ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 188

ตอนที่ 188 เสวี่ยลั่วเอ๋อร์

เขาไม่ได้พาคนอื่นไป ยังคงพาหยวนกังไปแค่คนเดียว

มาถึงวิมานอันงามวิจิตร ยังคงเป็นสถานที่ที่ได้พบหานปิงเมื่อวานนี้ ตอนนี้หานปิงยังไม่ปรากฏตัว ฉู่อันโหลวจึงเรียกเสี่ยวหรงมา

เสี่ยวหรงให้คนยกอุปกรณ์จำพวกขาตั้งสำหรับวาดภาพมา สอบถามหนิวโหย่วเต้าว่า “ท่านเซวียนหยวน ท่านลองดูหน่อยสิเจ้าคะว่าอุปกรณ์ที่จัดเตรียมไว้เหล่านี้ใช้ได้หรือไม่?”

มองออกเลยว่าเสี่ยวหรงก็ไม่มีความมั่นใจเช่นกัน ด้วยไม่เคยใช้ของจำพวกนี้มาก่อน ความจริงแล้วก็เป็นนางที่ติดต่อให้ฉู่อันโหลวมาเร็วหน่อย ด้วยกลัวว่าถ้าอยู่ต่อหน้าหานปิงแล้วจะดูเหมือนนางทำงานได้ไม่เรียบร้อย

หนิวโหย่วเต้าลองมือเล็กน้อย รู้สึกติดขัดอยู่บ้าง จึงให้ทำการปรับอีกครั้ง

ล้วนเป็นของที่ไม่มีอะไรซับซ้อน เวลาปรับแต่งก็ไม่ได้ยากลำบากอะไร ทว่าเสี่ยวหรงกลับไม่กล้าปล่อยผ่าน รีบสั่งให้คนเข้ามาปรับแก้โดยด่วน

ข้าวของจำพวกแท่งถ่าน หนิวโหย่วเต้าให้หยวนกังทำการแก้ไขเล็กน้อย ก็มาในฐานะผู้ช่วยนี่นา ก็ต้องหาอะไรให้หยวนกังทำบ้าง ทำตัวเหมือนผู้ช่วยให้คนอื่นเห็นหน่อย

อุปกรณ์ทุกอย่างถูกปรับแก้ต่อหน้าหนิวโหย่วเต้า เมื่อหนิวโหย่วเต้าทำการตรวจสอบแล้วว่าไม่มีปัญหา เสี่ยวหรงถึงได้โล่งใจ

อากาศวันนี้ก็นับว่าปลอดโปร่ง ฟ้าครามกว้างหมื่นลี้ หลังตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า หานปิงก็มาถึง

“เตรียมการเป็นอย่างไรบ้าง?” หานปิงเดินเข้ามาพลางเอ่ยถาม ด้านหลังมีสาวใช้ตามมาด้วยสองสามคน

เสี่ยวหรงค้อมกายตอบไปว่า “เรียนท่านแม่บ้าน ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

หานปิงพยักหน้ารับ ถามหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง “เริ่มได้หรือยัง?”

“ได้ขอรับ!” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ

หานปิงถาม “เลือกพื้นหลังเรียบร้อยหรือยัง? หากว่าเรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าก็ไปรอตรงทิวทัศน์ที่เลือกเอาไว้ก่อนได้เลย”

หนิวโหย่วเต้ามองดูแสงตะวันที่สาดส่องลงมา ให้หยวนกังนำสมุดบันทึกออกมา กระซิบหารือกับหยวนกังเล็กน้อยว่าแสงและเงาที่เกิดจากการที่แสงอาทิตย์ส่องลงมาบนพื้นหลังจะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง

หลายคนที่อยู่รอบข้างได้ยินพวกเขาหารือกัน หานปิงรับฟังพลางพยักหน้านิดๆ ฟังแล้วมีความเป็นมืออาชีพอย่างมาก ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกวางใจ

เมื่อฉู่อันโหลวได้เห็นอุปกรณ์วาดภาพก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินบทสนทนาเช่นนี้อีก พลันรู้สึกว่าภาพจำที่มีต่อการวาดภาพของตนได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่คิดเลยว่าการวาดภาพสักภาพจะมีรายละเอียดมากมายขนาดนี้

ก่อนหน้านี้ได้ยินหานปิงกล่าวว่าภาพของคนผู้นี้เป็นหนึ่งมิมีสอง ตอนนี้เขายิ่งรู้สึกตั้งตารอคอยมากขึ้นกว่าเดิม

