สรุปเนื้อหา ตอนที่ 156 จับกุม – ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet
บท ตอนที่ 156 จับกุม ของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
ตอนที่ 156 จับกุม
เสียงระฆังดังเหง่งหง่างแว่วมาจากบนหอคอยกำแพงเมือง
หยวนกังและเว่ยตัวที่เพิ่งออกมาจากกำแพงเมืองหันกลับไปมอง เห็นทหารยามเฝ้าประตูเมืองกำลังสกัดขวางกลุ่มคนที่เดินทางเข้าออก ประตูเมืองค่อยๆ ปิดลง
เว่ยตัวลอบรู้สึกโล่งใจ โชคดีที่หยวนกังเตรียมการรัดกุม ศึกษาจัดเตรียมเส้นทางที่สามารถหลบหนีออกจากเมืองได้รวดเร็วที่สุดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว หากช้ากว่านี้แม้เพียงนิดเดียว เกรงว่าหากคิดจะออกเมืองอีกก็คงเป็นไปได้ยากแล้ว
“ไป!” หยวนกังเรียกให้เขาเร่งฝีเท้าหลบหนี ขณะเดียวกันก็เอ่ยเตือนว่า “คาดว่าอีกไม่นานเส้นทางสัญจรที่มุ่งสู่มณฑลจินโจวอาจจะมีการตั้งด่านขึ้น เพื่อความปลอดภัย เกรงว่าเราคงต้องใช้เส้นทางบนภูเขาไปสักพัก”
“มะ…ไม่มี…ปัญหา! เมื่อ…เมื่อครู่…เสียงนั้น…เป็นเจ้าทะ…ทำขึ้น…จากสะ…สิ่งนั้นหรือ?”
“ถ้าพูดไม่คล่องก็ไม่ต้องพูดมาก”
….
ณ เรือนรับรองสุคนธา เกี้ยวตัวหนึ่งถูกหามเข้ามา มุ่งหน้ามาที่แหล่งต้นตอของเสียงดังกัมปนาทภายใต้การคุ้มกันของกององครักษ์
เมื่อเกี้ยวหยุดลง ไห่หรูเยวี่ยจัดแจงเสื้อผ้าเล็กน้อยแล้วมุดออกมาจากเกี้ยว ทันทีที่โผล่หน้าออกมาก็มองเห็นหลุมลึกขนาดใหญ่หลุมหนึ่งอยู่บนพื้นดิน นางจำได้ว่าที่นี่มีภูเขาจำลองอยู่หลายลูก แต่ยามนี้ล้วนหายไปหมดแล้ว
จากนั้นกวาดตามองดูต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่รอบข้าง เสียหายเป็นวงกว้าง ห่างออกไปอีกนิด มีต้นไม้บางต้นที่โค่นลงพร้อมกับรากที่งัดขึ้นมา บางต้นก็ถูกทำลายจนหักโค่นไม่มีชิ้นดี ศาลาในละแวกใกล้เคียงพังถล่มจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม สิ่งปลูกสร้างที่อยู่ห่างออกไปถูกกระแทกจนกระเบื้องแตกกระจาย ผนังกำแพงพังทลาย
หลีอู๋ฮวาเดินทางมาถึงก่อนแล้ว กำลังยืนมือไพล่หลังอยู่ริมหลุมลึกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ไห่หรูเยวี่ยเดินนวยนาดมาหยุดข้างกายเขา เอ่ยถามด้วยความตกตะลึงระคนสงสัย “ผู้อาวุโส สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลีอู๋ฮวาส่ายหน้า “ไม่ทราบแน่ชัด”
ไห่หรูเยวี่ยถาม “ผู้อาวุโสเองก็ไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนหรือ?”
หลีอู๋ฮวาเงยหน้ามองท้องฟ้า กล่าวอย่างใช้ความคิดว่า “หากวิเคราะห์จากประสบการณ์ของข้า มันน่าจะเป็นอุกกาบาตจากฟากฟ้าที่บังเอิญพุ่งชนสถานที่แห่งนี้พอดี ถึงได้เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงแบบนี้ขึ้นได้!”
ไห่หรูเยวี่ยเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าเช่นกัน จากนั้นก้มลงมองดูหลุมลึกที่อยู่บนพื้นอีกครั้ง ถามด้วยความฉงนว่า “แล้วอุกกาบาตเล่า?”
