ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 134

ตอนที่ 134 สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลง

หยวนฟางเฝ้าอยู่ตรงประตู หลังจากหนิวโหย่วเต้าถูกเชิญตัวไป เขาก็รออยู่ตรงประตูตลอด

เมื่อหนิวโหย่วเต้ากลับมา หยวนฟางตามเข้าห้องไป ทันทีที่ปิดประตู เขาก็ขยับเข้าไปใกล้หนิวโหย่วเต้า เอ่ยถามว่า “เต้าเหยี่ย ไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ?”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า เพียงแต่สายตาที่มองดูหยวนฟางคล้ายไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี ภายในใจลอบทอดถอนใจเล็กน้อย เจ้าลิงมีความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เชี่ยวชาญในการสอดแนม หากว่าเป็นเจ้าลิงที่อยู่ข้างกาย ขอเพียงคนรอบตัวมีความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยก็ยากจะรอดพ้นสายตาของเจ้าลิงไปได้ นี่คือความห่างชั้นระหว่างหยวนฟางกับเจ้าลิง

แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรหยวนฟาง หยวนฟางยังขาดประสบการณ์ในด้านนี้ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรด้วย เอาไว้เกิดเรื่องขึ้นแล้วค่อยเตือนหยวนฟาง ครั้งหน้าเมื่อต้องเผชิญสถานการณ์ทำนองนี้อีก หยวนฟางคงไม่อยู่เฉย ย่อมต้องคิดหาทางสอดส่องแน่นอน อย่างน้อยก็ต้องรักษาความระแวดระวังที่ควรมีเอาไว้

เรื่องราวบางอย่างหากพูดไปตามตรงคงไม่มีผลอะไรมากนัก ต้องปล่อยให้ตระหนักรู้ด้วยตัวเอง นี่คือสิ่งที่เรียกว่าประสบการณ์

หนิวโหย่วเต้าโบกมือดับตะเกียงภายในห้อง ค่อยๆ เดินไปหยุดอยู่ที่ริมหน้าต่าง เปิดหน้าต่างออก ยกมือไพล่หลังมองแสงโคมสลัวที่กระจัดกระจายอยู่ภายในเมืองโบราณ สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์

คิดไม่ถึงว่าจะมีคนใกล้ตัวสมคบคิดกับสำนักเซียนสถิต ไม่จำเป็นต้องเดาให้มากความแล้วว่าวางแผนอะไรอยู่

จะบอกว่าเป็นการหักหลัง ก็เกรงว่าจะพูดได้ไม่เต็มปาก เพิ่งรู้จักกันได้ไม่เท่าไร ยังไม่ได้เดินร่วมทางกัน จะบอกว่าอีกฝ่ายเขาหักหลังเจ้าไม่ได้ อาจจะเรียกได้ว่าต่างคนต่างทำเพื่อนายตนมากกว่า!

เพียงแต่เขากำลังนึกถึงปัญหาข้อหนึ่งอยู่ เฮยหมู่ตาน ตนมองคนพลาดไปอย่างนั้นหรือ?

เมื่อวิเคราะห์ตัดความเป็นไปได้ดูเล็กน้อย เขาก็แทบจะมั่นใจได้ว่าสำนักเซียนสถิตน่าจะพบตนหลังจากที่มาถึงเมืองไจซิงแล้ว เพราะหากว่าพบตัวตั้งแต่แรกแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงไม่ปล่อยให้ตนมาถึงเมืองไจซิงได้ คงจะลงมือจัดการตนระหว่างทางไปนานแล้ว

เช่นนั้นการสมคบคิดกันระหว่างฝั่งเฮยหมู่ตานและสำนักเซียนสถิตก็มีความเป็นไปได้อยู่สองกรณี หากนี่มิใช่หลุมพรางที่สำนักเซียนสถิตวางไว้ จงใจให้เฮยหมู่ตานเข้าใกล้และหลอกล่อตน เช่นนั้นก็หมายความว่าฝั่งนั้นเพิ่งจะมาหาพวกเฮยหมู่ตานทีหลัง

