ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 134

ตอนที่ 134 สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลง

หยวนฟางเฝ้าอยู่ตรงประตู หลังจากหนิวโหย่วเต้าถูกเชิญตัวไป เขาก็รออยู่ตรงประตูตลอด

เมื่อหนิวโหย่วเต้ากลับมา หยวนฟางตามเข้าห้องไป ทันทีที่ปิดประตู เขาก็ขยับเข้าไปใกล้หนิวโหย่วเต้า เอ่ยถามว่า “เต้าเหยี่ย ไม่เป็นไรใช่ไหมขอรับ?”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า เพียงแต่สายตาที่มองดูหยวนฟางคล้ายไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี ภายในใจลอบทอดถอนใจเล็กน้อย เจ้าลิงมีความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เชี่ยวชาญในการสอดแนม หากว่าเป็นเจ้าลิงที่อยู่ข้างกาย ขอเพียงคนรอบตัวมีความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อยก็ยากจะรอดพ้นสายตาของเจ้าลิงไปได้ นี่คือความห่างชั้นระหว่างหยวนฟางกับเจ้าลิง

แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรหยวนฟาง หยวนฟางยังขาดประสบการณ์ในด้านนี้ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรด้วย เอาไว้เกิดเรื่องขึ้นแล้วค่อยเตือนหยวนฟาง ครั้งหน้าเมื่อต้องเผชิญสถานการณ์ทำนองนี้อีก หยวนฟางคงไม่อยู่เฉย ย่อมต้องคิดหาทางสอดส่องแน่นอน อย่างน้อยก็ต้องรักษาความระแวดระวังที่ควรมีเอาไว้

เรื่องราวบางอย่างหากพูดไปตามตรงคงไม่มีผลอะไรมากนัก ต้องปล่อยให้ตระหนักรู้ด้วยตัวเอง นี่คือสิ่งที่เรียกว่าประสบการณ์

หนิวโหย่วเต้าโบกมือดับตะเกียงภายในห้อง ค่อยๆ เดินไปหยุดอยู่ที่ริมหน้าต่าง เปิดหน้าต่างออก ยกมือไพล่หลังมองแสงโคมสลัวที่กระจัดกระจายอยู่ภายในเมืองโบราณ สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์

คิดไม่ถึงว่าจะมีคนใกล้ตัวสมคบคิดกับสำนักเซียนสถิต ไม่จำเป็นต้องเดาให้มากความแล้วว่าวางแผนอะไรอยู่

จะบอกว่าเป็นการหักหลัง ก็เกรงว่าจะพูดได้ไม่เต็มปาก เพิ่งรู้จักกันได้ไม่เท่าไร ยังไม่ได้เดินร่วมทางกัน จะบอกว่าอีกฝ่ายเขาหักหลังเจ้าไม่ได้ อาจจะเรียกได้ว่าต่างคนต่างทำเพื่อนายตนมากกว่า!

เพียงแต่เขากำลังนึกถึงปัญหาข้อหนึ่งอยู่ เฮยหมู่ตาน ตนมองคนพลาดไปอย่างนั้นหรือ?

เมื่อวิเคราะห์ตัดความเป็นไปได้ดูเล็กน้อย เขาก็แทบจะมั่นใจได้ว่าสำนักเซียนสถิตน่าจะพบตนหลังจากที่มาถึงเมืองไจซิงแล้ว เพราะหากว่าพบตัวตั้งแต่แรกแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงไม่ปล่อยให้ตนมาถึงเมืองไจซิงได้ คงจะลงมือจัดการตนระหว่างทางไปนานแล้ว

เช่นนั้นการสมคบคิดกันระหว่างฝั่งเฮยหมู่ตานและสำนักเซียนสถิตก็มีความเป็นไปได้อยู่สองกรณี หากนี่มิใช่หลุมพรางที่สำนักเซียนสถิตวางไว้ จงใจให้เฮยหมู่ตานเข้าใกล้และหลอกล่อตน เช่นนั้นก็หมายความว่าฝั่งนั้นเพิ่งจะมาหาพวกเฮยหมู่ตานทีหลัง

