทราบมา ใต้หล้านี้มีเพียงสำนักเดียวที่มีนามว่าสำนักเซียนสถิต”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “กลับเป็นข้าที่ความรู้ตื้นเขินจนทำตัวประหลาดไป สำหรับสำนักเซียนสถิต ไร้ซึ่งไมตรี ทว่ามีความแค้น” เขายังคงไม่ยอมเผยตื้นลึกหนาบางของตน

“มีความแค้นหรือ?” ไป๋อวี้โหลวพลันเงยหน้ามอง คล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาแล้ว กาน้ำชาบนเตาเดือดได้ที่ เขายกกาน้ำชาลงมารินแบ่งกันคนละถ้วย เอ่ยถามว่า “เรื่องราวเป็นมาอย่างไร?”

เมื่อดูจากท่าทีของอีกฝ่ายแล้ว เหมือนจะเป็นตนที่คิดมากไปเอง! หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเนิบๆ ว่า “ก็ไม่ได้มีอะไร มีศิษย์ของสำนักเซียนสถิตสองสามคนที่ตายด้วยน้ำมือข้าน่ะ เหตุใดจู่ๆ เถ้าแก่จึงเอ่ยถึงสำนักเซียนสถิตขึ้นมาล่ะ?”

ไป๋อวี้โหลวคาดเดาเรื่องราวอยู่ในใจได้พอสมควรแล้ว จึงเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เกรงว่าน้องชายคงต้องระวังคนข้างกายตนไว้บ้างแล้ว?”

หนิวโหย่วเต้าหรี่ตาลงเล็กน้อย “หมายความว่าอย่างไร?”

“คนของสำนักเซียนสถิตมาเช่าห้องที่โรงเตี๊ยม มากันสองคน คนหนึ่งมีนามว่าหวงเอินผิง อีกคนนามว่าชุยหย่วน ล้วนเป็นคนของร้านค้าสำนักเซียนสถิตประจำเมืองนี้” ไป๋อวี้โหลวบอกเล่าเล็กน้อย

หนิวโหย่วเต้ายกน้ำชาคารวะเขาทันที คอยให้เขาเอ่ยต่อ

ไป๋อวี้โหลวยกถ้วยน้ำชาตอบกลับตามมารยาท จิบน้ำชาเข้าไปอึกหนึ่ง “เมืองไจซิงตั้งอยู่ห่างไกล เรื่องบางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรงเตี๊ยม เดิมทีข้าไม่สมควรพูดมาก แต่เห็นแก่ที่น้องชายสร้างความสุขให้ท่านเจ้าเมืองในวันนี้ ข้าจึงขอพูดมากสักหน่อย เหลยจงคังคนนั้น คาดว่าเจ้าคงรู้จัก เย็นนี้พวกเจ้ายังกินข้าวด้วยกันอยู่เลย หลังจากคนของสำนักเซียนสถิตเข้าพักในโรงเตี๊ยม ก็ได้ลอบพบปะกับเหลยจงคังสองครั้งแล้ว ครั้งแรกตอนกลางวัน อีกครั้งคือหลังจากกินมื้อเย็นกับพวกเจ้าได้ไม่นาน สถานการณ์โดยละเอียดข้าก็ไม่ทราบเช่นกัน ตอนนี้รู้เพียงเท่านี้”

หนิวโหย่วเต้ายกถ้วยชาจรดริมฝีปาก ค่อยๆ จิบน้ำชาอย่างช้าๆ แววตาวูบไหวมีเลศนัย ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่

กระทั่งสรุปความคิดได้และได้สติกลับมา หนิวโหย่วเต้าก็ใช้สองมือประคองถ้วยชา จากนั้นเงยหน้าดื่มชารวดเดียวจนหมดเพื่อแสดงความขอบคุณ

