ตอนที่ 157 การกลับมาของหยวนฟาง
ณ เมืองหลวงแคว้นเยี่ยน เรือนตระกูลซ่ง ประตูห้องหนังสือของซ่งจิ่วหมิงปิดสนิท
พ่อบ้านหลิวลู่เดินกลับไปกลับมาอยู่ในเรือน มองไปทางประตูห้องที่ปิดสนิทเป็นระยะๆ
ด้านนอกเรือน ซ่งเฉวียนที่อยู่ในชุดขุนนางสาวเท้าเดินเข้ามา เขาเพิ่งเลิกงานกลับมาจากศาลาว่าการ ยังไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้า มาถึงก็เอ่ยถามว่า “เกิดเรื่องใดขึ้น ได้ยินว่าท่านพ่อขังตัวเองไว้ในห้องหนังสือครึ่งค่อนวันไม่ยอมออกมาอย่างนั้นหรือ?”
หลิวลู่กระซิบตอบ “ได้รับแจ้งข่าวมาขอรับ จู่ๆ คนของหน่วยข่าวกรองที่ถูกจัดวางเอาไว้ในจุดพักม้าของหกแคว้นก็ถูกทั้งหกแคว้นบุกจับกุมกะทันหัน ดูเหมือนจะเสียหายมิใช่น้อยเลยขอรับ”
ตระกูลซ่งพอจะมีหูมีตาอยู่ในแคว้นต่างๆ ไม่มากก็น้อย
ซ่งเฉวียนตกตะลึง “ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้? ไม่ได้พัวพันมาถึงท่านพ่อกระมัง?” เพราะการใช้งานคนของหน่วยข่าวกรองนั้นเป็นความคิดพ่อของเขา การที่เครือข่ายข่าวกรองที่จัดวางไว้ตามแคว้นต่างๆ ได้รับความเสียหาย นั่นมิใช่เรื่องเล็กน้อยเลย
หลิวลู่ตอบว่า “รายละเอียดยังไม่ทราบขอรับ ราชสำนักเพิ่งเสียจังหวัดชิงซานให้ยงผิงจวิ้นอ๋องไป ซ้ำยังมาเกิดเรื่องนี้กับหน่วยข่าวกรองอีก อารมณ์ของฝ่าบาทเป็นอย่างไร เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว ได้ยินว่ามั่วปิงถูกฝ่าบาทด่ากราดไม่เหลือชิ้นดีเลยขอรับ นายท่านได้ข่าวก็รีบไปที่หอข่าวสารทันที ด้วยคิดอยากไปสอบถามสถานการณ์โดยละเอียดจากมั่วปิง ผลคือปิดประตูเงียบไม่ต้อนรับขอรับ”
อันที่จริงหอข่าวสารก็คือหน่วยข่าวกรองของแคว้นเยี่ยน แต่กลับไม่อาจบอกต่อภายนอกได้ว่าเป็นหน่วยข่าวกรอง ส่วนมั่วปิงก็คือผู้ดูแลหอข่าวสาร แล้วก็เป็นผู้บัญชาการของหน่วยข่าวกรอง
ซ่งเฉวียนเอ่ยเสียงขรึม “หรือว่ามั่วปิงคิดจะให้ท่านพ่อรับผิดชอบเรื่องนี้? ทุกคนล้วนมิใช่คนโง่ ต่อให้ท่านพ่อจะยังมีอำนาจอยู่ ท่านก็ไม่มีอำนาจเรียกใช้คนของหน่วยข่าวกรองได้ สิทธิ์การควบคุมหน่วยข่าวกรองอยู่ในมือของฝ่าบาท เรื่องนี้หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากฝ่าบาท แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร! ท่านพ่อมิได้ไปหาท่านเจ้ากรมหรือ?”
หลิวลู่ตอบว่า “หลังหอข่าวสารปิดประตูเงียบ นายท่านก็ไปที่จวนเจ้ากรมโยธาทันทีขอรับ ทว่าครั้งนี้ท่าทีของท่านเจ้ากรมโยธาดูค่อนข้างคลุมเครือขอรับ”
ซ่งเฉวียนถาม “หมายความว่าอย่างไร? หน่วยข่าวกรองจัดการไม่ดีเอง จะกล่าวโทษท่านพ่อได้หรือ?”