หลีอู๋ฮวาตอบ “คงจะกระแทกจนแตกกระจายไปแล้ว”
“อย่างนี้นี่เอง!” ไห่หรูเยวี่ยพยักหน้ารับ หันไปเรียกจูซุ่นเข้ามากระซิบสั่งการว่า “แพร่ข่าวออกไป บอกว่าเป็นเพียงอุกกาบาตจากฟากฟ้า เป็นนิมิตหมายอันดี ปลอบขวัญชาวบ้าน! แล้วก็สร้างอุกกาบาตขึ้นมาก้อนหนึ่ง จัดขบวนแห่ไปตามท้องถนนเพื่อขจัดข่าวลือ!”
“ขอรับ!” จูซุ่นตอบรับ
หลีอู๋ฮวาหันไปมองนางแวบหนึ่ง อมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย สตรีนางนี้ยังคงมีทักษะด้านการปกครองเป็นเลิศ แล้วก็ไม่ทำให้ตนต้องลำบากในการอธิบายต่อทางสำนักด้วย
ไห่หรูเยวี่ยกวาดสายตามองไปรอบๆ หันไปเอ่ยถามผู้ที่รับผิดชอบดูแลที่นี่ “ได้ยินว่ามีคนได้รับบาดเจ็บ คุณชายหยวนที่อยู่ในเรือนทิศตะวันตกไม่เป็นอะไรกระมัง?”
ผู้รับผิดชอบตอบเสียงอ่อนว่า “คนหายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ไห่หรูเยวี่ยขมวดคิ้ว “อะไรคือหายไปแล้ว?”
ผู้รับผิดชอบตอบ “อาจจะฉวยโอกาสหนีไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“หนีไปแล้ว?” ไห่หรูเยวี่ยหัวเราะหยันคราหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “กระทั่งคนที่ถูกผนึกพลังเอาไว้ก็ยังคุมไม่ได้ เจ้ายังจะทำอันใดได้อีก” นางสะบัดแขนเสื้อ ท่วงท่าทรงอำนาจเป็นอย่างยิ่ง
ทหารหลายคนก้าวเข้ามาทันที ลากตัวผู้รับผิดชอบออกไป
“องค์หญิงใหญ่…องค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ…”
ไห่หรูเยวี่ยไม่สนใจเสียงคร่ำครวญอ้อนวอน หันกลับไปเรียกแม่ทัพคนหนึ่งเข้ามา “ปิดประตูเมืองแล้วออกค้นหาเดี๋ยวนี้!”
แม่ทัพประสานมือตอบว่า “ทูลองค์หญิงใหญ่ ทันทีที่ได้รับแจ้งจากทางนี้ กระหม่อมก็ได้สั่งปิดประตูเมืองและทำการตรวจค้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
“ดีมาก!” ไห่หรูเยวี่ยเอ่ยชื่นชม “ต้องหาตัวคนให้เจอให้ได้!”
…..
สายน้ำลดเลี้ยว ณ สะพานโค้งทอดตัวยาวแห่งหนึ่ง มีจุดพักม้าแห่งหนึ่งอยู่ตรงหัวสะพาน
กองทหารกองหนึ่งข้ามสะพานมา นายทหารไว้หนวดเคราหนาดกผู้หนึ่งควบอาชานำอยู่เบื้องหน้า มีทหารราบตามหลังมาหนึ่งร้อยนาย
กองทหารหยุดลงด้านนอกจุดพักม้า นายทหารเคราดกที่อยู่บนหลังม้าพาทหารสิบกว่านายค่อยๆ เดินเข้าไปในจุดพักม้า
ทางนี้เพิ่งกระโดดลงจากหลังม้า หัวหน้าจุดพักม้าก็กระวีกระวาดเข้ามาหา ประสานมือเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้เป็นนายกองหวังนี่เอง ไม่ทราบว่ากำลังจะไปไหนหรือขอรับ?”
