ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 164

ตอนที่ 164 ชิงลงมือก่อน

ทั้งห้ารีบมุดเข้าสู่ป่า อาศัยสภาพแวดล้อมภายในภูเขากำบังอำพราง หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

และนี่ก็คือเหตุผลที่หนิวโหย่วเต้าเลือกมาทางด้านนี้ หากไม่มีป่าเขาช่วยอำพราง การอยู่ในที่โล่งนั้นยากจะหนีรอดได้

เวลานี้มีเงาร่างมนุษย์หลายร่างร่อนโฉบไปบนผิวน้ำ พวกถังอี๋ร่อนลงในป่าเขาด้านนี้ สอดส่ายสายตาค้นหาไปทั่ว ไม่ทราบเลยว่าพวกหนิวโหย่วเต้าไปไหนแล้ว

มีผู้บำเพ็ญเพียรอีกสองคนเหินทะยานเข้ามา ร่อนลงข้างกายคนทั้งสาม เมื่อเห็นทั้งสามหยุดนิ่งไม่ค้นหาต่อ ทั้งสองจึงสบตากัน หมดหนทางจะติดตามแล้ว ป่าเขากว้างใหญ่เช่นนี้ ทั้งสองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าหนิวโหย่วเต้าหนีไปทางไหนหรือไปหลบซ่อนตัวอยู่ในที่ใด มีกำลังคนอยู่เพียงเท่านี้ การเที่ยวค้นหาไปทั่วภูเขาเป็นเรื่องที่ค่อนข้างลำบาก

…..

ม่านรัตติกาลปกคลุม ในเมืองเล็กๆ ริมแม่น้ำ แสงไฟสว่างไสวขึ้นมา เซ่าผิงปออพยพไปพักที่คฤหาสน์หลังหนึ่งในเมืองเป็นการชั่วคราว

ภายในห้องโถง หลังจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นออกไปแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรที่กลับจากการค้นหาถึงได้เข้ามารายงาน “คุณชายใหญ่ขอรับ ไม่ทราบว่าคนหนีไปที่ใด เวลานี้ฟ้ามืดแล้ว เกรงว่ายากจะค้นหาต่อไปได้ขอรับ”

เซ่าผิงปอเห็นเขารีๆ รอๆ อยู่ด้านข้างไม่เข้ามารายงานเสียที ก็พอจะทราบแล้วว่าหาไม่พบ จึงเอ่ยว่า “นภาสูงพสุธากว้างใหญ่ เทียวไปเทียวมา ค้นหาอย่างไร้จุดมุ่งหมายก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน เรียกคนกลับมา ตอนนี้มีงานสองเรื่องที่ต้องทำ เรื่องแรกคือต้องรู้เขารู้เรา จะประมือโดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครไม่ได้ แบบนั้นจะทำให้เราเสียเปรียบเป็นอย่างมาก หาทางติดต่อไปทางจูเก่อสวิน สืบดูว่าจางซานผู้นี้เป็นใครกันแน่ เรื่องที่สอง ส่งคนกลุ่มหนึ่งไปที่เมืองหลวง คอยเฝ้าประตูเมืองหลวงไว้ รอให้อีกฝ่ายปรากฏตัวออกมา หากพบตัวเขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจ คิดหาทางกำจัดทิ้งทันที”

“ขอรับ!” ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ด้านข้างตอบรับ

ภายในเมืองเล็กๆ มีแสงโคมกระจัดกระจาย พวกถังอี๋ที่ออกไปค้นหาในภูเขาเพิ่งกลับมาถึงในเวลานี้

หลังจากเข้าพักในโรงเตี๊ยมที่จัดสรรไว้ ผีเสื้อจันทราตัวหนึ่งกระพือปีกโบยบิน ร่อนลงบนโต๊ะ ถังอี๋ค่อยๆ นั่งลงข้างโต๊ะ สีหน้าแฝงไว้ด้วยความกลัดกลุ้มอยู่หลายส่วน

คิดไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต้าจะจากไปอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เช่นนี้ แล้วก็ยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าก่อนจากไปหนิวโหย่วเต้าจะวางเพลิงเหลาสุราด้วย จากจุดนี้ทำให้นางรับรู้ได้ถึงความเด็ดขาดของหนิวโหย่วเต้าแล้วเช่นกัน ดูไม่คล้ายเด็กหนุ่มเฉื่อยชาในความทรงจำของนางผู้นั้นสักเท่าไร

เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เมื่อในอดีตทำให้นางรู้สึกผิดต่อหนิวโหย่วเต้ามาโดยตลอด ครานี้เมื่อได้พบกันแล้ว นางก็เพียงแค่อยากจะทำดีชดใช้ให้หนิวโหย่วเต้า ผู้ใดจะทราบว่าหนิวโหย่วเต้ากลับหนีไปเช่นนี้ เพิ่งพบหน้ากันไม่ทันไรก็จากไปเช่นนี้เสียแล้ว

นอกจากความรู้สึกละอายใจแล้ว ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของทั้งสองคนอันนั้นก็มิใช่สิ่งที่นึกจะบอกว่าไม่สนใจก็ไม่สนใจได้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรี สุดท้ายยังคงยากจะหนีรอดไปจากค่านิยมศีลธรรมที่สืบเนื่องต่อๆ กันมาในโลกได้ ท้ายที่สุดแล้วก็ยังทิ้งปมเลือนรางบางอย่างไว้ในใจของนาง

ตัวนางเองก็ตระหนักได้เช่นกันว่าความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยานี้ได้ทำให้ความรู้สึกของนางเปลี่ยนไป เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ทั้งสองพูดคุยกันอย่างอิงแอบแนบชิดภายในห้องครัว ปกติแล้วนางไม่มีทางใกล้ชิดกับชายอื่นในระยะใกล้ขนาดนี้ได้ มักจะหลบเลี่ยงเสมอมา ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหนิวโหย่วเต้ากลับคล้ายมิได้คิดที่จะหลบหลีกเลย หลงลืมความคิดที่จะหลบหลีกไป กระซิบกระซาบกันอย่างใกล้ชิดเช่นนั้น ตอนนี้พอคิดขึ้นมาแล้วถึงจะรู้ตัวขึ้นมา

ครั้งล่าสุดที่ได้ใกล้ชิดกันขนาดนั้นคล้ายจะเป็นตอนเกี่ยวแขนดื่มสุราในเรือนหอ หนิวโหย่วเต้าในยามนั้นยังสูงไม่เท่าตนเลย ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น ยามคล้องแขนก้มหน้า แม้แต่ตัวนางก็ยังรู้สึกว่าน่าขบขัน ยามนี้ได้ยืนเคียงข้างกัน นางถึงได้ตระหนักแล้วว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเติบโตแล้ว ร่างกายสูงใหญ่กว่าตน กลายเป็นบุรุษคนหนึ่งแล้ว

คล้ายว่าคำพูดที่เคยพูดคุยกันในช่วงเวลาห้าปีในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ยังไม่มากเท่าคำพูดที่นางกับเขาพูดคุยกันในครั้งนี้เลย

นึกจะหนีก็หนีไป ไม่แม้แต่จะบอกกล่าวกันสักคำ ต่อให้ไม่เกลียดชังนาง แต่คาดว่าคงไม่มีความรู้สึกดีๆ อันใดให้ ซึ่งนางเองก็เข้าใจว่าในอดีตสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้สร้างความเจ็บปวดเอาไว้ให้อีกฝ่ายมากมายเพียงใด

เพียงแต่เวลานี้เขาเติบโตแล้ว กลายเป็นบุรุษคนหนึ่งแล้ว อยู่ด้านนอกจะพบพานสตรีอื่นบ้างหรือไม่ ทั้งสตรีที่เขาชอบ หรือสตรีที่ชอบเขา หากว่าเขามีสตรีอื่น ตนจะนับเป็นอันใด? คล้ายว่าตนจะไม่มีสิทธิ์ไปว่าอะไรได้เช่นกัน

ผีเสื้อจันทราส่องแสงอ่อนละมุน สตรีข้างโต๊ะงามงดปานบุปผา นั่งเหม่อเลื่อนลอย

…..

ไม่ได้ขี่ม้า แล้วก็ไม่กล้าใช้ถนนหลวง ทางไหนเปลี่ยวร้างไร้ผู้คนก็ไปทางนั้น

พวกเฮยหมู่ตานไม่ค่อยเข้าใจ ดูเหมือนเต้าเหยี่ยจะหวั่นเกรงเซ่าผิงปอคนนั้นเป็นอย่างยิ่ง แต่ประเด็นสำคัญคือพวกนางไม่เห็นเซ่าผิงปอคนนั้นจะทำอะไรเลย ไยต้องหวั่นเกรงถึงเพียงนี้ด้วย?

