ตอนที่ 175 เจ้าฉลาดจริงๆ
ทั้งกลุ่มเหาะเหินอยู่กลางอากาศ ขณะยังไปไม่ถึงหุบเขา หนิวโหย่วเต้าได้กลิ่นกำมะถันโชยมา จึงเข้าใจสาเหตุที่ไม่มีหิมะปกคลุมอยู่ในหุบเขาแล้ว
ทั้งกลุ่มเหินลงมาจากอากาศ ร่อนลงตรงปากทางเข้าหุบเขา อากาศอบอุ่นโชยปะทะใบหน้า แตกต่างกับความหนาวเย็นในโลกหิมะด้านนอกอย่างสิ้นเชิง
น้ำแข็งหลอมละลายกลายเป็นแม่น้ำคดเคี้ยวสายหนึ่งอยู่กึ่งกลางหุบเขา มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเดินขวักไขว่ไปมาอยู่ในหุบเขา แล้วก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่หันมามองพวกเขา สาเหตุที่ผู้คนหันมามองเป็นเพราะหมวกของคนงานในจุดพักม้าที่พวกหนิวโหย่วเต้าสวมใส่ เพราะมันบดบังใบหน้าที่แท้จริงเอาไว้
ผาหินที่อยู่ทั้งสองด้านของหุบเขาดูคล้ายขั้นบันไดขนาดใหญ่ที่ไล่ระดับเป็นขั้นๆ ขึ้นไป ด้านบนของปากโพรงถ้ำแต่ละแห่งที่ตั้งเรียงรายล้วนสลักลวดลายแตกต่างกันไป นั่นน่าจะเป็นร้านค้าของสำนักนิกายต่างๆ เรียกได้ว่ามีจำนวนมากมายยิ่งนัก
ส่วนรูปแบบในการคงอยู่ของร้านค้าก็เป็นเช่นเดียวกับในเมืองไจซิง
พวกเผยเหนียงจื่อมองดูพวกหนิวโหย่วเต้าเป็นระยะๆ ตอนอยู่ด้านนอกยังพอจะพูดได้ว่าสวมหมวกเพื่อกันลมกันหิมะ แต่มาถึงสถานที่แห่งนี้แล้วยังไม่ถอดออก นี่ทำให้พวกนางอดครุ่นคิดขึ้นมาไม่ได้
ทั้งสองกลุ่มต่างไม่ได้บอกว่าจะไปไหน ทว่ามุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกัน มุ่งสู่โรงเตี๊ยมเลื่อมรุ้งที่อยู่สุดปลายหุบเขา คาดว่าน่าจะตั้งชื่อตามสายรุ้งที่พาดอยู่เหนือหุบเขาตัวนั้น ได้ยินว่าขอเพียงอากาศแจ่มใส สายรุ้งตัวนั้นจะคงอยู่ตลอด
ตัวโรงเตี๊ยมที่ตั้งอยู่ปลายหุบเขาดูเสมือนกำแพงขนาดใหญ่ ไม่มีความงดงามใดๆ มีเพียงหลังคาโค้งมนด้านบนที่พอจะดูงามอยู่บ้าง
ด้านล่างโรงเตี๊ยมถูกเจาะเป็นช่องคล้ายสะพานแบบโค้ง หิมะที่หลอมละลายไหลเป็นธารน้ำ เหนือสายน้ำมีสะพานแบบโค้งอยู่จริงๆ แห่งหนึ่ง เป็นทางเชื่อมเข้าสู่ประตูหน้าของโรงเตี๊ยมที่อยู่ด้านบน
ปลายสะพานทั้งสองด้านมีคนจำนวนหนึ่งเดินไปเดินมา ทำให้พวกเฮยหมู่ตานรู้สึกทอดถอนใจเป็นอย่างยิ่ง ในอดีตพวกนางก็เคยเดินเตร็ดเตร่อย่างมีความหวังต่ออนาคตเหมือนพวกเขาเหล่านั้นเช่นกัน จู่ๆ ก็หลุดพ้นออกมากะทันหัน เมื่อได้เห็นอีกครั้ง อารมณ์นับร้อยเกี่ยวกระหวัดรัดพันอยู่ภายในใจ อดมองไปทางคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าผู้นั้นไม่ได้ คนที่ทำให้พวกนางได้หลุดพ้นออกมาจากชีวิตเมื่อในอดีต
เมื่อเดินมาถึงประตูทางเข้าโรงเตี๊ยม หนิวโหย่วเต้าดึงส่วนที่ปิดหูทั้งสองข้างของหมวกขึ้น ถอดหมวกออกจากศีรษะ พวกเฮยหมู่ตานก็ถอดออกตามเขาเช่นกัน