หยวนกังมีความแม่นยำในแง่ของเวลามากกว่าหนิวโหย่วเต้า หลังทำการวิเคราะห์เรื่องพื้นหลังที่เลือกและทิศทางของแสงเสร็จเรียบร้อย เขาก็คาดการณ์ช่วงเวลาในการวาดภาพแต่ละภาพเล็กน้อย จากนั้นวาดลำดับเส้นทางในการวาดภาพไปบนทิวทัศน์ทั้งสิบแห่งที่เลือกเอาไว้ “ไปที่นี่ก่อน จากนั้นก็ไปที่นี่ต่อ ตามด้วยที่นี่…ถ้าวาดไปตามลำดับนี้น่าจะสวยที่สุด”

พวกหานปิงคล้ายจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหนิวโหย่วเต้าถึงต้องพาหยวนกังมาด้วย การพาผู้ช่วยเช่นนี้มาด้วยนับเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง

“ได้! เอาตามนี้แล้วกัน” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ ส่งข้าวของให้หยวนกัง ประสานมือกล่าวกับหานปิงว่า “ท่านแม่บ้าน พระอาทิตย์เพิ่งขึ้น ไปที่ริมทะเลสาบที่อยู่ข้างแม่น้ำก่อนแล้วกัน”

หานปิงสั่งการบ่าวไพร่ทันที “จัดการตามที่เขาบอก ไล่คนที่ไม่เกี่ยวข้องที่อยู่ตรงนั้นออกไปให้หมด อย่าให้ผู้ใดมารบกวน”

“เจ้าค่ะ!” สาวใช้รับคำสั่งแล้วเร่งเดินจากไปทันที พร้อมขนย้ายพวกกระดานวาดภาพไปด้วย

ส่วนหานปิงไปตามเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ด้วยตัวเอง

ฉู่อันโหลวขยับเข้ามาหาหนิวโหย่วเต้า “มีอะไรให้ข้าทำหรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้าเหลียวมองเขาแวบหนึ่ง พอจะมองเห็นอะไรบางอย่างในแววตาที่คาดหวังของเขา คงคิดจะเอาหน้ากับท่านประมุขและท่านแม่บ้านกระมัง

แต่ถึงกระนั้นก็คิดไม่ออกว่ามีเรื่องอะไรเหมาะจะให้เขาทำบ้าง ทว่าอีกฝ่ายมีความคาดหวัง เจ้าก็ต้องคิดหาเรื่องให้เขาทำถึงจะถูก เพราะภายหน้ายังคาดหวังจะให้อีกฝ่ายช่วยเหลืออยู่ เขาจึงลองถามไปว่า “ตอนที่แสงแดดแยงตา มันจะส่งผลกระทบต่อการวาดภาพได้ หากจะให้ช่วยกางร่มให้ จะลำบากเถ้าแก่ฉู่เกินไปหรือไม่?”

“ไม่ลำบากๆ เรื่องนี้ยกให้เป็นหน้าที่ข้าเถอะ” ฉู่อันโหลวรีบโบกมือ มองซ้ายมองขวา แล้วจะไปเอาร่มมาจากไหนล่ะ? เขารีบเดินออกไปพลางเอ่ยว่า “เดี๋ยวข้าไปหาร่มมาก่อน!”

เมื่อเห็นเขาทะยานออกไปไกลแล้ว หนิวโหย่วเต้าปรายตามองอย่างเย็นชา หากมิใช่เพราะยังไม่สะดวกจะล่วงเกิน วันนี้คงจะฉวยโอกาสทำให้เขาได้รับบทเรียนไปแล้ว

ทั้งกลุ่มมาถึงริมทะเลสาบที่อยู่ข้างแม่น้ำ รอคอยกันอยู่พักหนึ่ง หลังผ่านไปไม่นานนัก หานปิงก็นำทางเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ในชุดกระโปรงยาวสีขาวเดินเข้ามา

เมื่อได้เห็นเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ในระยะใกล้ๆ ก็ยิ่งพบว่านางดูงดงามเป็นอย่างมาก เป็นประเภทที่สูงส่งเยือกเย็น มิใช่แค่ใบหน้าเท่านั้นที่ไร้อารมณ์ แต่ภายในดวงตาอันใสกระจ่างก็ยังดูสุขุมเยือกเย็นเป็นอย่างมากเช่นกัน

