ตอนที่ 153 มีที่พึ่งจึงไม่กริ่งเกรง
ระหว่างที่แต่ละคนเตรียมตัวกัน หนิวโหย่วเต้ากวักมือเรียกเฮยหมู่ตาน จากนั้นชี้ไปที่เรือนผมของตน เอ่ยว่า “ข้าก็ต้องเปลี่ยนรูปลักษณ์เพื่อเลี่ยงหูตาคนเช่นกัน ช่วยเกล้าผมให้ข้าที” จากนั้นเดินไปนั่งลงบนก้อนหินที่อยู่ด้านข้างก้อนหนึ่ง
เฮยหมู่ตานพยายามกลั้นหัวเราะ ควานหาหวีของตน ก่อนจะเดินไปที่ด้านหลังของเขา ขณะกำลังช่วยหวีผมให้เขาอยู่ นางก็เอ่ยหยอกล้อขึ้นมาว่า “เต้าเหยี่ย พวกเราทำตัวสนิทสนมใกล้ชิดกันเช่นนี้ ท่านไม่กลัวคนอื่นจะเข้าใจผิดบ้างหรือเจ้าคะ?”
“เข้าใจผิด?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเยาะ “เจ้าเที่ยวไปพูดว่าข้าถ้ำมองเจ้าอาบน้ำ ยังมีเรื่องอะไรให้เข้าใจผิดไปมากกว่านี้อีกหรือ?”
เฮยหมู่ตานหัวเราะ “คิกๆ” ออกมา หัวเราะปานช่อผกาสั่นไหว น้ำเสียงสดใสดั่งกระดิ่งเงิน ทำให้คนอื่นๆ หันมามองด้วยสายตาแปลกพิกล จะไม่ให้นึกสงสัยว่าระหว่างพวกเขามีเรื่องไม่ชอบมาพากลก็คงเป็นไปได้ยาก
หนิวโหย่วเต้าหลับตาลง นึกถึงสตรีอัปลักษณ์ที่มักจะเกล้าผมให้ตนเป็นประจำผู้นั้นขึ้นมา นั่นเป็นความละเอียดใส่ใจโดยแท้จริง เส้นผมแต่ละเส้นล้วนสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและความใส่ใจ สัมผัสมือดีกว่าสตรีนางนี้มากนัก
….
ณ จังหวัดชิงซาน
ในทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ กระโจมทหารตั้งเรียงราย รั้วหนามสกัดม้าวางชิดติดกัน ธงศึกโบกสะบัด ตัวอักษร ‘ซาง’ ที่อยู่บนธงพลิ้วไหวลู่ลม
ตรงช่องแคบระหว่างภูเขาที่ถูกปิดกั้นมีการตั้งแนวป้องกันเอาไว้อย่างแน่นหนา กองทหารรักษาการณ์ที่อยู่บนกำแพงด่านจับตามองทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ใบหน้าของทหารลาดตระเวนเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
ทัพใหญ่จากมณฑลจินโจวของแคว้นจ้าวเคลื่อนพลมาประชิดชายแดน มณฑลหนานโจวแห่งแคว้นเยี่ยนระดมกำลังทหารเข้าป้องกัน ซางเฉาจงฉวยโอกาสเคลื่อนพล บุกโจมตีทั้งจังหวัดชิงซานในคราวเดียว ยามนี้กองทหารส่วนใหญ่ที่พ่ายศึกยังคงปักหลักรักษาด่านเอาไว้อย่างเหนียวแน่น หากด่านนี้ถูกตีแตก ข้าศึกก็จะกรีฑาทัพเข้าไปโดยสะดวก แล้วก็จะกลายเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อโจวโส่วเสียนที่เป็นผู้ว่าการมณฑลหนานโจว