หมวกจำนวนหนึ่งถูกโยนออกไป หล่นลงไปใต้สะพาน ลอยไปตามกระแสน้ำ
เมื่อเข้าไปในโรงเตี๊ยม เสี่ยวเอ้อก็เข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น
หนิวโหย่วเต้าที่ติดนิสัยไปไหนก็ต้องมองสำรวจสถานการณ์รอบข้างก่อนพลันตกตะลึงไปเล็กน้อย เนื่องจากมองเห็นคนที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พบเข้า
ทุกคนที่เดินเข้ามาพร้อมกันเห็นว่าจู่ๆ เขาก็หยุดฝีเท้าลง จึงหันมองตามไป
เว่ยตัวที่นั่งอยู่ทางด้านหนึ่งของโถงโรงเตี๊ยมก็ตะลึงไปเช่นกัน ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เดินเข้ามาหาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะทำความเคารพด้วยความนอบน้อม “ท่านเจ้า…”
“ไสหัวไป!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยขัดคำพูดเขาอย่างไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย
เว่ยตัวลำบากใจ อึกอักคล้ายอยากจะพูดอะไร แต่ถูกหนิวโหย่วเต้าถลึงตาใส่ สุดท้ายจึงก้มหน้าเดินออกไป เร่งฝีเท้าเดินให้เร็วขึ้น วิ่งออกไปจากโรงเตี๊ยม
พวกเผยเหนียงจื่อและพวกเฮยหมู่ตานต่างมองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หนิวโหย่วเต้าไม่ได้เก็บเรื่องเว่ยตัวมาใส่ใจ เดินไปที่โต๊ะเก็บเงินของทางโรงเตี๊ยมพร้อมกับพวกเผยเหนียงจื่อ
เขาไม่รู้ว่าเว่ยตัวติดตามผู้ใดมา มิเช่นนั้นเขาคงไม่ทำแบบนี้เป็นแน่
“ทุกท่าน ขออภัยด้วย ห้องพักของโรงเตี๊ยมเต็มแล้วขอรับ” เถ้าแก่ที่อยู่หลังโต๊ะเก็บเงินประสานมือกล่าวขออภัย “หากว่าไม่รังเกียจ ทุกท่านจะนั่งคอยอยู่ด้านข้างสักครู่ก่อนก็ได้ ทางเรามีน้ำชาคอยบริการโดยไม่คิดเงิน รอดูว่าอีกสักพักจะมีลูกค้าคืนห้องบ้างหรือไม่”
เผยเหนียงจื่อถาม “แน่ใจหรือว่าจะมีคนคืนห้อง?”
เถ้าแก่ตอบด้วยรอยยิ้ม “น่าจะมีขอรับ มีคนเข้าพักและคืนห้องอยู่ทุกวัน แต่ระบุเวลาที่แน่ชัดไม่ได้”
“คุณชาย เช่นนั้นพวกเรารอกันก่อนเถอะเจ้าค่ะ” เผยเหนียงจื่อเอ่ยกับชายหนุ่มตุ้งติ้ง ชายหนุ่มตุ้งติ้งมุ่ยปากเล็กน้อย ดูไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
หนิวโหย่วเต้าทราบสถานการณ์ของตนดี เขาจำเป็นต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย จึงย่อมต้องตกลงรอห้องพักเช่นกัน
ทั้งกลุ่มไปนั่งรออยู่ด้านหนึ่งของโถงโรงเตี๊ยม มีเสี่ยวเอ้อยกชามาส่งให้อย่างว่องไว
จู่ๆ ชายหนุ่มตุ้งติ้งก็เอ่ยขึ้นมา “อีกเดี๋ยวหากมีห้องว่าง ข้าจะเข้าพักก่อน!” ในตอนที่กล่าวประโยคนี้ก็ยังเหลือบมองหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อยด้วย
เมื่อนางเอ่ยมาเช่นนี้ ทุกคนผงะไปเล็กน้อย พบว่ามีปัญหาในข้อนี้อยู่จริงๆ จะให้มีคนคืนห้องจำนวนมากขนาดนี้ในเวลาเดียวกันคงเป็นไปไม่ได้กระมัง?