หลังมาถึงเมืองไจซิง เขาก็มุ่งหน้าตรงมายังโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์ แล้วก็เป็นครั้งแรกที่ได้พบพวกเฮยหมู่ตานที่เฝ้ามองอยู่นอกโรงเตี๊ยมตาเป็นมัน ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะเป็นการจัดฉากไว้ล่วงหน้าของสำนักเซียนสถิต เมื่อเป็นเช่นนี้ ความเป็นไปได้ที่สำนักเซียนสถิตจงใจให้พวกเฮยหมู่ตานมาเข้าใกล้ตนก็ตัดทิ้งไปได้เลย เช่นนั้นก็เหลือความเป็นไปได้แค่กรณีเดียว

หลังจากใคร่ครวญในสมองจนกระจ่างดีแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยเสียงเรียบว่า “จุดตะเกียง”

หยวนฟางที่อยู่ท่ามกลางความมืดมองออกว่าหนิวโหย่วเต้ามีเรื่องในใจ จึงไม่ได้รบกวน พอได้ยินก็ร้องโอ้คำหนึ่ง จุดตะเกียงในห้องให้สว่างขึ้นมาอีกครั้ง

หนิวโหย่วเต้ายื่นมือไปปิดหน้าต่าง หันกลับมากล่าวว่า “หยิบแผนที่ออกมาดูหน่อย”

หยวนฟางหยิบแผนที่ออกมาจากห่อสัมภาระทันที กางไว้บนโต๊ะ ถือตะเกียงคอยให้ความสว่างอยู่ด้านข้าง

หนิวโหย่วเต้าเดินมาที่ริมโต๊ะ หาพิกัดของเมืองไจซิงภายในแคว้นจ้าว สายตาไล่มองขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตามเส้นทางที่ตรงไปยังแคว้นหานที่ได้ทำการกำหนดเอาไว้แล้ว หลังจากหยุดนิ่งอยู่สักพัก สายตาก็เคลื่อนไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองไจซิง หยุดอยู่ที่จังหวัดชิงซานในเขตแคว้นเยี่ยน

จากนั้นเขายื่นนิ้วออกไปจิ้มลงบนแผนที่ ลากนิ้วไปตามเส้นทางเส้นนี้ ลากกลับไปกลับมาอยู่รอบหนึ่ง ก่อนจะหยุดลงในตำแหน่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ เส้นทางที่จำเป็นต้องผ่านเส้นนี้ ตำแหน่งนี้มีชื่อว่าอำเภอซานหู เขาเคาะนิ้วลงบนอำเภอซานหูเบาๆ คล้ายจะตัดสินใจได้แล้ว

“เจ้าหมี ไปเรียกพวกเขามา” หนิวโหย่วเต้าจ้องแผนที่แล้วเอ่ยขึ้น

หยวนฟางวางตะเกียงน้ำมันลง ขณะที่เพิ่งหันหลังไป หนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยเสริมขึ้นมาอีกประโยคว่า “อย่าได้เอ่ยเรื่องไม่จำเป็น เรียกพวกเขามาก็พอ”

“ขอรับ!” หยวนฟางรีบเดินออกไป โอดครวญอยู่ในใจ ไม่ทราบว่าเต้าเหยี่ยคิดจะทำอะไรกันแน่

หยวนฟางที่ออกมาด้านนอกเดินตรงไปเคาะประตูห้องเฮยหมู่ตาน ไม่ได้เข้าไป เพียงคุยกับเฮยหมู่ตานตรงหน้าประตู “ไปเรียกคนของเจ้ามา เต้าเหยี่ยต้องการให้พวกเจ้าไปพบ”

เฮยหมู่ตานถามด้วยความแปลกใจ “มีเรื่องอะไรหรือ?”

