ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 155

ตอนที่ 155 ระเบิด

“ภาพที่เขาสวมชุดเกราะเปื้อนฝุ่นมอมแมมมาช่วยเหลือข้า ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่มีวันลืมเด็ดขาด! ภาพที่เขาปรากฏตัวขึ้นภายในห้องพร้อมไอสังหารคุกรุ่น สำหรับข้าแล้วดูเหมือนเทพเซียนไม่มีผิด! ตอนนั้นเสด็จพี่ก็ได้รับความลำบาก ถูกเหยียดหยามดูแคลนอยู่ในเมืองหลวงเช่นเดียวกัน หลังจากรู้เรื่องนี้ เขาไม่เพียงแต่จะไม่รู้สึกยินดีที่ข้าพ้นภัยมาได้ แต่กลับสนับสนุนให้ข้าไปยั่วยวนซางเจี้ยนปั๋ว มิใช่เพราะอะไร เพียงเพราะต้องการอาศัยบารมีหนิงอ๋องมาปกป้องตัวเอง!”

เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้นางก็เอาสุรากรอกใส่ปากอีกครั้ง แววตาเหม่อลอยยิ่งกว่าเดิม “อาศัยแสงตะเกียงในสนามรบอ่านตำรา ควบอาชานำทัพ ซางเจี้ยนปั๋วเชี่ยวชาญทั้งบุ๋นบู๊ อายุสิบกว่าปีก็ติดตามแม่ทัพออกศึก ใช้ชีวิตอยู่ในชายแดนและสนามรบ ตอนข้าพบเขาครั้งแรกเมื่อยี่สิบปีก่อน ในเวลานั้นเขารุ่งโรจน์โดดเด่นขึ้นมาแล้ว มีบารมีอยู่ในกองทัพอย่างมาก อยู่ในช่วงรุ่งเรืองของชีวิต! ส่วนพี่ชายของเขาซางเจี้ยนสยง หรือก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของแคว้นเยี่ยน กลับเติบโตขึ้นมาในเมืองหลวงแคว้นเยี่ยน คุ้นเคยกับการเมืองการปกครอง สองพี่น้องเดินบนเส้นทางคนละสาย หนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊”

“สำหรับญาติผู้พี่คนโตอย่างซางเจี้ยนสยงคนนี้ ยามที่ข้าและเสด็จพี่เผชิญเรื่องยากลำบาก ก็เคยไปขอความช่วยเหลืออยู่บ่อยครั้งเช่นกัน”

“ทว่าซางเจี้ยนสยงกับซางเจี้ยนปั๋วแตกต่างกัน ซางเจี้ยนปั๋วขอเพียงมีผลงานด้านการทหาร เวลาพูดก็จะพูดได้อย่างมั่นใจ ทว่าซางเจี้ยนสยงกลับค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าขุนนาง และเป็นเพราะหมายตาในตำแหน่งรัชทายาท เขาจึงไม่อยากล่วงเกินขุนนางบางกลุ่ม ดังนั้นเมื่อพวกเราสองพี่น้องไปขอความช่วยเหลือจากญาติผู้พี่คนนี้ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เพียงแค่คิดดูก็น่าจะรู้แล้ว”

“เสด็จพี่มองเห็นความหวังจากเรื่องที่ซางเจี้ยนปั๋วทุบตีถงมั่ว มองออกว่าซางเจี้ยนปั๋วแตกต่างจากซางเจี้ยนสยง เพื่อความอยู่รอดแล้ว เขาจึงพุ่งเป้าไปที่ซางเจี้ยนปั๋ว ให้ข้าเข้าใกล้ยั่วยวน แม้นข้าจะลำบากใจยิ่งนัก ทว่าภายในใจกลับมิได้ต่อต้าน เพราะนับจากครั้งแรกที่ซางเจี้ยนปั๋วช่วยข้าออกมาจากจวนถงมั่วและพาส่งกลับเรือน ข้าก็ชมชอบเขาแล้ว ด้วยเหตุนี้ภายหลังจึงมักจะหาโอกาสใกล้ชิดเขาอยู่เสมอ”