นายทหารเคราดกยืดเส้นยืดสายเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “งานของข้าใช่เรื่องที่เจ้าจะถามได้เรอะ? ไปเตรียมสุราอาหารให้ข้าสองโต๊ะ”
“ได้ขอรับ รอสักครู่ขอรับ” หัวหน้าจุดพักม้ารับคำสั่ง หันกลับไปเรียกคนเลี้ยงม้าให้มาช่วยงานทันที
นายทหารเคราดกเดินนำลูกน้องกลุ่มหนึ่งเข้าไปนั่งลงในเพิง มีคนยกสุรามาส่งให้ก่อน เหล่าทหารจึงเริ่มดื่มสังสรรค์เฮฮากัน
คนเลี้ยงม้าคนหนึ่งอุ้มฟืนกองหนึ่งมุ่งหน้าไปทางห้องครัว ในขณะที่เดินผ่านทางด้านนี้ นายหมู่คนหนึ่งที่ดื่มสุราอยู่ได้วางชามลง ลุกออกจากเก้าอี้ตามหลังไปอย่างเงียบๆ ปลดเชือกที่เอวมาถือไว้ ทันใดนั้นพลันสืบเท้าก้าวใหญ่ออกไปก้าวหนึ่ง เหวี่ยงเชือกออกไป รัดปากของคนเลี้ยงม้ารายนั้นเอาไว้ ลงมือคล่องแคล่วฉับไว
โครม! กองฟืนหล่นลงพื้น คนเลี้ยงม้ารายนั้นกำลังจะดิ้นรนขัดขืน ด้านข้างพลันมีทหารหลายนายพุ่งเข้ามาในชั่วพริบตา จับคนเลี้ยงม้ารายนั้นพลิกตัวแล้วกดลงบนพื้น คนที่จับแขนไพล่หลังก็จับเอาไว้ คนที่กดขาก็กดเอาไว้ ราวกับกำลังจะเชือดหมูอย่างไรอย่างนั้น นายหมู่ที่ถือเชือกไว้รั้งเชือกไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เข่าข้างหนึ่งยันหลังของคนเลี้ยงม้ารายนั้นไว้ กดเขาเอาไว้บนพื้น
คนเลี้ยงม้ารายนั้นร้อง “อื้อๆ” อย่างสุดชีวิต จนปัญญาที่มีเชือกคาดปากเอาไว้ กระทั่งแก้มยังถูกรัดจนจมลึกลงไป ไหนเลยจะพูดเป็นคำได้
…..
ณ มหานครชื่อโจว รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนตัวออกไปจากมหานคร ก่อนจะค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้น วิ่งไปตามเส้นทางหลวง
ภายในรถม้า เฉวียนเซ่าคังเปิดหน้าต่างบานเล็กที่อยู่ทางด้านหลังออก กระทั่งมหานครชื่อโจวค่อยๆ เลือนหายไปจากครรลองสายตาของเขา เขาถึงจะค่อยๆ ปล่อยม่านลง จากนั้นหันหน้ากลับมาถอนหายใจเบาๆ “จากไปครานี้ เกรงว่าวันหน้าคงไม่มีโอกาสได้กลับมาอีกแล้ว”
พ่อบ้านเฉวียนเฉียวที่นั่งอยู่ข้างๆ เอ่ยว่า “เดิมทีพวกเราก็เป็นชาวแคว้นเยี่ยนอยู่แล้ว ปกตินายท่านก็คิดถึงบ้านเกิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน วันนี้จะได้กลับแผ่นดินแม่ สมควรต้องดีใจสิขอรับ!”
เฉวียนเซ่าคังเอ่ยว่า “เริ่มจากศูนย์จนมั่งมี ข้าสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจสร้างกิจการอยู่ที่นี่มาครึ่งค่อนชีวิต จู่ๆ ต้องละทิ้งไปเช่นนี้ รู้สึกทำใจไม่ได้เลย!”
เฉวียนเฉียวเอ่ยว่า “เป็นเพราะนายท่านรู้ตัวทันท่วงที แจ้งเตือนเบื้องบนให้ทำการรับมือได้ทันเวลา ถึงแม้เครือข่ายระดับล่างจะเสียหายอย่างหนัก แต่เครือข่ายหลักยังคงปลอดภัยอยู่ ไม่ช้าก็จะขยายตัวไปได้อีกครั้ง นายท่านช่วยให้แคว้นเยี่ยนไม่ต้องเสียหายหนักไปมากกว่านี้ เมื่อกลับไปถึงแคว้นเยี่ยนครานี้ อนาคตย่อมสดใส สมควรจะรู้สึกยินดีนะขอรับ!”
เฉวียนเซ่าคังเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “บางครั้งความดีความชอบและความผิดพลาดมันก็แขวนอยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน เพราะข้าทำพลาดครั้งนี้ ทำให้หลายครอบครัวต้องสูญเสียล้มตาย…ปีนั้นยามที่ข้าจากบ้านมา ท่านพ่อเป็นเพียงขุนนางเล็กๆ คนหนึ่ง คิดไม่ถึงเลยว่ายี่สิบปีผ่านไป ท่านพ่อจะไต่เต้าเป็นขุนนางสูงศักดิ์ได้”
เฉวียนเฉียวเข้าใจความหมายของเขาดี หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา เมื่อก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาก็คงจะถูกผลักให้ออกไปรับโทษแล้ว แต่นายท่านผู้นี้มีคนคอยหนุนหลังอยู่ หน่วยข่าวกรองของแคว้นเยี่ยนไม่กล้าผลักเขาออกไปรับโทษส่งเดช จึงจัดการเปลี่ยนความผิดพลาดให้กลายเป็นผลงาน จากจุดนี้ทำให้มองเห็นถึงอิทธิพลของผู้ที่หนุนหลังเขาอยู่ ส่วนคนธรรมดาที่เข้ามาทำงานด้านนี้ ส่วนใหญ่ล้วนไม่อาจเปิดเผยตัวไปได้ตลอดชีวิต ไหนเลยจะเหมือนนายท่านผู้นี้ที่ถูกเรียกตัวกลับแคว้นเป็นการด่วนแล้วยังได้เลื่อนตำแหน่งเพราะมีความดีความชอบได้ เห็นได้ชัดว่ามีคนต้องการดึงตัวเขาออกมาจากปัญหา ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขาลงมือแล้ว!