“คารวะท่านประมุข!” หนิวโหย่วเต้าประสานมือคำนับ

“เจ้าคือคนที่วาดภาพให้ซาฮ่วนลี่หรือ?” เสียงของเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ใสกระจ่าง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ขอรับ!” หนิวโหย่วเต้าตอบรับอย่างสุภาพ

เสวี่ยลั่วเอ๋อร์สังเกตเห็นหยวนกังที่ยืนนิ่งเฉยอยู่ทางด้านหลังของหนิวโหย่วเต้า ม่านตาหดตัววูบ สังเกตมองอีกฝ่ายอยู่อีกหลายทีโดยไม่รู้ตัว

บางทีหนิวโหย่วเต้าและตัวหยวนกังเองอาจจะไม่ทันสังเกตเห็นว่าภาพลักษณ์ภายนอกของหยวนกังในปัจจุบันนี้ได้สร้างความรู้สึกประทับใจให้แก่สตรีอย่างมาก สำหรับสตรีส่วนใหญ่แล้ว หยวนกังคือตัวแทนของคำว่า ‘บุรุษ!’

ขอเพียงพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน ในสถานการณ์ทั่วไปแล้ว คาดว่าหนิวโหย่วเต้าคงจะถูกสตรีมองข้ามไป ความสนใจทั้งหมดล้วนพุ่งไปอยู่ที่ตัวหยวนกัง

อันที่จริงรูปโฉมของหนิวโหย่วเต้าก็ไม่นับว่าแย่ แต่หากว่าในแง่ของภาพลักษณ์ บุคลิกและรูปร่างแล้ว เมื่อทั้งสองยืนเทียบกัน เขาก็จะถูกหยวนกังกลบความโดดเด่นไปจนมิดทันที สำหรับสตรีแล้ว หยวนกังเป็นตัวแทนของคำว่า ‘เพศผู้’ ได้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง

เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ละสายตาของตนออกจากร่างหยวนกัง

หานปิงมองสำรวจรอบข้างเล็กน้อย ไม่เห็นทิวทัศน์งดงามอันใด จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “จะวาดที่นี่หรือ?”

“นั่งริมแม่น้ำ” หนิวโหย่วเต้าชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่ง “ใกล้ๆ มีแม่น้ำเชี่ยวกราก ด้านหน้ามีดอกบัวในทะเลสาบ ไกลออกไปมีทิวทัศน์ขุนเขา”

หานปิงมองตามที่เขาชี้ คล้ายจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ จึงโบกมือสั่ง “เก้าอี้”

มีคนยกเก้าอี้เข้ามาอย่างรวดเร็ว หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถามด้วยความงุนงง “พวกท่านจะทำอันใด?”

หานปิงย้อนถาม “ให้นั่งริมแม่น้ำมิใช่หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าบอกไปว่า “สิ่งที่ต้องการคือองค์ประกอบดั้งเดิมตามธรรมชาติ หากวางเก้าอี้ที่เปี่ยมด้วยกลิ่นอายของงานฝีมือเข้าไปมันจะไปเข้ากันได้อย่างไร? ตำแหน่งที่จะให้นั่งถูกเลือกไว้แล้ว ตรงนั้น นั่งตรงหินก้อนใหญ่ที่อยู่ตรงริมแม่น้ำก้อนนั้น”

สีหน้าหานปิงครึ้มลง “เจ้าจะให้ท่านประมุขนั่งบนก้อนหินที่อยู่บนพื้นอย่างนั้นหรือ?”

“….” หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออก สุดท้ายก็เอ่ยรอมชอมว่า “เอาเถอะ นั่งเก้าอี้ก็นั่งเก้าอี้”

กลับเป็นเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างที่เอ่ยขึ้นมาว่า “ยกเก้าอี้ออกไป ทำตามที่ท่านจิตกรบอก” ว่าแล้วก็เดินไปทางก้อนหินก้อนนั้น

เก้าอี้ถูกยกออกไป แต่สุดท้ายก็ยังวางเบาะรองไว้บนก้อนหินอยู่ดี

หนิวโหย่วเต้ายืนอยู่หน้ากระดานวาดภาพ ร้องสั่งว่า “ท่านประมุข อย่าหันมาทางนี้ นั่งตะแคงไปทางขวา ใช่ เอียงตัวอีกนิด มองไปข้างหน้า อย่านั่งตัวตรงเกินไป จะทำให้คนตกใจได้ วางมือข้างหนึ่งไว้บนขาอย่างผ่อนคลาย ใช่ๆๆๆ แบบนี้แหละ…”

หานปิงที่อยู่ด้านข้างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่ผู้ใดจะทราบว่าหนิวโหย่วเต้ากลับเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ท่านแม่บ้าน ช่วยจัดกระโปรงให้ท่านประมุขหน่อยได้หรือไม่”

หานปิงเดินเข้าไป ย่อตัวลงด้านข้างเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ ดึงกระโปรงพลางเอ่ยถาม “แบบนี้หรือ?”