หลังมาถึงเมืองไจซิง เขาก็มุ่งหน้าตรงมายังโรงเตี๊ยมเชิญจันทร์ แล้วก็เป็นครั้งแรกที่ได้พบพวกเฮยหมู่ตานที่เฝ้ามองอยู่นอกโรงเตี๊ยมตาเป็นมัน ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะเป็นการจัดฉากไว้ล่วงหน้าของสำนักเซียนสถิต เมื่อเป็นเช่นนี้ ความเป็นไปได้ที่สำนักเซียนสถิตจงใจให้พวกเฮยหมู่ตานมาเข้าใกล้ตนก็ตัดทิ้งไปได้เลย เช่นนั้นก็เหลือความเป็นไปได้แค่กรณีเดียว

หลังจากใคร่ครวญในสมองจนกระจ่างดีแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยเสียงเรียบว่า “จุดตะเกียง”

หยวนฟางที่อยู่ท่ามกลางความมืดมองออกว่าหนิวโหย่วเต้ามีเรื่องในใจ จึงไม่ได้รบกวน พอได้ยินก็ร้องโอ้คำหนึ่ง จุดตะเกียงในห้องให้สว่างขึ้นมาอีกครั้ง

หนิวโหย่วเต้ายื่นมือไปปิดหน้าต่าง หันกลับมากล่าวว่า “หยิบแผนที่ออกมาดูหน่อย”

หยวนฟางหยิบแผนที่ออกมาจากห่อสัมภาระทันที กางไว้บนโต๊ะ ถือตะเกียงคอยให้ความสว่างอยู่ด้านข้าง

หนิวโหย่วเต้าเดินมาที่ริมโต๊ะ หาพิกัดของเมืองไจซิงภายในแคว้นจ้าว สายตาไล่มองขึ้นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือตามเส้นทางที่ตรงไปยังแคว้นหานที่ได้ทำการกำหนดเอาไว้แล้ว หลังจากหยุดนิ่งอยู่สักพัก สายตาก็เคลื่อนไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองไจซิง หยุดอยู่ที่จังหวัดชิงซานในเขตแคว้นเยี่ยน

จากนั้นเขายื่นนิ้วออกไปจิ้มลงบนแผนที่ ลากนิ้วไปตามเส้นทางเส้นนี้ ลากกลับไปกลับมาอยู่รอบหนึ่ง ก่อนจะหยุดลงในตำแหน่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ เส้นทางที่จำเป็นต้องผ่านเส้นนี้ ตำแหน่งนี้มีชื่อว่าอำเภอซานหู เขาเคาะนิ้วลงบนอำเภอซานหูเบาๆ คล้ายจะตัดสินใจได้แล้ว

“เจ้าหมี ไปเรียกพวกเขามา” หนิวโหย่วเต้าจ้องแผนที่แล้วเอ่ยขึ้น

หยวนฟางวางตะเกียงน้ำมันลง ขณะที่เพิ่งหันหลังไป หนิวโหย่วเต้าก็เอ่ยเสริมขึ้นมาอีกประโยคว่า “อย่าได้เอ่ยเรื่องไม่จำเป็น เรียกพวกเขามาก็พอ”

“ขอรับ!” หยวนฟางรีบเดินออกไป โอดครวญอยู่ในใจ ไม่ทราบว่าเต้าเหยี่ยคิดจะทำอะไรกันแน่

หยวนฟางที่ออกมาด้านนอกเดินตรงไปเคาะประตูห้องเฮยหมู่ตาน ไม่ได้เข้าไป เพียงคุยกับเฮยหมู่ตานตรงหน้าประตู “ไปเรียกคนของเจ้ามา เต้าเหยี่ยต้องการให้พวกเจ้าไปพบ”

เฮยหมู่ตานถามด้วยความแปลกใจ “มีเรื่องอะไรหรือ?”

หยวนฟางกล่าวว่า “ไม่รู้” หันหลังเดินกลับไป

เฮยหมู่ตานได้แต่ต้องจัดการตามคำสั่ง ไม่นานก็เรียกต้วนหู่ อู๋ซานเหลี่ยงและเหลยจงคังออกมา

พอทราบว่าหนิวโหย่วเต้าต้องการพบพวกเขา เหลยจงคังก็อดถามไม่ได้ “ลูกพี่ เรียกหาพวกเราดึกดื่นเช่นนี้ มีเรื่องใดหรือ?”

