ตอนที่ 159 แขกผู้ยโสโอหัง
หลังจากนั้นยังมีสิ่งที่ทำให้หนิวโหย่วเต้ายิ่งรับไม่ได้
“เต้าเหยี่ย ข้าจะไปซื้อกับข้าวขอรับ”
เมื่อกางแผนที่ดูระหว่างทาง พอรู้ว่ามีเมืองอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ใครบางคนได้ตะโกนแจ้งขึ้นมา จากนั้นเร่งควบม้านำไปก่อน
ไม่นานนัก ใครคนนั้นก็เร่งควบม้ากลับมาพร้อมหิ้วเนื้อหมูมาด้วยหลายจิน ภาพนั้นช่างงดงามเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อคนอื่นๆ พากันพูดคุยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสัดส่วนระหว่างมันและเนื้อของหมูอย่างจริงจัง
หนิวโหย่วเต้าเงยหน้ามองฟ้าอย่างหมดคำพูด ถึงแม้กายเนื้อจะมิอาจละเว้นกิเลส แต่ผู้บำเพ็ญเพียรในความคิดของเขามันก็ไม่ใช่แบบนี้
ยามที่หนิวโหย่วเต้ายืนค้ำกระบี่อยู่บนหน้าผาพลางเงยหน้ามองดาว แลดูช่างงดงาม ทว่าใต้หน้าผากลับมีกลิ่นควันและน้ำมันลอยฟุ้ง มีเสียงตะหลิวกระทบกระทะดังก๊องแก๊งๆ ไม่หยุด
หากเจอเมืองระหว่างทาง ถ้าไม่เร่งควบม้าไปซื้อเนื้อ ก็ต้องเร่งควบม้าไปซื้อผักสดมา
พวกเฮยหมู่ตานทั้งสี่คนต่างสนใจในเคล็ดลับนี้เป็นอย่างยิ่ง ล้วนอยากลองฝึกปรือฝีมือดู ทว่ากระทะมีแค่ใบเดียว ทั้งสี่คนทำได้เพียงสับเปลี่ยนเวียนกันทำอาหาร ดังนั้นทุกครั้งที่วนไปถึงตาใครต้องทำอาหาร ใครคนนั้นก็จะตะโกนบอกว่าจะไปซื้อกับข้าว
หนิวโหย่วเต้ารู้สึกว่าความเร็วในการเดินทางคล้ายจะช้าลงเล็กน้อย เอะอะก็ตั้งกระทะทำอาหาร ไม่ช้าลงก็แปลกแล้ว
เมื่อเวลาผ่านไป หนิวโหย่วเต้าเองก็ค่อยๆ เคยชินกับทั้งสี่คนแล้ว ช่วยไม่ได้ เขาเป็นคนหาเรื่องเอง และในบางครั้ง หากมีวัตถุดิบพร้อม เขาก็ยังสอนพวกเขาทำอาหารใหม่ๆ ด้วย
เสียง ‘ก๊องแก๊งๆ’ ที่ดังไปตลอดทางดึงดูดความสนใของคนที่สัญจรไปมาระหว่างทางให้หันมามอง หนิวโหย่วเต้าเองก็ค่อยๆ เคยชินไปเช่นเดียวกัน
สำหรับการกินอาหารในเมืองและจุดพักม้าระหว่างทาง พวกเฮยหมู่ตานทั้งสี่ไม่สนใจเลยสักนิดเดียว ในเมื่อมีของอร่อยให้กิน แล้วทำไมต้องไปกินของที่ไม่อร่อยด้วย นึกดูแคลนอาหารอาหารเหล่านั้น ยอมลงมือทำเองดีกว่า
แต่การเดินทางไกลมันก็น่าเบื่อหน่ายจริงๆ หนิวโหย่วเต้าจึงปล่อยให้พวกเขาทำไป
ทั้งคณะค่อยๆ เดินทางกันไปเช่นนี้ ในที่สุดก็พ้นจากเขตแคว้นจ้าว เข้าสู่แคว้นหาน
…..
เขาเขียวลำธารใส คนจำนวนสามสิบกว่าคนควบม้าเสียงดังกุบกับๆ คนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มคือชายหนุ่มชุดขาวผ้าคลุมดำ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย เกล้าผมปักปิ่นหยกด้ามหนึ่ง ด้านหลังมีผู้ติดตามสามสิบกว่าคน เป็นทหารครึ่งหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรครึ่งหนึ่ง
หลังควบม้าขึ้นไปบนเนินเขาลูกหนึ่ง ชายหนุ่มยกมือขึ้น บังคับม้าหมุนวนอยู่ตรงจุดเดิมสองสามรอบ
ทั้งคณะรั้งบังเหียนตามทันที ฝ่าซือที่ติดตามมาเอ่ยถามว่า “คุณชายใหญ่ มีอะไรหรือขอรับ?”
ชายหนุ่มสูดจมูกไปยังภูเขาที่อยู่ต้นลม สูดดมฟุดฟิด เอ่ยถามคนรอบข้างว่า “กลิ่นหอมอะไร?”
