ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 187

ตอนที่ 187 มั่นใจใช่ไหม?

หนิวโหย่วเต้ามึนงง ขณะที่กำลังจะถามเขาว่าจะทำอย่างไร จู่ๆ เฮยหมู่ตานก็เคาะประตูแล้วเปิดเข้ามาอีกครั้ง รายงานอยู่ตรงประตูว่า “เต้าเหยี่ย เถ้าแก่ฉู่มาเจ้าค่ะ”

หนิวโหย่วเต้าและหยวนกังสบตากัน ได้แต่ต้องหยุดการสนทนาเอาไว้ชั่วคราว “เชิญเข้ามา!”

“ฮ่าๆ!” ยังไม่ทันได้เห็นตัวคน เสียงหัวเราะของฉู่อันโหลวก็ลอยนำมาก่อนแล้ว เขาเร่งฝีเท้าก้าวเข้ามา ประสานมือเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ได้ยินว่าท่านเซวียนหยวนเดินไปทั่วเพื่อคัดเลือกพื้นหลังประกอบภาพวาด ลำบากท่านแล้ว ไม่ทราบว่าราบรื่นดีหรือไม่ขอรับ?”

ก่อนหน้านี้เขาชงชารออยู่ในศาลาที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำด้านหลังโรงเตี๊ยม ผู้ใดจะทราบว่าหนิวโหย่วเต้าจะไม่ได้กลับมาตามเส้นทางเดิม หากแต่กลับมายังโรงเตี๊ยมโดยใช้อีกเส้นทางหนึ่ง จนกระทั่งได้รับรายงานจากเสี่ยวเอ้อ เขาจึงรีบตามมาสอบถามสถานการณ์ทันที

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ราบรื่นดี เลือกภาพพื้นหลังได้บางส่วนแล้ว คืนนี้ข้าจะใคร่ครวญดูแล้วทำการเลือกอีกครั้ง พรุ่งนี้ต้องทำให้ท่านประมุขประทับใจได้แน่นอน”

“ดีขอรับๆ!” ฉู่อันโหลวพยักหน้าหงึกๆ เมื่อได้ยินว่าราบรื่นดี ตัวเขาก็วางใจ “ท่านพักผ่อนเถอะ ข้าไม่รบกวนเวลาท่านแล้ว หากต้องการสิ่งใดก็สั่งทางโรงเตี๊ยมได้ตลอดเวลา ทางนี้จะจัดการให้ท่านทันที!”

เขาประสานมือเตรียมกล่าวอำลา ทว่าหนิวโหย่วเต้ากลับเรียกเขาเอาไว้ “ช้าก่อน!”

ฉู่อันโหลวชะงัก เอ่ยถามว่า “มีเรื่องใดจะสั่งการหรือขอรับ?”

หนิวโหย่วเต้าเดินเข้ามาหา หยิบเอาตั๋วแลกทองปึกหนึ่งที่ได้รับมาก่อนหน้านี้ออกมา ดึงออกมาครึ่งหนึ่งโดยไม่ทำการนับใดๆ ยัดครึ่งที่มากกว่าใส่มือฉู่อันโหลว

ฉู่อันโหลวมึนงง ไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไร รีบดันกลับ “นี่หมายความว่าอย่างไรขอรับ?”

หนิวโหย่วเต้าบังคับยัดใส่มือเขา “ครั้งนี้ได้เงินก้อนนี้มา ต้องขอบคุณเถ้าแก่ฉู่ที่ประสานงานให้ น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ อย่าได้รังเกียจว่าน้อยไปเลย”

พอได้ยินก็รู้ว่าเป็นการแบ่งปันผลประโยชน์ ฉู่อันโหลวจับดูความหนาของตั๋วแลกทองในมือ ภายในใจพลันฉุกคิดขึ้นมา พบว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนใจกว้างธรรมดาจริงๆ แบ่งตั๋วแลกทองให้เขาปึกหนึ่งโดยไม่แม้แต่จะมองหรือนับให้ถี่ถ้วน นี่นับเป็นเงินก้อนโตจริงๆ!