“นายท่านกลับไปครานี้ ท่านผู้เฒ่าคงจะไม่มีทางปล่อยให้นายท่านต้องมาทำงานเช่นนี้อีก เกรงว่าคงเตรียมตำแหน่งอื่นเอาไว้คอยแล้วขอรับ!” เฉวียนเฉียวประสานมือกล่าวว่า “ครั้งนี้ข้าเองก็ได้อาศัยบารมีนายท่านด้วย!”
อันที่จริงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนมิใช่นายบ่าวอันใด หากแต่เป็นเจ้านายและผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นความสัมพันธ์แบบหัวหน้าและรองหัวหน้า ครั้งนี้เขารอดตัวมาได้ก็เพราะบารมีของเฉวียนเซ่าคังจริงๆ
เฉวียนเซ่าคังเอ่ยด้วยสีหน้าเลื่อนลอย “แคว้นเยี่ยนในยามนี้ ย่ำแย่ลงทุกที กลับไปครานี้ไหนเลยจะ…” เขาส่ายหน้า เปลี่ยนคำพูดไป “ไม่รู้ว่าทางฮูหยินกับลูกๆ จะเดินทางไปถึงเมื่อไร”
เฉวียนเฉียวกล่าวว่า “นายท่านวางใจเถอะขอรับ เบื้องบนจะเป็นธุระดูแลรับส่งให้ นายผู้เฒ่าเองก็ไม่มีทางมองดูลูกหลานของตัวเองเกิดเรื่องได้หรอกขอรับ พวกเขาออกเดินทางไปหลายวันแล้ว คาดว่าคงใกล้จะถึงชายแดนแคว้นเยี่ยนแล้ว ขอเพียงเข้าสู่อาณาเขตของแคว้นเยี่ยน พวกเขาก็จะไปถึงเมืองหลวงอย่างปลอดภัยแน่นอน เพียงแต่ฮูหยินและเหล่าคุณหนูคุณชายคงจะต้องตกใจกับสถานะของตนเป็นแน่…”
รถม้าเคลื่อนมาหยุดอยู่ที่เชิงเขาลูกหนึ่ง ทั้งสองลงจากรถม้า เฉวียนเฉียวโบกมือให้สัญญาณเล็กน้อย สารถีบังคับรถม้ามุ่งหน้าต่อไป
ทั้งสองเดินเข้าไปในป่า ค่อยๆ ปีนป่ายขึ้นไปจนถึงยอดเขา เก็บกิ่งไม้แห้งส่วนหนึ่งมากองสุมกันไว้บนยอดเขา จากนั้นจุดไฟเผากิ่งไม้
เฉวียนเฉียวล้วงขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมา สาดผงบางอย่างใส่กองไฟ พลันมองเห็นควันสีเหลืองลอยโขมงขึ้นไป
เฉวียนเซ่าคังที่ยืนอยู่บนยอดเขาหันมองไปยังทิศทางของมหานครชื่อโจว “เหล่าพี่น้องมากมายต้องบ้านแตกล้มหายตายจาก แต่ข้ากลับทอดทิ้งพวกเขาหลบหนีมา…หนิวโหย่วเต้า นับว่าเจ้าแน่มาก บัญชีแค้นครานี้ข้าไม่มีวันลืมแน่!”
และในเวลานี้เอง อินทรียักษ์สีดำตัวหนึ่งโฉบเข้ามาจากท้องนภา ร่อนลงเหนือยอดเขา ก่อให้เกิดสายลมกระโชกรุนแรง ร่างสูงประมาณหนึ่งจั้ง
ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งกระโดดลงมา ตรวจสอบยืนยันตัวตนคนทั้งสอง ก่อนจะดึงตัวคนทั้งสองขึ้นสู่หลังอินทรีพร้อมกัน ร่ายพลังป้องกันคนทั้งสองเอาไว้
อินทรียักษ์กางปีกโผบินสู่ท้องนภา บนยอดเขาเหลือเพียงควันไฟที่ลอยม้วนอ้อยอิ่ง
……………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า