หลิวลู่เอ่ยว่า “ย่อมไม่อาจโทษนายท่านได้ขอรับ แล้วก็ไม่สามารถตำหนินายท่านอย่างเปิดเผยได้ แต่ปัญหามันก็อยู่ตรงนี้นี่แหละขอรับ บ่าวสอบถามสถานการณ์จากนายท่านมา ตอนที่นายท่านไปสอบถามท่านเจ้ากรมว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับหน่วยข่าวกรองนี้ ผู้ใดเป็นคนรับผิดชอบจัดการ ด้วยคิดอยากจะสอบถามสถานการณ์ของทางมั่วปิงเสียหน่อย เพราะอยากรู้ว่าที่หอข่าวสารปิดประตูเงียบเช่นนี้มันหมายความว่าอย่างไร แต่ผู้ใดจะทราบว่าท่านเจ้ากรมกลับบอกว่าหอข่าวสารมีความดีไร้ความผิด หลีกเลี่ยงความเสียหายร้ายแรงได้ทันท่วงที บอกให้นายท่านไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้ขอรับ”
ซ่งเฉวียนไม่ค่อยเข้าใจ เอ่ยถามว่า “หมายความว่าอย่างไร แบบนี้มิใช่เรื่องดีหรือ?”
หลิวลู่กล่าวว่า “จะไปดีได้อย่างไรล่ะขอรับ หน่วยข่าวกรองมีความดีไร้ความผิด ข้อสรุปนี้มีปัญหาอย่างมาก อย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นว่าหน่วยข่าวกรองรู้แล้วว่าปัญหามันเกิดขึ้นตรงไหน ตามหลักแล้วเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ปัญหาเกิดขึ้นตรงไหนก็ต้องถามหาความรับผิดชอบจากตรงนั้น แต่นี่กลับถามหาความรับผิดชอบจากจุดที่เกิดปัญหาไม่ได้น่ะสิขอรับ!”
ซ่งเฉวียนก็เป็นคนที่ทำงานอยู่ภายในราชสำนักเหมือนกัน พลันกระจ่างขึ้นมาในทันที เอ่ยด้วยสีหน้าตึงเครียด “มีคนขวางไว้ พยายามจะกลบเรื่องนี้เอาไว้?”
หลิวลู่พยักหน้า “อย่างน้อยอิทธิพลที่คนผู้นี้มีต่อราชสำนักและทางท่านเจ้ากรมก็ไม่มีทางด้อยไปกว่านายท่านแน่นอนขอรับ”
ซ่งเฉวียนกระจ่างแจ้งแล้ว เครือข่ายข่าวกรองนอกแคว้นได้รับความเสียหายย่อมมิใช่เรื่องเล็ก จะต้องมีคนรับผิดชอบในเรื่องนี้ ไม่มีทางทำเหมือนไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้นได้ แล้วก็จำเป็นต้องมีคำอธิบายสำหรับเรื่องนี้ด้วย มิเช่นนั้นหากในอนาคตเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก หากเกิดความผิดพลาดขึ้นแล้วไม่ต้องสืบสวนเอาความล่ะก็ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์อันใดแล้ว
คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็มีอยู่เพียงไม่กี่คน หน่วยข่าวกรองไร้ความผิด ฝ่าบาทยิ่งไม่มีทางผิด ที่เหลือก็มีแค่คนที่เข้ามาปลุกปั่นให้หน่วยข่าวกรองไปทำเรื่องนี้ ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าเป็นใคร!
ซ่งเฉวียนเผยสีหน้าดุดัน “มีคนกำลังจะเหยียบย่ำท่านพ่อเพื่อปกป้องคนอื่น!”
หลิวลู่เอ่ยปลอบว่า “ท่านเจ้ากรมน่าจะยังปกป้องนายท่านอยู่ขอรับ!”
“ปกป้องกับผีน่ะสิ ท่านพ่อลงจากตำแหน่งแล้ว หากไปบอกว่าคนที่ไม่มีตำแหน่งทางราชการคนหนึ่งไปสั่งการหน่วยข่าวกรอง นั่นมิกลายเป็นเรื่องตลกหรอกหรือ? ไม่สามารถทวงถามความรับผิดชอบจากท่านพ่ออย่างเปิดเผยได้ แต่ใครบางคนกลับโยนความรับผิดชอบมาใส่หัวท่านพ่อ”
ซ่งเฉวียนพลันหันกลับไปมองประตูห้องหนังสือที่ปิดสนิทอยู่ ในที่สุดก็เข้าใจความรู้สึกของบิดาแล้ว กัดฟันกล่าวว่า “มีความดีไร้ความผิดอย่างนั้นหรือ ข้าก็อยากเห็นเหมือนกันว่าเป็นผู้ใดที่กำลังปกป้องผู้ใดอยู่กันแน่! เจ้าไร้ความผิดก็ว่าไปอย่าง คิดไม่ถึงว่ายังจะมีความชอบอีก!”