หยวนฟางกล่าวว่า “ไม่รู้” หันหลังเดินกลับไป

เฮยหมู่ตานได้แต่ต้องจัดการตามคำสั่ง ไม่นานก็เรียกต้วนหู่ อู๋ซานเหลี่ยงและเหลยจงคังออกมา

พอทราบว่าหนิวโหย่วเต้าต้องการพบพวกเขา เหลยจงคังก็อดถามไม่ได้ “ลูกพี่ เรียกหาพวกเราดึกดื่นเช่นนี้ มีเรื่องใดหรือ?”

“ไม่รู้” เฮยหมู่ตานส่ายหน้า

เมื่อทั้งสี่คนมาถึงห้องของหนิวโหย่วเต้าก็เคาะประตูเรียก หยวนฟางเปิดประตูให้พวกเขาเข้าไป

ทันทีที่เข้ามาในห้อง ทั้งสี่ก็มองเห็นหนิวโหย่วเต้ายืนอยู่ริมโต๊ะตรงหน้าแผนที่ จึงล้อมวงเข้าไป เฮยหมู่ตานสังเกตสีหน้าของหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “เต้าเหยี่ย มีเรื่องใดจะสั่งการหรือเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้ากวาดตามองทั้งสี่คนเล็กน้อย ถอนใจพลางเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ครั้งนี้หลังจากพวกเจ้ามาติดตามข้า มันก็ดูคล้ายจะเอิกเกริกวุ่นวายไปเสียหน่อย เวลาเข้าออกโรงเตี๊ยมมักจะมีคนกลุ่มหนึ่งจับตามองอยู่ดูอยู่ ข้ากังวลว่ายามออกจากที่นี่จะถูกคนที่มีเจตนาไม่ดีพุ่งเป้าเล่นงานเอาได้”

เหลยจงคังฟังแล้วใจเต้นแรงเล็กน้อย คนอื่นๆ สบตากันแวบหนึ่ง พยักหน้าเล็กน้อย ข้อนี้เป็นความจริง มีความเป็นไปได้

เฮยหมู่ตานลองสอบถาม “เต้าเหยี่ย เช่นนั้นความหมายของท่านคือ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เพื่อความปลอดภัย ข้าเตรียมจะปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางเล็กน้อย พวกเราจะแยกกันไป! เพื่อหลบเลี่ยงมิให้ถูกคนจับตามอง ทุกคนห้ามไปที่ลานม้าที่อยู่รอบๆ ให้ใช้วิธีเดินเท้าแทน เลือกทิศทางได้ตามใจ ออกเดินทางอย่างลับๆ”

เฮยหมู่ตานพยักหน้าเห็นด้วย อันที่จริงนี่ก็เป็นวิธีที่ผู้บำเพ็ญเพียรมากมายใช้เดินทางออกจากเมืองไจซิง มีเทือกเขาขนาดใหญ่โอบล้อมอยู่รอบข้าง เมื่อเข้าไปในเทือกเขาก็อาศัยความซับซ้อนของภูมิประเทศช่วยปกปิดอำพรางจากไปอย่างเงียบๆ แล้วยิ่งถ้ามีการปลอมตัวด้วยแล้วล่ะก็ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับหยดน้ำในมหาสมุทรเลย คนนอกยากจะพบร่องรอยได้ เว้นแต่จะระดมกำลังคนจำนวนมากเข้าปิดล้อม มิเช่นนั้นแล้วคนนอกก็ยากจะทราบได้ว่าหลบหนีไปทางไหนกันแน่

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เดินทางพร้อมกันสะดุดตาเกินไป วันพรุ่งนี้ให้พวกเจ้าอาศัยเส้นทางน้ำเดินทางล่วงหน้าไปอย่างลับๆ ก่อน ข้ากับหยวนฟางจะอยู่ต่ออีกสองสามวัน รอดูสถานการณ์แล้วค่อยหาจังหวะจากไปอย่างลับๆ”