การกระทำของซางเฉาจงกระตุ้นให้เจ้าศักดินาที่คิดแข็งข้อกับราชสำนักในเขตต่างๆ เกิดความคิดที่จะเอาเยี่ยงอย่าง ทั่วทั้งแคว้นเยี่ยนอาจตกอยู่ในเพลิงสงครามได้ทุกเมื่อ ปัญหารุมเร้าทั้งนอกใน ราชสำนักจึงรีบส่งคนมาเจรจาอย่างเร่งด่วน
หลังเจรจากันอยู่หลายครั้ง ซางเฉาจงถึงหยุดโจมตีชั่วคราว ในความเป็นจริงเขาต้องอาศัยไพร่พลที่หยิบยืมมาจากจังหวัดกว่างอี้ มาตรว่าสู้กันต่อไปก็ไม่สามารถยึดครองได้
ไกลออกไป ทหารม้ากองหนึ่งวิ่งห้อตะบึงเข้ามา ธงประดับอักษร ‘เฟิ่ง’ โบกสะบัด เฟิ่งรั่วหนานในชุดเกราะถือทวนเงินควบอาชาขาว วิ่งนำอยู่เบื้องหน้า ด้านหลังมีผู้บำเพ็ญเพียรสะพายกระบี่สิบกว่าคนติดตามมา ปิดท้ายด้วยทหารม้านับพัน
เสียงแตรเขาสัตว์ดังขึ้นมาจากบนหอสังเกตการณ์ ประตูค่ายเปิดออก รั้วหนามสกัดม้าถูกย้ายไปไว้สองข้างทาง คนกลุ่มหนึ่งก้าวอาดๆ ออกมาจากกระโจมบัญชาการอย่างรวดเร็ว ผู้ที่เดินนำอยู่ข้างหน้าคือซางเฉาจง ซางซูชิงที่สวมชุดเกราะเดินตามติดอยู่เบื้องหลังพี่ชาย บนใบหน้าไม่ได้สวมหมวกม่านแพร ยามนี้ไม่มีผู้ใดสนใจในเรื่องนี้
เฟิ่งรั่วหนานควบม้าพุ่งเข้ามาในค่ายทหาร จากนั้นรีบรั้งบังเหียน กองทหารม้าที่ติดตามอยู่ด้านหลังแยกตัวไปซ้ายขวา
นางกระโดดลงจากหลังม้า โยนทวนในมือให้ลูกน้อง สาวเท้าอาดๆ เข้าไปหาซางเฉาจงที่ออกมารอรับ เมื่อมาถึงตรงหน้าก็ดึงเอาป้ายคำสั่งที่เหน็บอยู่ตรงเอวออกมา คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ประคองป้ายคำสั่งพร้อมเอ่ยว่า “ภารกิจสำเร็จลุล่วง ทหารที่คิดต่อต้านในอำเภอซื่ออันถูกกวาดล้างหมดแล้ว จึงมารายงานผลต่อท่านผู้บัญชาการ!”
ซางเฉาจงรับป้ายคำสั่งไป ยื่นส่งต่อให้หลานรั่วถิงที่ยืนอยู่ข้างๆ จากนั้นยื่นสองมือไปประคองเฟิ่งรั่วหนานขึ้นมา มองดูสตรีที่ใบหน้าร่างกายมอมแมมเต็มไปด้วยฝุ่นธุลีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ เอ่ยด้วยความทอดถอนใจว่า “ลำบากฮูหยินแล้ว!”