คนทั้งกลุ่มสูดจมูกลองดมดูเช่นกัน ผู้บำเพ็ญเพียรสองคนไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร ดีดตัวออกจากหลังม้า พุ่งทะยานขึ้นไปบนอากาศ มุ่งหน้าไปทางป่าที่อยู่ต้นลม
ระหว่างภูเขาสองลูก มีลำธารไหลผ่าน พวกหนิวโหย่วเต้าแวะพักที่นี่
เฮยหมู่ตานกำลังปรุงหมูตุ๋นน้ำแดงอยู่ กลิ่นหอมยวนใจ หนิวโหย่วเต้าที่นั่งอยู่ด้านข้างรู้สึกเหนื่อยใจ กินหมูตุ๋นน้ำแดงมาตั้งหลายวันแล้ว เจ้าพวกนี้ไม่เบื่อกันบ้างหรือ?
เงาร่างมนุษย์สองสายเหินทะยานเข้ามา ทั้งห้าคนเหลียวมองทันที มองเห็นชายฉกรรจ์วัยกลางคนสองคนร่อนลงสู่พื้น จ้องมองพวกเขาอย่างเยือกเย็น
พวกหนิวโหย่วเต้าค่อยๆ ลุกขึ้น ต่างเผยแววตาระแวดระวัง เมื่อดูจากระยะทางที่ทั้งสองเหินทะยานเข้ามา สภาวะของทั้งคู่น่าจะบรรลุถึงระดับโอสถทองแล้ว
จู่ๆ ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรที่อาจจะอยู่ในระดับโอสถทองปรากฏขึ้นมาสองคน ไม่รู่ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู ทั้งห้าคนสงสัยเล็กน้อยว่าใช่ยอดฝีมือที่ทางแคว้นเยี่ยนส่งมาหรือไม่
จากนั้นสายตาของชายวัยกลางคนทั้งสองล้วนจ้องมองกระทะบนกองไฟที่ปิดฝาไว้ ชายคนหนึ่งประสานมือเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าขอดูสิ่งที่อยู่ในหม้อสักหน่อยได้หรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้าผายมือ “ตามสบาย!”
คนผู้นั้นรีบเดินไปยังข้างกระทะทันที ยื่นมือไปเปิดฝาออก หมูตุ๋นน้ำแดงที่ตุ๋นอยู่ในกระทะกำลังเดือดปุดๆ กลิ่นหอมยั่วน้ำลายโชยปะทะจมูก เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างอดไม่ได้ ชายอีกคนหนึ่งเดินตามเข้ามา ลองสูดดมดู เอ่ยชมว่า “อาหารชั้นเลิศ นี่เรียกว่าอะไร? ไม่ทราบว่าปรุงขึ้นอย่างไร?”
หนิวโหย่วเต้าสีหน้าสุขุมเยือกเย็น เดินไปหยุดอยู่ข้างกายคนทั้งสอง ยิ้มเล็กน้อยพร้อมเอ่ยว่า “เหมือนพวกเราจะไม่รู้จักกันนะ”
ทั้งสองคนสบตากัน ไม่พูดอันใดอีก ปิดฝาลง จากนั้นดีดตัวขึ้นสู่อากาศ นึกจะไปก็ไป
ครั้งนี้พวกเขาได้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองจริงๆ ด้วย!
พวกเฮยหมู่ตานโล่งใจ ไปเสียได้ก็ดี ถ้าเกิดมาหาเรื่องจริงๆ เช่นนั้นคงลำบาก
แต่ผู้ใดจะคิดถึงว่าหลังผ่านไปครู่หนึ่ง จะมีเสียงฝีเท้าม้าที่ฟังวุ่นวายแว่วลอยมา วิหคในป่าแตกตื่นบินหนี เงาร่างมนุษย์กลุ่มหนึ่งทยอยปรากฏตัวขึ้น ชายหนุ่มหล่อเหลาในอาภรณ์สีขาวผ้าคลุมสีดำปรากฏตัวขึ้นในป่าภายใต้การคุ้มกันของเหล่าลูกน้อง ควบอาชาเลียบลำธารเข้ามาอย่างไม่เร่งร้อน
พวกหนิวโหย่วเต้าหวาดระแวงขึ้นมาเล็กน้อย มองเห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองที่จากไปก่อนหน้านี้คนนั้นก็อยู่ในกลุ่มคนด้วย ที่แท้ไม่ได้มีแค่สองคน หากแต่มากันเป็นกลุ่มเลย
อีกทั้งเมื่อดูจากการแต่งกายของคนบางส่วนแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นกลุ่มทหาร
พวกเฮยหมู่ตานนึกเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย ดูเหมือนกลิ่นหอมของอาหารจะดึงดูดคนเข้ามา หากรู้แต่แรกคงไม่ทำเช่นนี้
คนกลุ่มหนึ่งเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาคมคายโบกมือปัดเสื้อคลุม พลิกตัวลงจากหลังม้า มีองครักษ์ตามประกบซ้ายขวา เดินเข้ามาประสานมือพลางเอ่ยสอบถาม “ได้ยินมีอาหารเลิศรส จึงถือวิสาสะเข้ามารบกวน ด้วยอยากจะเห็นให้กระจ่าง หวังว่าจะไม่ถือสา”
เขาตรงเข้ามาทักทายหนิวโหย่วเต้า เมื่อดูจากที่พวกเฮยหมู่ตานยืนล้อมรอบพร้อมตั้งท่าป้องกันแล้ว ทำให้เขาแยกแยะได้ว่าหนิวโหย่วเต้าคือผู้นำของกลุ่มนี้
หนิวโหย่วเต้าประสานมือคารวะกลับ “ไม่ถึงกับเป็นอาหารเลิศรสอันใด ไม่ทราบว่าเป็นยอดคนจากที่ใดให้เกียรติมาเยือน? ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า