สิ่งที่เรียกว่าเส้นทางน้ำนั้นคือสายน้ำที่หลอมละลายมาจากหิมะบนภูเขา กลายเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านเทือกเขา มีผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนไม่น้อยที่เลือกออกจากเมืองไจซิงโดยการดำลงไปในแม่น้ำก่อน เมื่อดำไปถึงจุดจุดหนึ่งก็ค่อยขึ้นมาจากน้ำแล้วหายตัวไปในเทือกเขา คนนอกยากจะตามตัวได้

ทั้งสี่คนมองหน้ากัน เฮยหมู่ตานขมวดคิ้วกล่าวว่า “เต้าเหยี่ย ถ้าทำแบบนี้ แล้วพวกเราจะกลับมารวมตัวกันอย่างไรเจ้าคะ?”

นิ้วมือของหนิวโหย่วเต้าชี้ลงบนแผนที่ เคาะเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “อำเภอซานหู พวกเราจะไปพบกันที่โรงเตี๊ยมที่ใหญ่สุดในตัวอำเภอซานหู”

ทั้งสี่คนชะโงกหน้ามองดูตำแหน่งบนแผนที่ จดจำเอาไว้ เฮยหมู่ตานพยักหน้าตอบรับ “เจ้าค่ะ!”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “อย่างนั้นก็เอาตามนี้ พรุ่งนี้พวกเจ้ายังต้องเร่งออกเดินทางอีก รีบพักผ่อนเถอะ”

ทั้งสี่คนขอตัวลาไป

กระทั่งทั้งสี่คนออกไปแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็ให้หยวนฟางเก็บแผนที่ ส่วนตนหยิบกระบี่เล่มนั้นขึ้นมาไว้ในมือ ชักกระบี่ออกมาจากฝัก พินิจดูคมกระบี่ซ้ำไปซ้ำมา หยิบผ้าไหมสีขาวผืนหนึ่งขึ้นมา นั่งเช็ดถูไปมาอย่างช้าๆ อยู่ตรงหน้าตะเกียง ปากเอ่ยพึมพำว่า “โลกหนอ…”

เมื่อออกจากห้องนี้ไป ทั้งสี่ก็ไปรวมตัวกันที่ห้องเฮยหมู่ตานอีกครั้งหนึ่ง ปรึกษาหารือกันเรื่องออกเดินทาง จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตัวเอง

หนึ่งถ้วยชา[1]ผ่านไป เหลยจงคังที่กลับมาถึงห้องของตนนั่งนิ่งๆ อยู่สักพัก จากนั้นจึงค่อยๆ เปิดประตูออกมาจากห้องอีกครั้ง กวาดตามองไปรอบๆ รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

เขาลงมาด้านล่าง ตัดผ่านสวนขึ้นไปยังชั้นบนของเรือนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เปิดประตูเข้าไปในห้องชุยหย่วนโดยไม่เคาะประตู

ชุยหย่วนเองก็เพิ่งจะกลับมาได้ไม่นานเช่นกัน ยังคิดอยู่เลยว่ารอให้ดึกกว่านี้อีกนิดจะไปหาเหลยจงคัง ไม่นึกเลยว่าเหลยจงคังจะเป็นฝ่ายมาหาตนถึงที่ จึงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง พอเห็นหน้าก็ถามทันที “อย่าบอกนะว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลง?”

เหลยจงคังพยักหน้ารับ “ชุยเหยี่ยปราดเปรื่องนัก สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงจริงอย่างที่ท่านว่า หนิวโหย่วเต้าปรับเปลี่ยนแผนการเดินทาง เตรียมจะให้แยกกันไป…” เขาเปิดเผยแผนการที่หนิวโหย่วเต้าเพิ่งจะวางเอาไว้ก่อนหน้านี้จนหมด

ชุยหย่วนพึมพำออกมา “เจ้านี่มันระมัดระวังตัวจริงๆ”