ขั้นตอนตามธรรมเนียมเสร็จสิ้นลงแล้ว การทำตัวเยี่ยงสามีภรรยาเช่นนี้ต่อหน้าไพร่พลมากมายทำให้เฟิงรั่วหนานรู้สึกอึดอัด ค่อนข้างกระอักกระอ่วน จึงสะบัดตัวเล็กน้อย หมายจะสลัดตัวให้พ้นจากการประคองของซางเฉาจง เอ่ยว่า “หากท่านผู้บัญชาการไม่มีคำสั่งอื่นใดแล้ว ผู้น้อยขอตัวก่อน”
ซางเฉาจงยิ้มเจื่อน ลดสองมือลงอย่างประดักประเดิดเล็กน้อย
หลานรั่วถิงที่อยู่ด้านข้างรีบเอ่ยว่า “ท่านหญิง พาพระชายาไปพักผ่อนก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ซางซูชิงก้าวออกมา คารวะแล้วเอ่ยว่า “ลำบากพี่สะใภ้แล้ว ไปอาบน้ำก่อนเถอะ”
ทันทีที่เห็นซางซูชิง เฟิ่งรั่วหนานก็เผยรอยยิ้มออกมาทันที เป็นฝ่ายยื่นมือไปจับจูงนาง เดินยิ้มแย้มพูดคุยออกไปกับซางซูชิง
อันที่จริงหน้าตาอัปลักษณ์ก็มีข้อดีของหน้าตาอัปลักษณ์ คนอัปลักษณ์มักจะมีโชค นี่ไม่ใช่คำพูดไร้เหตุผล อย่างน้อยก็ไม่ทำให้สตรีอื่นรู้สึกอิจฉาได้ง่าย
อย่างน้อยเฟิ่งรั่วหนานก็ดีต่อซางซูชิงมาโดยตลอด บางครายังเอาอกเอาใจซางซูชิงเป็นพิเศษด้วย แสดงออกอยู่เสมอว่าไม่ใส่ใจเรื่องความงามและความอัปลักษณ์ ด้วยเกรงว่าจะเผลอไปทำร้ายจิตใจนางเข้า
ยิ่งได้ใกล้ชิดกับซางซูชิงมากเท่าไร เฟิ่งรั่วหนานก็ยิ่งสงสารนางมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นบุคลิก ความสามารถ นิสัยใจคอและรูปร่าง ทุกอย่างล้วนเรียกได้ว่าเป็นคุณสมบัติของสตรีสูงศักดิ์ แต่กลับต้องมาพังพินาศลงเพราะใบหน้านี้ สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเสียเลย!
ทุกครั้งที่เห็นซางซูชิง นางมักจะรู้สึกว่าอันที่จริงสวรรค์ยังคงปราณีนางอยู่
ทางนี้เพิ่งพักผ่อนได้ไม่นานนัก ทางช่องเขาก็มีความเคลื่อนไหวขึ้นมา
ประตูด่านเปิดออก ส่งเสียงที่ฟังดูหนักอึ้ง รั้วหนามสกัดม้าด้านนอกถูกทหารย้ายออกไปอย่างรวดเร็ว ทหารม้าสิบกว่านายควบม้าทะยานออกไป วิ่งห้อไปตามเส้นทางบนภูเขาที่ขรุขระ มุ่งหน้าไปยังกองทัพที่ตั้งค่ายอยู่บนทุ่งกว้าง
ผู้นำขบวนสวมผ้าคลุมกันลมสีดำ ไหวสะบัดตามแรงลม จอนผมสองข้างมีสีขาวแซมประปราย ใบหน้าขาวผ่อง แววตาคร่ำเคร่ง เป็นก่าเหมี่ยวสุ่ย
เขามิได้เป็นเพียงขันทีคนสนิทข้างกายองค์ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนเท่านั้น หากแต่ยังเป็นผู้ดูแลราชรถภายในวัง ขณะเดียวกันก็เป็นตัวแทนที่เมืองหลวงแคว้นเยี่ยนส่งมาเจรจาในครั้งนี้ด้วย
ทั้งคณะควบม้ามาถึงประตูค่ายทหาร หลังได้รับอนุญาต ทั้งหมดถึงจะลงจากม้าแล้วเข้าไปด้านใน
ทันทีที่ผ่านเข้าประตูค่ายไป พวกเขาก็ถูกคนผนึกเส้นลมปราณ พร้อมทั้งสกัดจุดเอาไว้ จากนั้นถึงจะปล่อยให้เดินเข้าไปต่อ มีคนนำทางตรงไปยังกระโจมบัญชาการ
ภายในกระโจมบัญชาการ มีการปลดม่านลงมาคลุมแผนที่ทำศึกที่แขวนเอาไว้ ซางเฉาจงนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน
ไป๋เหยากอดกระบี่อารักขาอยู่ข้างกาย ด้านข้างยังมีศิษย์ของสำนักหยกสวรรค์คอยจับตามองแขกผู้มาเยือนอยู่อีกจำนวนหนึ่งด้วย
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร สถานะเชื้อพระวงศ์ของซางเฉาจงยังคงอยู่ ยังไม่ถูกถอดถอนออกไป หลังพวกก่าเหมี่ยวสุ่ยเข้ามาในกระโจม พวกเขายังคงประสานมือคารวะโดยพร้อมเพรียงกัน “คารวะจวิ้นอ๋องพ่ะย่ะค่ะ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า