“หลังจากซางเจี้ยนปั๋วมองเจตนาของข้าออก เขาก็ปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม ภายหลังถึงขั้นหลบเลี่ยงข้าด้วยซ้ำ เวลานั้นซางเจี้ยนปั๋วมีชายาแล้ว ซ้ำยังมีบุตรชายคนหนึ่งด้วย ตอนนั้นซางเฉาจงยังไม่ถือกำเนิด แต่ข้าไม่สนใจเรื่องนี้เลย ตัวข้าในช่วงเวลานั้นคล้ายคนบ้า ขอเพียงได้เขามาครอง ก็ยินยอมที่จะอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรีหน้าตา ท้ายที่สุดแล้ววีรบุรุษก็ยากจะฝ่าด่านหญิงงามได้ ข้าสมดั่งใจปอง เราสองคนได้เคียงคู่กัน”

หยวนกังหมดคำพูด คิดไม่ถึงว่าระหว่างลูกพี่ลูกน้องจะ…แต่เมื่อนึกถึงว่าในยุคนี้ การแต่งงานกันระหว่างลูกพี่ลูกน้องยังคงเป็นเรื่องปกติ เขาจึงทำได้เพียงปล่อยวาง

“ภายหลัง สถานการณ์ในใต้หล้าเปลี่ยนแปลงไป แคว้นเยี่ยนจำเป็นต้องร่วมมือกับแคว้นจ้าว จึงต้องส่งตัวพวกเราสองพี่น้องกลับสู่แคว้นจ้าว ในที่สุดพวกเราสองพี่น้องก็อดทนมาถึงวันนี้ รอดออกมาได้ แต่ตอนนั้นข้าไม่อยากกลับมา คิดเพียงแต่จะอยู่กับซางเจี้ยนปั๋ว ทว่าเสด็จพี่ไม่ยินยอม บอกว่าข้าเป็นถึงองค์หญิงผู้ทรงเกียรติ จะมาติดตามครองคู่กับบุรุษคนหนึ่งอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ไร้ศักดิ์ศรีไม่ได้ ยิ่งไม่อาจไปเป็นอนุภรรยาได้ มิเช่นนั้นแคว้นจ้าวจะต้องอับอายขายหน้าอย่างมาก!”

“ซ้ำยังกล่าวทำนองว่าการปล่อยให้องค์หญิงไปสมรสกับแคว้นอื่นนับเป็นการยอมก้มหัวขอเชื่อมสัมพันธ์ อีกทั้งพูดทำนองว่าตอนนี้แคว้นเยี่ยนเป็นฝ่ายขอร้องแคว้นจ้าว ต่อให้ซางเจี้ยนปั๋วต้องการสู่ขอข้า แคว้นเยี่ยนก็ต้องแสดงความจริงใจออกมา สรุปแล้วก็คือต้องการหาผลประโยชน์จากแคว้นเยี่ยน!”

“ตัวข้าในช่วงเวลานั้นไร้เดียงสายิ่งนัก แอบหลบหนีไปซ่อนตัว ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาเพียงลำพังในฤดูหนาว ทั้งหิวโหยทั้งหนาวเหน็บ ซางเจี้ยนปั๋วฝ่าหิมะที่ตกหนัก นำกำลังคนออกตามหาข้าด้วยตัวเอง ข้าตื้นตันยิ่งนัก เดิมทีคิดว่าเขาต้องการจะอยู่ครองคู่กับข้าตลอดไป ผู้ใดจะทราบว่าเขากลับพาข้ามาส่งยังขบวนรถที่มุ่งหน้ากลับไปยังแคว้นจ้าวด้วยตัวเอง”

“หิมะในวันนั้นตกหนัก เขานั่งนิ่งบนหลังอาชา ก่อนจะขึ้นรถม้า ข้าตะโกนใส่เขาว่าข้าเกลียดท่าน!”