เรียกได้ว่าหลบหนีกันโดยมิได้หยุดทั้งคืน เดินทางกันจนกระทั่งแสงอรุณเผยขึ้นที่ปลายขอบฟ้า ทั้งกลุ่มถึงได้หยุดลงในป่าแห่งหนึ่ง แต่ละคนเหน็ดเหนื่อยปานสุนัขใกล้ตาย ยามนี้หากมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมปราณโผล่มาสักคนก็สามารถสังหารพวกเขาทั้งกลุ่มได้แล้ว

ความจริงการทำแบบนี้อันตรายเป็นอย่างมาก เอาแต่เดินทางอยู่ป่าเขา หากมีมารปีศาจหรือภูตผีอันใดแฝงเร้นอยู่ เกิดถูกหมายตาเข้าคงเจอปัญหาแน่

“น่าจะไม่มีทางตามมาเจอแล้ว ทุกคนรีบฟื้นฟูกำลังเถอะ” หนิวโหย่วเต้าโบกมือสั่งการ ตัวเขานั่งขัดสมาธิลงไป

พวกเฮยหมู่ตานเองก็นั่งลงทีละคน หยิบโอสถวิญญาณออกมาโยนใส่ปาก รีบนั่งสมาธิฟื้นกำลัง

กระทั่งดวงตะวันลอยขึ้นสู่ฟ้า พละกำลังของทุกคนถึงทยอยฟื้นฟูกลับมา กลับมากระฉับกระเฉงกันอีกครั้ง เพียงแต่เมื่อมองสำรวจรอบข้าง หลบหนีกันมาทั้งคืน ไม่รู้เลยว่าหนีมาไกลแค่ไหน แล้วก็ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ที่ใดแล้ว

หลังแยกกันไปสำรวจดูก็พบเส้นทางหลวงสายหนึ่ง เมื่อดักถามคนที่ผ่านทางมา ถึงได้ทราบว่าใกล้จะถึงสถานที่ที่เรียกว่าอำเภอฉินอันแล้ว

เมื่อกางแผนที่ดู ลองคำนวณดูเล็กน้อย หากคำนวณระยะทางในแนวเส้นตรงบนแผนที่ล่ะก็ เมื่อคืนพวกเขาวิ่งมาได้ประมาณแปดร้อยกว่าลี้แล้ว

ภายในป่าที่อยู่ข้างทาง หนิวโหย่วเต้ามองดูแผนที่ที่กางเปิดเอาไว้ ไม่ทราบว่าคิดอันใดอยู่ เฮยหมู่ตานเอ่ยถามว่า “เต้าเหยี่ย จะไปไหนกันต่อเจ้าคะ?”

แม้นตลอดทางจะวกไปวนมาอยู่หลายครั้ง แต่ทั้งสี่สังเกตเห็นแล้วว่าหนิวโหย่วเต้ามุ่งหน้าขึ้นเหนือตลอด ไม่ทราบเช่นกันว่าคิดจะทำอะไร ไม่ยอมเปิดเผยเลยว่าจะมุ่งหน้าไปที่ไหน

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “จากนี้แยกกันเดินทาง!”

“แยกกันหรือขอรับ?” ต้วนหู่เอ่ยเตือน “เต้าเหยี่ย ตระกูลเซ่ามีกองกำลังของตัวเอง มาตรว่าจะสวามิภักดิ์กับแคว้นหานแล้ว แต่ความสัมพันธ์ที่มีต่อแคว้นหานก็ไม่นับว่าดีนัก อีกทั้งตระกูลเซ่าก็เพิ่งแยกตัวออกมาจากแคว้นเยี่ยนได้ไม่นาน รากฐานยังไม่หยั่งลึก ขอบเขตอิทธิพลน่าจะยังไม่ขยายออกมานอกมณฑลเป่ยโจว อีกทั้งเขาเองก็ไม่ทราบว่าพวกเราใช้เส้นทางไหน น่าจะไม่เกิดปัญหาอันใดขึ้นกระมังขอรับ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า