เหลยจงคังเอ่ยว่า “ชุยเหยี่ย พรุ่งนี้พวกข้าต้องล่วงหน้าไปก่อน จะไม่ได้อยู่ข้างกายเขาแล้ว หากเกิดสถานการณ์อันใดขึ้นเกรงว่าคงรายงานได้ไม่ทันการ แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาจะเลือกใช้เส้นทางไหน”

“เรื่องออกเดินทางไปอย่างลับๆ มิได้อยู่เหนือความคาดหมายเลย ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร! ดังนั้นข้าจึงนำสิ่งนี้มาด้วย” ชุยหย่วนยิ้มหยัน หยิบถุงหอมใบหนึ่งยื่นส่งให้เขา “เจ้าเอาสิ่งนี้พกติดตัวไปด้วย”

เหลยจงคังรับไปแล้วเปิดดู มองเห็นว่าด้านในบรรจุเม็ดสีเหลืองนวลขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองไว้เต็มถุง ด้านนอกหุ้มขี้ผึ้งบางๆ ไว้ชั้นหนึ่ง เขาเอ่ยถามด้วยความฉงนว่า “นี่คืออะไรหรือขอรับ?”

ชุยหย่วนเอ่ยว่า “หลังบีบขี้ผึ้งแตกแล้ว มันจะส่งกลิ่นหอมประหลาดบางอย่างออกมา ทำให้พวกข้าติดตามร่องรอยของเจ้าได้ ให้เจ้าหาโอกาสโปรยไว้ตามเส้นทาง ทางข้าย่อมมีวิธีสืบเสาะติดตาม”

เหลยจงคังกล่าวด้วยความแปลกใจ “ข้าแยกทางกับเจ้านั่น จุดรวมตัวกำหนดไว้ที่อำเภอซานหู เหตุใดชุยหย่วน ยังต้องติดตามร่องรอยของข้าด้วยล่ะขอรับ?”

ชุยหย่วนเอ่ยว่า “หากเขาปรับเปลี่ยนแผนการขึ้นมาอีก ไม่ไปเจอกันที่อำเภอซานหูแล้วจะทำอย่างไรเล่า? ระหว่างทางเจ้ายังจะปลีกตัวออกมาได้อีกหรือ? ระหว่างเดินทางคิดว่าเจ้าคงจะไม่สะดวกติดต่อกับเราอีก เดรัจฉานตัวนี้หลบหนีการไล่ล่ามาได้หลายต่อหลายครั้ง แค่นี้ก็รู้แล้วว่ามันเจ้าเล่ห์กลับกลอกแค่ไหน เราต้องป้องกันเอาไว้ก่อน เจ้าพกสิ่งนี้ไปด้วยเผื่อต้องใช้!”

เหลยจงคังเข้าใจแล้ว จึงพยักหน้ารับ

ชุยหย่วนยิ้มออกมา ตบไหล่เขาพลางกล่าวว่า “อาจารย์อาของข้ารายงานทางสำนักไปแล้ว จะพยายามช่วยเรื่องให้การแนะนำและรับรองพวกเจ้าอย่างเต็มกำลัง”

เหลยจงคังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอ้างเรื่องนี้มาหลอกล่อเขาอยู่หรือไม่ สำนักเซียนสถิตไหนเลยจะมาใส่ใจเรื่องของผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักอย่างพวกเขาได้ พวกเขาเองก็ไม่กล้าพูดอะไร ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้ อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้คาดหวังอะไรไว้เลย เขาเพียงหวังจะช่วยเหลือพวกพ้องให้รอดพ้นจากปัญหายุ่งยากเท่านั้น หากสำนักเซียนสถิตมีใจเมตตาจริงๆ เช่นนั้นก็นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่อยู่เหนือความคาดหมาย

ในมุมมองของเขา เรื่องราวมันเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้ว นับตั้งแต่ที่สำนักเซียนสถิตมาหาเขา เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก ผลลัพธ์ของการไม่ตอบตกลงจะเป็นอย่างไร เพียงแค่คิดดูก็พอจะรู้ได้ สำนักเซียนสถิตไหนเลยจะปล่อยพวกเขาไป? จะปล่อยพวกเขาไปได้อย่างไร?