“คนที่ข้ารักที่สุด กลับเป็นคนที่ทำให้ข้าเจ็บลึกที่สุดคนนั้นด้วย!”

พอเล่ามาถึงตรงนี้ น้ำตานางไหลอาบสองแก้ม คล้ายกำลังหวนคิดถึงภาพเหตุการณ์ในวันนั้น

หยวนกังนิ่งเงียบ สีหน้าไร้อารมณ์

“หลังกลับสู่แคว้น ข้าก็ได้ยินข่าวคราวของเขาแว่วมาเรื่อยๆ เขายิ่งใหญ่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กลายเป็นแม่ทัพเลื่องชื่อแห่งยุค เป็นผู้บัญชาการกองทหารองครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญ ประกาศศักดาไปทั่ว ชื่อเสียงก้องหล้า!”

“ส่วนเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ก็ยกข้าให้ออกเรือนกับบุตรชายของเซียวหวง หรือก็คือเซียวเปี๋ยซานผู้เป็นสามีที่จากไปแล้วของข้า เพื่อที่จะซื้อใจเซียวหวงผู้ว่าการมณฑลจินโจว”

“ไม่นานนัก เซียวหวงก็จากโลกไป เซียวเปี๋ยซานรับช่วงต่อมณฑลจินโจว ต่อมาเสด็จพ่อสิ้นพระชนม์ เสด็จพี่สืบทอดราชบัลลังก์ต่อ เสด็จพี่มีใจทะเยอะทะยาน ต้องการกำราบเหล่าเจ้าศักดินา แม้แต่น้องเขยก็ไม่คิดจะละเว้น!”

“แต่ข้าเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะยอมละเว้นเช่นกัน! ตอนที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่ส่งข้าไปเป็นตัวประกันที่แคว้นเยี่ยน พวกท่านบอกว่าทำไปเพื่อประชาชนแคว้นจ้าว ตอนที่บังคับพาตัวข้ากลับแคว้น ก็พูดทำนองว่าไม่อาจทำให้แว่นแคว้นเสียเกียรติได้ ตอนที่บังคับให้ข้าออกเรือนกับเซียวเปี๋ยซาน ก็บอกว่าให้เสียสละเพื่อบ้านเมืองเพื่อความเป็นปึกแผ่นของแคว้นจ้าว….”

“อันที่จริงนับตั้งแต่นั้นมาข้าก็ค่อยๆ เข้าใจแล้วว่า พึ่งพาผู้ใดล้วนไม่มีประโยชน์ มิสู้พึ่งตัวเอง ข้าไม่มีทางปล่อยให้พวกเขามาบงการชีวิตข้าได้อีก ดังนั้นจึงติดต่อไปหาซางเจี้ยนปั๋ว อ้างความสัมพันธ์ในอดีต อาศัยหลักเหตุผล ขอความช่วยเหลือจากเขา! ซางเจี้ยนปั๋วเอ่ยโน้มน้าวราชสำนักแคว้นเยี่ยน นำทัพใหญ่เข้าประชิดชายแดนด้วยตัวเอง ทำให้ทั่วทั้งแคว้นจ้าวหวาดหวั่น ในที่สุดก็ถอยทัพที่ปิดล้อมมณฑลจินโจว และในครั้งนั้นก็ทำให้วังสวรรค์หมื่นวิมานเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อข้าไปด้วย!”