ไป๋อวี้โหลวยกชาขึ้นดื่ม นับว่าตอบรับคำขอบคุณ

หนิวโหย่วเต้ายกกาช่วยรินชาให้เขาจนเต็ม “น้ำใจนี้ข้าจดจำไว้แล้ว วันหน้าหากว่ามีโอกาส ข้าต้องตอบแทนแน่นอน! ไม่ว่าเถ้าแก่จะนับข้าเป็นสหายหรือไม่ แต่ข้าพูดคำไหนย่อมเป็นคำนั้น ไม่มีทางนำความเดือดร้อนมาให้สหาย คืนนี้ หากมีคนจากฝั่งข้าพบปะกับคนของสำนักเซียนสถิตอีก เถ้าแก่ก็ให้เสี่ยวเอ้อนำสุราไปส่งที่ห้องข้าซักไหเป็นอย่างไร? หากว่าลำบาก เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด ถือว่าข้าไม่ได้พูดอะไร”

ไป๋อวี้โหลวไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธเขา เพียงยกชาขึ้นจิบช้าๆ นับเป็นการแสดงท่าที

ด้วยเหตุนี้หนิวโหย่วเต้าจึงไม่พูดอะไรอีก เปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “ชานี่ไม่เลวเลย…”

ทั้งสองพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง จากนั้นหนิวโหย่วเต้าลุกขึ้นประสานมือพลางกล่าวลา “พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางออกจากเมืองไจซิงแล้ว ขอกล่าวอำลาไว้ตั้งแต่ตรงนี้เลย!

ไป๋อวี้โหลวชูถ้วยน้ำชาขึ้น “ไม่ส่ง!”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ หันหลังเดินออกไป

ไป๋อวี้โหลวมองตั๋วแลกทองสิบใบที่วางอยู่บนโต๊ะ ยิ้มเล็กน้อย เอ่ยพึมพำว่า “คนผู้นี้น่าสนใจ”

ประตูถูกเปิดออก เจ้าหมาเดินเข้ามา มองเห็นตั๋วแลกทองสิบใบที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเช่นกัน เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “นี่มัน?”

ไป๋อวี้โหลวหัวเราะเฮอะๆ ส่ายหน้าพลางตอบว่า “ข้าเห็นแก่ที่วันนี้เขาสร้างความสุขให้ท่านเจ้าเมือง จึงเอ่ยเตือนไปเล็กน้อย ผู้ใดจะทราบว่าเขามีความแค้นกับสำนักเซียนสถิต จึงทิ้งเงินหนึ่งแสนเหรียญทองไว้เพื่อแสดงความขอบคุณ”

“ห๊า!” เจ้าหมาส่ายหน้าร้องจุ๊ๆ “คนผู้นี้ใจกว้างยิ่งนัก!”

ไป๋อวี้โหลวดึงตั๋วแลกทองออกมาห้าใบ ดันไปไว้ตรงหน้าเขา “บังเอิญได้รับทรัพย์มาก้อนหนึ่ง ทุกคนลำบากกันมามาก นำเงินนี่ไปแบ่งปันให้พวกพี่น้องเถอะ”

เจ้าหมาก็ไม่เกรงใจเช่นกัน หัวเราะแหะๆ พลางรับไป “เช่นนั้นข้าขอเป็นตัวแทนเหล่าพี่น้องกล่าวขอบคุณแล้วกันขอรับ”

“ไปจัดการเรื่องของตัวเองให้ดี” ไป๋อวี้โหลวโบกมือไล่

หลังเจ้าหมาจากไปอย่างมีความสุข ไป๋อวี้โหลวก็หยิบตั๋วแลกทองห้าใบที่เหลืออยู่บนโต๊ะขึ้นมา สะบัดเล็กน้อยพลางทอดถอนใจ เดิมสมควรเป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว พริบตาเดียวกลับหายไปครึ่งนึง

แต่หลังจากหาวิธีจัดการกับเงินที่ได้มาอย่างไม่ค่อยเหมาะสมก้อนนี้ได้แล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงผลที่จะตามมาอีก ต่อให้ท่านพ่อบ้านทราบเรื่องเข้าก็ไม่เป็นไร เขาเก็บตั๋วแลกทองห้าใบที่เหลือเข้ากระเป๋าอย่างสบายใจ รู้สึกว่าชาที่ดื่มรสชาติดีขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย

……………………………………………………………..

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า