เรื่องราวล้วนอยู่ในการควบคุมของตน ไม่มีอะไรที่ทำให้เขาไม่กล้ารับเอาไว้ หากว่าเป็นเรื่องอื่นที่มีอะไรไม่ชอบพากลและดูอันตราย เขาคงจะไม่กล้ารับไว้จริงๆ

เขาเก็บตั๋วแลกทองเข้ากระเป๋า แต่ปากยังคงเอ่ยไปว่า “หากข้าไม่รับไว้ เกรงว่าท่านคงไม่สบายใจ นั่นอาจจะส่งผลให้วาดรูปท่านประมุขได้ไม่ดีเอาได้ เอาอย่างนี้แล้วกัน ฝากไว้ที่ข้าก่อน รอจนถึงยามที่ท่านจะจากไปแล้ว ข้าค่อยคืนให้ท่าน” เพราะว่าเรื่องวาดภาพยังไม่แล้วเสร็จ เขาต้องเหลือทางถอยไว้ให้ตัวเองเผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น บอกกล่าวกับอีกฝ่ายให้ชัดเจนไว้ก่อนว่าตนไม่มีทางรับเงินก้อนนี้ไว้

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เถ้าแก่ฉู่กล่าวหนักไปแล้ว”

หยวนกังขมวดคิ้ว เรื่องประเภทที่ถูกคนเขาตบหน้าแล้วยังยิ้มแย้มยื่นเงินส่งให้เช่นนี้เขาทำไม่ได้ สรุปแล้วคือภายในใจรู้สึกอึดอัด จึงเบือนหน้าหนีไปอีกด้าน

ฉู่อันโหลวปรายตามอง สังเกตเห็นปฏิกิริยาของหยวนกัง สองมือประสานกันไว้ตรงหน้าท้อง พลันถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “เดิมทีหากว่ากันตามหลักแล้ว หลังวาดภาพเสร็จท่านก็สมควรต้องออกไปจากที่นี่ แต่หากท่านทำให้ท่านประมุขพึงพอใจได้ โรงเตี๊ยมก็มีเหตุผลในการรับรองท่านเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน เอาอย่างนี้แล้วกัน หลังวาดภาพเสร็จ ท่านก็พักอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสักระยะ เมื่อจัดการธุระของตนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ให้รีบจากไปโดยเร็ว ในส่วนนี้ข้าพอจะทำให้ได้อยู่”

หนิวโหย่วเต้าลอบยินดีอยู่ในใจ นี่คือสิ่งที่เขาต้องการอยู่พอดี ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรตน แต่ความจริงกลับเป็นการช่วยตนอย่างมาก อีกฝ่ายก็นับเป็นคนที่รู้ความคนหนึ่ง เขาจึงประสานมือเอ่ยขอบคุณทันที “เรื่องที่เถ้าแก่ฉู่สั่งกำชับ แซ่หนิวจดจำไว้แล้ว ไม่กล้ารั้งอยู่นานไปจนเป็นการรบกวนแน่นอน”

“ข้าไม่รบกวนท่านแล้วกัน” ฉู่อันโหลวยิ้มเล็กน้อยพร้อมพยักหน้าให้ ยกมือไพล่หลังเดินจากไป

“เฮยหมู่ตาน ไปส่งเถ้าแก่ฉู่แทนข้าที” หนิวโหย่วเต้าโบกมือสั่งเฮยหมู่ตานทันที

ฉู่อันโหลวที่หันหลังอยู่โบกมือเล็กน้อย เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร” จากนั้นเดินหายลับออกไปด้านนอกห้อง

เฮยหมู่ตานไม่รู้จะไปหรือไม่ไปดี มองออกไปนอกประตู จากนั้นก็มองหนิวโหย่วเต้า

ภายในห้องเงียบสงัดอยู่พักหนึ่ง หนิวโหย่วเต้าโบกมืออีกครั้ง “เจ้าออกไปก่อน”

“เจ้าค่ะ!” เฮยหมู่ตานตอบรับ มองหนิวโหย่วเต้าเงียบๆ แวบหนึ่ง ภายในใจลอบถอนใจ เอาเงินมากขนาดนี้มาจากไหนอีก วาดภาพอีกแล้วอย่างนั้นหรือ? ตั๋วแลกทองที่ล้วงออกมาปึกนั้นมีจำนวนเท่าไร ถูกอีกฝ่ายตบหน้าเข้าแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะยังยิ้มแย้มมอบเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้นให้ได้อีก!

กระทั่งเฮยหมู่ตานออกไป ประตูปิดเรียบร้อยแล้ว หนิวโหย่วเต้าหยิบตั๋วแลกทองที่เหลือออกมานับดูเล็กน้อย จากหนึ่งร้อยใบเหลืออยู่สี่สิบสามใบ หายไปกว่าครึ่งในชั่วพริบตา

หนิวโหย่วเต้ารวมตั๋วแลกทองเข้าด้วยกัน ยื่นส่งให้หยวนกัง

หยวนกังรับไป ทราบดีว่าเขาติดนิสัยไม่พกเงินติดตัว ขณะที่รับไปก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงสัย “เต้าเหยี่ย คุณวาดภาพให้เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ เขาเองก็ไม่กล้าทำอะไรคุณในโรงเตี๊ยมแล้ว จำเป็นต้องทำให้ตัวเองคับข้องใจแบบนี้ด้วยหรือ?”