สำหรับพวกเผยเหนียงจื่อแล้ว หากมีห้องว่างก็ย่อมต้องยกให้ ‘คุณชาย’ ของตนเข้าพักก่อนอยู่แล้ว แต่พวกหนิวโหย่วเต้ามิใช่คนในกลุ่มของพวกเขา ไม่มีความจำเป็นต้องยอมหลีกทางให้ฝั่งนี้
เผยเหนียงจื่อมองหนิวโหย่วเจ้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย “คุณชายหลี่ ท่านว่าเรื่องนี้พอจะหารือกันได้หรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้าเหลือบมองสายตาเย่อหยิ่งท้าทายที่ชายหนุ่มตุ้งติ้งส่งมา เอ่ยหยอกล้อว่า “คุณชาย พวกเรามิสู้มาเดิมกันพันอีกสักครั้งเป็นอย่างไร?”
ชายหนุ่มตุ้งติ้งถลึงตาใส่ เอ่ยถามว่า “เดิมพันอะไร?”
หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “พวกเรามาเดิมพันกันว่าหลังจากโรงเตี๊ยมมีห้องว่างแล้ว ทางโรงเตี๊ยมจะเชิญใครเข้าพักก่อน เดิมพันยังคงเป็นเงินหนึ่งล้านเหรียญทอง แน่นอน ท่านเขียนสัญญาค้างชำระไว้ก่อนได้!”
พวกเผยเหนียงจื่อพูดไม่ออก สัญญาค้างชำระอีกแล้ว นี่มันจงใจยั่วยุผู้อื่นมิใช่หรือ
ชายหนุ่มตุ้งติ้งคล้ายโมโหขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยถึงสัญญาค้างชำระหนึ่งล้านเหรียญทองอีกแล้ว ทำราวกับนางจะแพ้แน่นอนอย่างไรอย่างนั้น “นึกว่าข้ากลัวอย่างนั้นเหรอ เดิมพันก็เดิมพันสิ!”
หนิวโหย่วเต้าหันกลับไปสั่งการเฮยหมู่ตานทันที “ไปจ่ายเงินจองที่โต๊ะเก็บเงิน…”
ฟุ่บ! ยังไม่ทันเอ่ยจบ เงาร่างคนผู้หนึ่งพลันถลาออกไป ชายหนุ่มตุ้งติ้งพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ไปถึงหน้าโต๊ะเก็บเงินแล้ว ตะโกนลั่นว่า “เถ้าแก่ ข้าจะจ่ายเงินไว้ก่อน ถ้ามีห้องต้องเอามาให้พวกเราก่อน!”
“…..” พวกเผยเหนียงจื่อและพวกหนิวโหย่วเต้าต่างตกตะลึงตาค้าง พบว่าปฏิกิริยาของชายหนุ่มตุ้งติ้งผู้นี้รวดเร็วจริงๆ!
หนิวโหย่วเต้าเรียกเฮยหมู่ตานเข้ามาใกล้ๆ กระซิบสั่งการข้างหูนาง “เจ้าก็ไปลงชื่อจองเอาไว้ก่อน ใช้ชื่อที่แท้จริงของพวกเจ้า ส่วนของข้าให้ใช้ชื่อเดียวกับที่โรงเตี๊ยมเชิญจันทร์ เซวียนหยวนเต้า!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า