“เสด็จพ่อเสด็จแม่ส่งข้าไปเป็นตัวประกันที่แคว้นเยี่ยนก็เพื่อแว่นแคว้น บังคับให้ข้ากลับแคว้นก็เพื่อแว่นแคว้น บังคับให้ข้าออกเรือนกับบุรุษอ่อนแอคนหนึ่งก็เพื่อแว่นแคว้น เสด็จพี่ต้องการสังหารสามีของข้าก็ทำเพื่อแว่นแคว้น คาดว่ายามนั้นซางเจี้ยนปั๋วก็คงจะทำไปเพื่อแคว้นเยี่ยนเช่นกัน ตอนนี้น่ะหรือ เสด็จพี่คงอยากกำจัดข้าทิ้งใจแทบขาด เหตุผลก็ย่อมเป็นการทำเพื่อแว่นแคว้นอีกตามเคย พวกเขาแต่ละคนล้วนทำเพื่อแว่นแคว้น แว่นแคว้นของพวกเขาสตรีตัวคนเดียวอย่างข้าจะแบกรับไหวหรือ?”

“จะว่าไปแล้ว การแยกจากซางเจี้ยนปั๋วก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้าย จุดจบของซางเจี้ยนปั๋วเจ้าคงจะได้ยินมาแล้ว หากว่าตอนนั้นข้าติดตามซางเจี้ยนปั๋ว เกรงว่าข้าคงต้องตายไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยเช่นกัน ฮ่าๆ!” นางหัวเราะเคล้าน้ำตา ยกกาสุราเงยหน้ากรอกเข้าปาก

หยวนกังยื่นมือไปแย่งกาสุรามาจากมือนาง โยนไปทางด้านหลัง ตกลงไปในสระบัวอีกครั้ง เขาลุกขึ้นยืน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เต้าเหยี่ยก็ทำงานเพื่อท่านเช่นกัน ท่านอย่าได้ทำให้ตัวเองเสียเรื่องเลย” กล่าวจบก็สาวเท้าเดินจากไป

ไห่หรูเยวี่ยที่อยู่ด้านหลังลอบกัดฟันขบริมฝีปาก ช่างเป็นบุรุษใจหินยิ่งนัก!

กระทั่งนางลุกขึ้นมาแล้วเหลียวหน้ากลับไป ก็ไม่เห็นร่องรอยของหยวนกังแล้ว

จากนั้นนางสั่งให้คนไปตามพ่อบ้านจูซุ่นมา สั่งการเรื่องที่หนิวโหย่วเต้ากำชับมา

หลังจัดการธุระเสร็จเรียบร้อย นางก็เริ่มต้านฤทธิ์สุราไม่ค่อยอยู่ การก้าวเดินซวนเซเล็กน้อย ขณะที่เพิ่งกลับถึงห้องของตน มือข้างหนึ่งก็ยื่นมาจากด้านหลังประตู โอบรัดเอวของนางเอาไว้

นางหันไปมอง เป็นหลีอู๋ฮวาที่เป็นผู้อาวุโสแห่งวังสวรรค์หมื่นวิมาน มือของเขาลูบคลำไปบนจุดที่ไม่สมควรบนร่างกายนาง

“ได้ยินว่าช่วงนี้เจ้าไปใกล้ชิดกับคนที่ชื่อหยวนกังอันใดนั่น คงมิใช่ว่าถูกตาต้องใจเขาเข้าแล้วกระมัง?”

“มีเรื่องเช่นนั้นที่ไหนกัน หนิวโหย่วเต้าผู้นั้นเป็นคนมีความสามารถ ข้าเพียงอยากสานสัมพันธ์กับหนิวโหย่วเต้าผ่านคนสนิทของหนิวโหย่วเต้าเท่านั้น”

“เป็นเช่นนั้นก็ดี ข้าบอกไปแล้ว เจ้าคือคนของข้า!”

“อยากให้ข้าเป็นคนของท่านก็ไม่ยาก แต่งกับข้าสิ องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นจ้าว ท่านกล้าแต่งหรือไม่เล่า? ท่านก็กล้าเพียงเอาเปรียบเท่านั้น อื้ม…”

คำพูดหยุดลงตรงนี้ นางถูกอุ้มไปที่เตียง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า