“คับข้องใจ?” หนิวโหย่วเต้ายกมือไพล่หลังเดินไปหยุดตรงริมหน้าต่าง มองแสงสว่างที่ค่อยๆ ลับขอบฟ้าไป ใบหน้าที่อยู่ภายใต้แสงสลัวดูอึมครึมไม่ชัดเจน “ไม่คับข้องใจเลยแม้แต่นิดเดียว ใช่ว่านายเองจะไม่รู้ เพียงแค่ไม่อยากจะยอมรับเท่านั้น ในสถานที่ที่คนกินคนแบบนี้ พวกเราพกเงินติดตัวมากขนาดนี้ หากถูกคนเห็นเข้าย่อมไม่ใช่เรื่องดีอะไร ที่คนชอบกล่าวกันว่าสละทรัพย์ขจัดภัยก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล กล่อมให้เขามีความสุข ให้เขาได้เงินไปเยอะกว่า เขาถึงจะไม่สร้างปัญหาอะไรที่ไม่จำเป็น พวกเราถึงจะปลอดภัย”

“นายก็น่าจะรู้ถึงสถานการณ์ดี พวกเราถูกเปิดโปงแล้ว ทางสำนักเซียนสถิตได้เตรียมการเอาไว้แล้ว ถ้าเจรจากันไม่ลงตัว โอกาสรอดของพวกเราก็ริบหรี่มาก เมื่อถึงเวลานั้นเรายังพอหาทางไปขอความช่วยเหลือจากเถ้าแก่ฉู่คนนี้ได้ ชีวิตสำคัญหรือเงินทองสำคัญล่ะ? เงินมากแค่ไหนถึงจะซื้อชีวิตตัวเองได้? ยิ่งไปกว่านั้นคือเมื่อกี้เขารับปากเป็นนัยๆ แล้วว่าจะให้ความช่วยเหลือพวกเราอย่างเงียบๆ นี่ทำให้ฉันมีความมั่นใจมากขึ้นว่าจะเจรจาสำเร็จ”

หยวนกังถาม “คุณไม่กลัวเขากลับคำเหรอ?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “กลับคำ? ได้เงินไปก้อนใหญ่ขนาดนี้ เขาไม่กล้ากลับคำแล้ว หากเรื่องราววุ่นวายใหญ่โตขึ้นมา เขาเองก็ต้องรับผิดชอบด้วยเหมือนกัน”

หยวนกังก้มหน้าเงียบงัน เอ่ยเสียงเบา “เต้าเหยี่ย ขอโทษครับ!”

เต้าเหยี่ยที่ชาติก่อนอยู่ในวัยใกล้เกษียณ จะใต้ดินบนดินล้วนแต่ต้องไว้หน้า ถูกคนพูดจาหยาบคายใส่น่ะพอมีบ้าง แต่เหตุการณ์ที่ถูกตบหน้าต่อหน้าผู้คนมากมายไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ครั้งนี้หากมิใช่เพราะตนหัวรั้นลากเต้าเหยี่ยเข้ามาพัวพัน ก็คงไม่เกิดเหตุการณ์ที่ถูกฉู่อันโหลวดูหมิ่นเหยียดหยามเช่นนี้ขึ้น

ภาพเหตุการณ์นั้นเป็นเหมือนหนามแหลมที่ทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของเขา

“บางเส้นทางเมื่อก้าวเข้าไปแล้วก็ไม่มีทางย้อนกลับไปได้อีก ถ้าไม่ตกลงไป ก็ต้องเดินหน้าต่อ จะมาพูดขอโทษก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว” หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจเบาๆ ยื่นมือไปปิดหน้าต่าง หันกลับมาถาม “เมื่อกี้นี้นายพูดเรื่องผลตะวันชาด นายมีวิธีเหรอ?”