แต่เขายังคงแสร้งทำเป็นยินดีปรีดา ประสานมือกล่าวว่า “ชุยเหยี่ยวางใจเถิดขอรับ แซ่เหลยจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่!”

“ดี! เจ้ารีบกลับไปเถอะ จะได้ไม่เกิดเรื่องไม่คาดคิดอะไรขึ้นอีก” ชุยหย่วนเอ่ยด้วยสีหน้าอ่อนโยน

หลังทั้งสองแยกจากไป เหลยจงคังกลับไปที่ห้องของตนอย่างเงียบเชียบ ส่วนชุยหย่วนก็ออกจากโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์อีกครั้ง

…….

ณ ชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยม เจ้าหมาปรากฏตัวขึ้น เคาะประตูห้องของเถ้าแก่อีกครั้ง

ไป๋อวี้โหลวไม่ได้นอนพักผ่อน แต่กลับเอาลูกคิดขึ้นมาวาง พลิกตรวจสมุดบัญชี ดีดลูกคิดเสียงดังแป๊กๆๆ อยู่ภายใต้แสงตะเกียง

มีเรื่องราวอยู่ในใจ สงบใจไม่ค่อยลง ดังนั้นจึงไม่ได้เข้านอน ผู้ใดใช้ให้ไปรับเงินของอีกฝ่ายมากันเล่า เรื่องราวที่อีกฝ่ายฝากฝังไว้ เขาย่อมต้องใส่ใจบ้างไม่มากก็น้อย

เจ้าหมาเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ด้านข้าง รายงานว่า “เถ้าแก่ขอรับ เหลยจงคังแอบไปพบชุยหย่วนที่ห้องอีกแล้วขอรับ หลังแยกกัน ชุยหย่วนกลับไปที่ร้านค้าของสำนักเซียนสถิตอีกครั้งขอรับ”

ไป๋อวี้โหลวตอบอืมคำหนึ่ง “เข้าใจแล้ว”

กระทั่งเจ้าหมาออกไปแล้ว เสียงดีดลูกคิดดังแป๊กๆๆ ถึงได้หยุดลง ไป๋อวี้โหลวพิงพนักเก้าอี้ เอ่ยพึมพำออกมาว่า “เขาเดาถูกจริงๆ ด้วย คาดการณ์ได้แม่นยำนัก ใช้วิธีใดกัน…”

เขายืดเอวบิดขี้เกียจ ลุกออกจากห้องไป สองมือไพล่หลังค่อยๆ เดินไปที่แผนกต้อนรับของโรงเตี๊ยม

พอเห็นเขามา เสี่ยวเอ้อที่นั่งเฝ้าโต๊ะแทนก็ลุกขึ้นยืน แย้มยิ้มพลางเอ่ยว่า “เถ้าแก่ ดึกขนาดนี้แล้ว ยังไม่นอนหรือขอรับ”

ไป๋อวี้โหลวเอ่ยเสียงเรียบ “เพิ่งคิดบัญชีเสร็จ เลยออกมาเดินเล่นหน่อย ทางนี้ไม่มีเรื่องอะไรใช่ไหม?”

เสี่ยวเอ้อตอบว่า “เรียบร้อยดีขอรับ ไม่มีปัญหาอะไร”

ไป๋อวี้โหลวเคาะโต๊ะเก็บเงินเล็กน้อย เอ่ยว่า “เมื่อครู่บังเอิญพบแขกห้องหมายเลขสอง เขาต้องการให้นำสุราไปส่งหนึ่งไห”

“ขอรับ จะเอาไปส่งให้เดี๋ยวนี้ขอรับ” เสี่ยวเอ้อพยักหน้าตอบรับ

……………………………………………

[1] เป็นหน่วยเวลาในยุคจีนโบราณ หนึ่งถ้วยชา = 15 นาทีโดยประมาณ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า