หลิวลู่ก้มหน้าเงียบ เพื่อปกป้องคนแล้ว คนที่อยู่เบื้องหลังผู้นี้ลงมือได้ค่อนข้างโหดเหี้ยมทีเดียว ไม่เพียงแต่จะปกป้องคนเท่านั้น แต่ยังจะใช้เรื่องนี้มากรุยเส้นทางอนาคตให้คนที่ปกป้องด้วย
กล่าวอีกนัยคือการที่จะทำเรื่องเช่นนี้เพื่อปกป้องอนาคตของคนบางคนได้ ผู้ที่ลงมือจะต้องมีความเด็ดเดี่ยวแค่ไหน เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้คนไปขุดคุ้ยเรื่องของหน่วยข่าวกรองขึ้นมาเพื่อเป็นอุปสรรคต่ออนาคตของคนที่ต้องการปกป้องแน่ ผู้ใดที่ต้องแบกรับความผิดนี้ก็ต้องแบกรับไปชั่วชีวิต ไม่มีทางปล่อยให้เจ้ามีโอกาสได้พลิกคดีเว้นเสียแต่จะมีกรณีพิเศษ
“ข้าเคยบอกไปแต่แรกแล้วว่าไม่ควรลาออกจากตำแหน่งเสนาบดียุติธรรมง่ายๆ เลย แต่ท่านพ่อกลับไปเชื่อใจคำพูดเหลวไหลของถงมั่วง่ายๆ ไม่อย่างนั้นจะถูกผู้อื่นเล่นงานได้ง่ายๆ เช่นนี้หรือ!” ซ่งเฉวียนสะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธเกรี้ยว เพราะสำหรับเขาแล้ว เขาเองก็เดือดร้อนเช่นกัน มีผู้ใดบ้างที่ไม่ทราบว่าเขาคือบุตรชายของซ่งจิ่วหมิง การต่อสู้ทั้งในทางลับและทางแจ้งเช่นนี้ อีกฝ่ายลงมือต่อท่านพ่ออย่างโหดเหี้ยมแล้ว ไหนเลยจะยังปล่อยให้เขาได้มีโอกาสเติบโตก้าวหน้าเพื่อมาเล่นงานกลับได้อีก
หลิวลู่รีบเอ่ยว่า “หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง คุณชายใหญ่โปรดระวังวาจาด้วยขอรับ!”
ซ่งเฉวียนกลับขยับเข้ามาใกล้ กระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้รั่วไหลออกไปได้ มิเช่นนั้นทันทีที่ไม้ล้มลิงย่อมแตกรัง!”
ทว่าขณะที่เขาเพิ่งเอ่ยจบ ด้านนอกก็มีคนเดินเข้ามา ในมือถือจดหมายฉบับหนึ่งไว้ สีหน้าดูตึงเครียด เป็นซ่งซู
ซ่งเฉวียนและหลิวลู่มองไปที่เขา ซ่งซูเดินเข้ามาหาคนทั้งสอง ยื่นจดหมายในมือให้ เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “หวังเหิงเพิ่งส่งคนมาหา ยืนกรานที่จะรับตัวบุตรสาวไป นี่คือจดหมายที่หวังเหิงเขียนขึ้นด้วยตัวเอง บอกว่าบุตรสาวอายุยังน้อย ในฐานะบุพการีทนเห็นบุตรสาวต้องครองตัวเป็นหม้ายไปตลอดไม่ได้ หวังว่าตระกูลซ่งจะยอมเขียนหนังสือยินยอมให้บุตรสาวของเขาแต่งงานใหม่ได้!”
ซ่งเฉวียนเปิดจดหมายออกอ่าน เนื้อความในจดหมายเป็นไปตามที่อีกฝ่ายว่ามา แม้นเนื้อหาที่เขียนอยู่ในจดหมายจะบอกว่าหวังให้ตระกูลซ่งเห็นใจกันสักนิด แต่น้ำเสียงที่แฝงเอาไว้กลับไม่เหลือช่องให้ต่อรองอันใดเลย
หลังจากหลิวลู่นำจดหมายไปอ่านดู สีหน้าก็ตึงเครียดเช่นเดียวกับซ่งเฉวียน
หวังเหิงต้องการตัดสัมพันธ์กับตระกูลซ่งในเวลานี้ ดูเหมือนขุนนางคนสนิทของฝ่าบาทผู้นี้คงจะทราบเรื่องบางอย่างมาบ้างแล้ว
หวังเหิงต้องการให้บุตรสาวออกเรือนใหม่ หากอยู่ในสถานการณ์ปกติก็คงไม่เป็นปัญหาอะไร แต่สำหรับตระกูลซ่งในช่วงเวลานี้ นี่เท่ากับเป็นการเหยียบย่ำซ้ำเติมกันชัดๆ ถ้าพวกคนที่ไม่ประสงค์ดีรู้เข้าจะคิดอย่างไร?
ทว่าตระกูลซ่งก็ไม่กล้าปฏิเสธ หากว่าตระกูลซ่งไม่ยอมตอบตกลง เกิดหวังเหิงโวยวายขึ้นมา นั่นจะยิ่งทำให้ตระกูลซ่งเสียหน้า หวังเหิงก็กำลังคิดเช่นนี้อยู่มิใช่เหรอ?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า