หยวนกังเงยหน้าขึ้น “ปีศาจหิมะพวกนั้นน่าจะไม่ขวางถ้าผมเข้าไปเด็ด”

หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า “อันตรายเกินไป ปีศาจหิมะพวกนั้นไม่ขวางนาย แต่นั่นก็หลังจากที่พวกมันเข้ามาใกล้นายแล้ว ในตอนที่นายยังไม่เข้าไปใกล้ พวกมันยังคงส่งเสียงดังไม่น้อย แล้วไหนจะยังมีผู้บำเพ็ญเพียรที่เฝ้าภูเขาอีก นายไม่มีทางเคลื่อนที่ไปบนพื้นหิมะโดยไม่ทำให้เกิดเสียงใดๆ ได้ เสียงเดินย่ำหิมะที่ดังสวบสาบในตอนที่ปีนขึ้นไปไม่สามารถปิดบังพวกเขาได้ อีกทั้งนายก็ไม่รู้ว่าตรงไหนมีผู้คุ้มกันเฝ้าอยู่บ้าง”

หยวนกังกล่าวว่า “ลงมาจากบนฟ้าได้”

“มองจากระยะห่างรอบข้างแล้ว ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มีสภาวะระดับโอสถทองก็ต้องร่อนลงพื้นเช่นกัน ไม่มีทางร่อนลงไปบนยอดเขาโดยตรงได้ นอกเสียจากจะหยิบยืมวิหคที่เป็นพาหนะมา แต่ไม่ว่าจะยืมหรือซื้อก็ล้วนดึงดูดความสนใจคนได้ง่าย…” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยมาถึงตรงนี้ แววตาพลันวูบไหว คล้ายจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงลองถามไปว่า “มั่นใจใช่ไหม?”

หยวนกังพยักหน้ารับ “น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”

หนิวโหย่วเต้าไพล่มือไว้ด้านหลัง เดินกลับไปกลับมาพลางใคร่ครวญเล็กน้อย สุดท้ายยังคงส่ายหน้า “ไม่ได้ ทันทีที่ผลตะวันชาดหายไป หากมีเซ่าผิงปอแอบจับตามองอยู่ ไม่นานหอหิมะเหมันต์ก็จะรู้ว่าเป็นฝีมือใคร ได้มาก็เหมือนไม่ได้ ไม่สามารถเอาไปให้เซียวเทียนเจิ้นใช้ได้”

หยวนกังกล่าวว่า “อย่างนั้นก็ทำลายต้นตะวันชาดไปด้วยกันซะ!”

หนิวโหย่วเต้าหันขวับกลับมา “หมายความว่ายังไง?” เขารู้ว่าเจ้าลิงน่าจะไม่พูดอะไรที่ไม่เข้าท่าแน่

หยวนกังตอบว่า “อย่างเช่นภัยธรรมชาติ!”

“ภัยธรรมชาติ?” หนิวโหย่วเต้าสงสัย “ภัยธรรมชาติแบบไหนที่จะไม่ทำให้หอหิมะเหมันต์สงสัย? แล้วบนยอดเขาลูกนั้นจะไปมีภัยธรรมชาติแบบไหนได้?”

หยวนกังเล่าว่า “ตอนอยู่ในมณฑลจินโจวผมระเบิดเรือนสุคนธาไป พอมาถึงที่นี่ผมก็ลองสอบถามข่าวคราวของทางมณฑลจินโจวดู ปรากฏว่ามีข่าวลือมาจากฝั่งมณฑลจินโจว ลือกันว่ามีอุกกาบาตหล่นลงมาจากฟ้าพุ่งชนเรือนสุคนธา”

“……” หนิวโหย่วเต้ากระจ่างในทันใด

หยวนกังกล่าวว่า “เรื่องระเบิดผมมั่นใจว่าหามาได้ มีเพียงเรื่องเดียวที่ผมกังวลคือต่อให้ลงมือจัดการเรื่องนี้อย่างรอบคอบรัดกุมแค่ไหน แต่คุณและผมก็ล้วนแต่เคยพักอยู่ในมณฑลจินโจวมาก่อน ถ้ามณฑลจินโจวและหอหิมะเหมันต์เกิดเรื่องทำนองเดียวกัน ทั้งยังโยงเข้ากับผลตะวันชาดได้ทั้งคู่ มันก็มีความเป็นไปได้ที่จะถูกคนนึกสงสัยเข้า ดังนั้นเรื่องนี้จึงมีความเสี่ยงอยู่บ้างไม่มากก็น้อย ”

หนิวโหย่วเต้าเดินไปที่เก้าอี้แล้วค่อยๆ นั่งลงไป หลับตาลงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้

หลังนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เขาก็เคาะนิ้วลงบนที่พักแขนเบาๆ เอ่ยเนิบๆ ว่า “เซ่าผิงปอ…เซ่าผิงปอ…ถ้าไม่กำจัดคนคนนี้ ต่อไปจะกลายเป็นตัวปัญหาได้!”