“ไม่ต้องดึงเยอะ อย่าให้เรียบร้อยเกินไป…” สุดท้ายหนิวโหย่วเต้าก็ต้องเดินเข้าไปหาอยู่ดี เขาไม่สะดวกจะจัดกระโปรงให้อีกฝ่ายด้วยตัวเอง ทำได้เพียงกำกับชี้แนะอยู่ข้างๆ “แบบนี้ ดึงมาทางนี้หน่อย ใช่ๆๆๆ ต้องทำให้ดูงดงามอย่างเป็นธรรมชาติ ใช่ พอแล้ว ใช้ได้แล้ว”

ทั้งสองคนถอยกลับไปอยู่ตรงหน้ากระดานวาดภาพด้วยกัน หานปิงมองดูอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย รู้สึกประหลาดใจที่พบว่าคนผู้นี้มีสายตาทางด้านสุทรียศาสตร์จริงๆ เมื่อมองท่านประมุขจากมุมนี้ ภาพลักษณ์โดยรวมช่างดูเจริญหูเจริญตาจริงๆ ดูเหมือนล้านเหรียญทองที่จ่ายไปจะคุ้มค่าทีเดียว

“ท่านประมุข เอาท่านี้ อย่าขยับ!” หนิวโหย่วเต้าร้องสั่ง หยิบแท่งถ่านขึ้นมากะระยะเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มวาดลงบนกระดาษเกิดเสียงดังฟืดๆๆ มือขยับไปอย่างรวดเร็ว

หยวนกังที่อยู่ด้านข้างมองความเคลื่อนไหวบนกระดานวาดภาพ รู้สึกเสียวฟันเล็กน้อย มาถึงโลกนี้แล้วก็ยังวาดภาพสเก็ตช์อยู่อีก

เขาทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้ แต่ก็ช่วยไม่ได้ เต้าเหยี่ยเชี่ยวชาญทักษะพิเศษมากมาย ในอดีตอีกฝ่ายมีความสนใจกว้างขวางรอบด้าน ชอบเรียนรู้งานฝีมือพวกนี้ พิณหมากตำราภาพยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง แม้แต่งานช่างไม้และช่างหินก็ล้วนทำเป็นทั้งสิ้น หรือกระทั่งของอย่างรองเท้าหญ้าสานหรือเสื่อสานก็ล้วนแต่ทำได้

เขาจำได้ว่าเต้าเหยี่ยเคยซ่อมกังหันน้ำโบราณอันหนึ่งด้วยตัวคนเดียว

เขาทำตามบันทึกในม้วนตำราโบราณ ลงมือหลอมเครื่องลายครามเลียนแบบเครื่องลายครามโบราณด้วยตัวเอง เหมือนจริงจนแทบจะดูไม่ออก

เผาอิฐยุคฉินกระเบื้องยุคฮั่นออกมาตามวิธีโบราณ

ซ้ำยังลอกเลียนแบบอักษรและภาพยุคโบราณได้

สรุปแล้วคือเต้าเหยี่ยเชี่ยวชาญหลายสิ่งหลายอย่าง เขานับว่ามองออกแล้วว่าคนอย่างเต้าเหยี่ยไปอยู่ที่ไหนก็ไม่อดตายจริงๆ ก็เหมือนอย่างที่เมื่อก่อนนี้เต้าเหยี่ยเคยบอกไว้ รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม!

หานปิงมองดูเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ที่นั่งนิ่งอยู่ริมแม่น้ำเป็นระยะ จากนั้นก็มองดูกระดานภาพ เค้าโครงร่างคนและทิวทัศน์เริ่มปรากฏขึ้นมาทีละนิด น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง เป็นวิธีวาดแบบที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ

และในเวลานี้เอง ฉู่อันโหลวถึงจะวิ่งเข้ามา ถึงโครงไม้มาด้วยอันหนึ่ง ด้านบนโครงไม้ขึงผ้าผืนหนึ่งเอาไว้ เขาขยับเข้ามาใกล้แล้วชูโครงไม้เอาไว้ ช่วยบังแสงตะวันที่ส่องลงมาให้หนิวโหย่วเต้า

ช่วยไม่ได้ ที่นี่มีแต่ผู้บำเพ็ญเพียร ไม่มีใครใช้ร่มเลย เขาจึงหาร่มไม่ได้เลยสักคัน จึงนำสิ่งของมาประยุกต์เป็นร่มไปก่อนชั่วคราว

หานปิงหันไปมองเขา กระทั่งท่านประมุขก็ยังนั่งตากแดดอยู่เลย แล้วเจ้ามากางร่มตรงนี้ทำไม? นางเอ่ยถามเสียงขรึม “เจ้าทำอะไร?”