“ไม่รู้” เฮยหมู่ตานส่ายหน้า

เมื่อทั้งสี่คนมาถึงห้องของหนิวโหย่วเต้าก็เคาะประตูเรียก หยวนฟางเปิดประตูให้พวกเขาเข้าไป

ทันทีที่เข้ามาในห้อง ทั้งสี่ก็มองเห็นหนิวโหย่วเต้ายืนอยู่ริมโต๊ะตรงหน้าแผนที่ จึงล้อมวงเข้าไป เฮยหมู่ตานสังเกตสีหน้าของหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อย เอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “เต้าเหยี่ย มีเรื่องใดจะสั่งการหรือเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้ากวาดตามองทั้งสี่คนเล็กน้อย ถอนใจพลางเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ครั้งนี้หลังจากพวกเจ้ามาติดตามข้า มันก็ดูคล้ายจะเอิกเกริกวุ่นวายไปเสียหน่อย เวลาเข้าออกโรงเตี๊ยมมักจะมีคนกลุ่มหนึ่งจับตามองอยู่ดูอยู่ ข้ากังวลว่ายามออกจากที่นี่จะถูกคนที่มีเจตนาไม่ดีพุ่งเป้าเล่นงานเอาได้”

เหลยจงคังฟังแล้วใจเต้นแรงเล็กน้อย คนอื่นๆ สบตากันแวบหนึ่ง พยักหน้าเล็กน้อย ข้อนี้เป็นความจริง มีความเป็นไปได้

เฮยหมู่ตานลองสอบถาม “เต้าเหยี่ย เช่นนั้นความหมายของท่านคือ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เพื่อความปลอดภัย ข้าเตรียมจะปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางเล็กน้อย พวกเราจะแยกกันไป! เพื่อหลบเลี่ยงมิให้ถูกคนจับตามอง ทุกคนห้ามไปที่ลานม้าที่อยู่รอบๆ ให้ใช้วิธีเดินเท้าแทน เลือกทิศทางได้ตามใจ ออกเดินทางอย่างลับๆ”

เฮยหมู่ตานพยักหน้าเห็นด้วย อันที่จริงนี่ก็เป็นวิธีที่ผู้บำเพ็ญเพียรมากมายใช้เดินทางออกจากเมืองไจซิง มีเทือกเขาขนาดใหญ่โอบล้อมอยู่รอบข้าง เมื่อเข้าไปในเทือกเขาก็อาศัยความซับซ้อนของภูมิประเทศช่วยปกปิดอำพรางจากไปอย่างเงียบๆ แล้วยิ่งถ้ามีการปลอมตัวด้วยแล้วล่ะก็ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับหยดน้ำในมหาสมุทรเลย คนนอกยากจะพบร่องรอยได้ เว้นแต่จะระดมกำลังคนจำนวนมากเข้าปิดล้อม มิเช่นนั้นแล้วคนนอกก็ยากจะทราบได้ว่าหลบหนีไปทางไหนกันแน่

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เดินทางพร้อมกันสะดุดตาเกินไป วันพรุ่งนี้ให้พวกเจ้าอาศัยเส้นทางน้ำเดินทางล่วงหน้าไปอย่างลับๆ ก่อน ข้ากับหยวนฟางจะอยู่ต่ออีกสองสามวัน รอดูสถานการณ์แล้วค่อยหาจังหวะจากไปอย่างลับๆ”

สิ่งที่เรียกว่าเส้นทางน้ำนั้นคือสายน้ำที่หลอมละลายมาจากหิมะบนภูเขา กลายเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านเทือกเขา มีผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนไม่น้อยที่เลือกออกจากเมืองไจซิงโดยการดำลงไปในแม่น้ำก่อน เมื่อดำไปถึงจุดจุดหนึ่งก็ค่อยขึ้นมาจากน้ำแล้วหายตัวไปในเทือกเขา คนนอกยากจะตามตัวได้

ทั้งสี่คนมองหน้ากัน เฮยหมู่ตานขมวดคิ้วกล่าวว่า “เต้าเหยี่ย ถ้าทำแบบนี้ แล้วพวกเราจะกลับมารวมตัวกันอย่างไรเจ้าคะ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า