หยวนกังเอ่ยว่า “ให้ผมให้ที่มณฑลเป่ยโจวสักรอบเถอะ ผมจะคิดหาทางลงมือ”

“อันตรายเกินไป” หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าช้าๆ จากนั้นลืมตาขึ้นมา “ฉันจะเล่นกับเขาสักหน่อยแล้วกัน ฉันก็อยากเห็นนักว่าครั้งนี้เขาจะเอาตัวรอดยังไง…รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ฉันอยากรู้ข้อมูลคร่าวๆ ของทางเซ่าผิงปอ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์อยู่ที่มณฑลเป่ยโจว นายรีบส่งเว่ยตัวกลับไป พอไปถึงที่นั่นแล้วพยายามให้เขาปรากฏตัวให้น้อยที่สุด สั่งกำชับเขาให้ชัดเจนว่าควรระมัดระวังตัวยังไง”

หยวนกังเข้าใจเจตนาของเขา จึงถามไปว่า “แล้วเรื่องผลตะวันชาดละครับ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “จะรีบร้อนลงมือไม่ได้ ถ้าลงมือตอนนี้ มันก็เป็นไปได้ยากที่จะไม่มีใครสงสัย สืบข้อมูลทางเซ่าผิงปอมาก่อน ส่วนเรื่องอื่นเดี๋ยวฉันดูสถานการณ์แล้วค่อยว่ากันอีกที”

หยวนกังพยักหน้ารับ หันหลังเร่งฝีเท้าเดินออกไปจากห้อง กลับไปหาเว่ยตัวที่ห้องของตน

ไม่นานนัก เว่ยตัวออกจากโรงเตี๊ยมเลื่อมรุ้งไปในยามวิกาล มีต้วนหู่ อู๋ซานเหลี่ยงและเหลยจงคังเดินทางไปด้วย

ทั้งสี่คนไม่ได้เดินทางจากไปในทันที หากแต่ไปที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์ก่อน ซื้อปีกทองพกติดตัวไปด้วย จากนั้นต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงคุ้มกันเว่ยตัวออกไปจากเขตพื้นที่หิมะที่อันตรายแห่งนี้ ส่วนเหลยจงคังนำกล่องไม้เนื้ออ่อนใบหนึ่งกลับมามอบให้หยวนกัง

หยวนกังเปิดกล่องไม้เนื้ออ่อนทรงยาวออกดู ตรงกลางพื้นรองอันอ่อนนุ่มที่อยู่ภายในกล่องมีก้อนหินสีดำที่เป็นรูปทรงวงรีวางอยู่ก้อนหนึ่ง

เขาหยิบหินสีดำออกมา ตรงกลางมีรอยปริแยกวนรอบก้อนหิน เขาจับปลายทั้งสองข้างแล้วหมุนเปิดออก หยิบไข่ฟองหนึ่งออกมาจากด้านใน เป็นไข่ของปีกทอง

เขาหมุนหินสีดำสองซีกนั้นกลับเข้าด้วยกัน วางไข่ฟองนั้นลงในร่องที่ยุบลงตัวร่องหนึ่งบนพื้นรองอันอ่อนนุ่ม

หินสีดำชนิดนี้มีคุณสมบัติปิดกั้นการรับรู้ของปีกทอง หลังจากนำไข่ออกมา ปีกทองจะสามารถรับรู้ถึงไข่ได้อีกครั้ง การหยิบเอาไข่ออกมาและใส่กลับเข้าไปสามารถควบคุมการบินกลับไปกลับมาของปีกทองได้

….

รุ่งเช้าวันต่อมา ฉู่อันโหลวมาหาถึงหน้าประตูอีกครั้ง มาเชื้อเชิญด้วยตัวเอง

ฟ้ายังสลัวอยู่ หนิวโหย่วเต้าเปิดหน้าต่างมองดูท้องฟ้าด้านนอก หันกลับไปกล่าวว่า “เถ้าแก่ฉู่ ยังเช้าตรู่อยู่เลย!”

ฉู่อันโหลวเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “รีบไปจัดเตรียมสิ่งที่ควรจัดเตรียมให้เรียบร้อยเร็วหน่อยจะดีกว่า จะปล่อยให้ถึงเวลาจวนตัวแล้วค่อยมาเตรียมนั่นเตรียมนี่จนเสียเวลาของท่านประมุขก็ไม่ได้ใช่หรือเปล่า?”

หนิวโหย่วเต้าเข้าใจความรู้สึกของเขา จึงทำได้เพียงให้ความร่วมมือกับเขา พยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “ได้!”

………………………………………………………….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า