ฉู่อันโหลวรีบตอบว่า “เกรงว่าแสงแดดจะกระทบต่อการวาดภาพของท่านเซวียนหยวนขอรับ”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสริมว่า “แสงแดดแยงตายิ่ง แสบตาจนมองเห็นไม่ชัด แบบนี้ดีขึ้นมาก”

หานปิงถึงได้ยอมรามือ ไม่พูดอะไรอีก

ฉู่อันโหลวมองหนิวโหย่วเต้าด้วยความซาบซึ้ง นึกเสียใจต่อเรื่องที่ตนเองกระทำการเหยียดหยามหนิวโหย่วเต้าไปก่อนหน้านี้

ด้วยเหตุนี้เขาจึงถือ ‘ร่ม’ บังแดดให้หนิวโหย่วเต้าไว้เช่นนี้ พร้อมกับมองดูภาพที่ปรากฏขึ้นมาบนกระดานวาดภาพไปด้วย ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีภาพวาดเช่นนี้ด้วย แอบรู้สึกแปลกใจ

กระทั่งหนิวโหย่วเต้าวางแท่งถ่านในมือลง ภาพวาดจึงนับว่าวาดเสร็จเรียบร้อย

หานปิงรีบเข้าไปประคองเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ลุกขึ้นมา เชิญอีกฝ่ายเข้ามาชมภาพวาด

นางยืนอยู่หน้ากระดานวาดรูป มองเห็นว่าภาพพื้นหลังในระยะใกล้ ระยะกลางและระยะไกลขับเน้นเสริมส่งตนที่นั่งทอดสายตาอยู่ริมแม่น้ำ ดวงตาเสวี่ยลั่วเอ๋อร์เปล่งประกายขึ้นมาทันที เงยหน้ามองทิวทัศน์เบื้องหน้าเพื่อเปรียบเทียบกัน ทุกอย่างล้วนดูมีชีวิตชีวาสมจริง เริ่มเชื่อขึ้นมาแล้วว่าที่แท้ตนก็งดงามถึงเพียงนี้

หานปิงเอ่ยถาม “คุณหนู ภาพเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”

เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ตอบด้วยความเยือกเย็น “ดี!”

สายตาจับจ้องตัวเองที่อยู่ในภาพวาด ไม่ยอมละสายตาไปไหน จมอยู่ในภาพที่ทั้งโลกนี้มีนางอยู่เพียงคนเดียว

หานปิงยิ้มออกมา ด้วยนิสัยของคุณหนู การทำให้นางกล่าวคำว่า ‘ดี’ ออกมาได้นั้นเรียกได้ว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ จึงชี้ไปที่ภาพนั้นพร้อมสั่งการว่า “รีบยกขึ้นมา นำไปเก็บไว้ที่ห้องของคุณหนู ระวังด้วย อย่าให้เสียหาย”

“เจ้าค่ะ!” สาวใช้สองนางเข้ามายกภาพวาด

หานปิงหันไปมองเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ ลองสอบถามดูว่า “นั่งนิ่งๆ ไม่ขยับเลยก็เหนื่อยมากเช่นกัน คุณหนูอยากพักหน่อยไหมเจ้าคะ?”

“ไม่ต้อง วาดต่อเถอะ” เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ตอบ

หานปิงหันกลับไปถามทันทีว่าภาพต่อไปจะวาดที่ไหน?

เมื่อยืนยันสถานที่แล้ว ก็เก็บข้าวของย้ายสถานที่ทันที ทั้งกลุ่มย้ายมาที่หน้ากำแพงบุปผา บนกำแพงมีเถาวัลย์เลื้อยเกาะไปทั่ว มีบุปผาบานสะพรั่งบนเถาวัลย์

การวาดในครั้งนี้จัดให้เสวี่ยลั่วเอ๋อร์อยู่ในท่าหันข้างเดินผ่านหน้ากำแพง

……………………………………………………….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า