ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 190

ตอนที่ 190 หวงเลี่ยแห่งเขามหาญาณ

หยวนกังหันมามองด้วยความตะลึง นี่มันกลอนที่เต้าเหยี่ยเขียนให้ซ่งเหยี่ยนชิง แล้วต่อมาก็ทำให้จับลู่เซิ่งจงได้บทนั้นมิใช่หรือ?

เขาค่อยๆ หันไปมองหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง เขาทราบดีว่านี่คือกลอนที่เต้าเหยี่ยชื่นชอบที่สุด ไม่มีเหตุผลอื่นใด แค่เพราะว่าถูกใจเต้าเหยี่ย

หนิวโหย่วเต้าเองก็ตกตะลึงเช่นกัน แต่ก็เข้าใจในทันที ซาฮ่วนลี่เคยเห็นภาพที่เขาวาดให้เฮยหมู่ตาน บนภาพเขียนกลอนบทนี้เอาไว้ น่าจะเป็นซาฮวนลี่ที่เล่าให้สตรีนางนี้ฟัง

ครานั้นตอนที่เขาวาดภาพนั้นให้เฮยหมู่ตาน เขาจงใจเขียนกลอนเพิ่มเข้าไปในรูปภาพ นั่นก็เพราะต้องการทำให้ซาฮ่วนลี่ประทับใจ เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะชอบภาพหรือว่าชอบกลอน จึงเขียนทั้งสองอย่างเอาไว้ด้วยกัน ต้องมีสักอย่างที่ถูกใจแน่ เหตุผลก็มีเพียงเท่านี้ ไม่มีเจตนาอื่น

เพียงแต่ เขาไม่รู้ว่าที่จู่ๆ สตรีนางนี้ก็ท่องกลอนบทนี้ออกมามันหมายความว่าอย่างไร?

พวกหานปิงก็หันมามองเช่นกัน ไม่รู้ว่าจู่ๆ เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ท่องกลอนบทนี้ออกมาด้วยเจตนาใด

เสวี่ยลั่วเอ๋อร์มองหนิวโหย่วเต้า เอ่ยถาม “นี่เป็นกลอนที่เจ้าแต่งกระมัง?”

ทุกคนมองไปทางหนิวโหย่วเต้าอย่างพร้อมเพรียง

“มิใช่ขอรับ!” หนิวโหย่วเต้าปฏิเสธทันที ก่อนจะชี้ไปที่หยวนกัง “เขาเป็นคนแต่ง ข้าเพียงยืมมาใช้”

ทุกคนมองไปที่หยวนกัง

สีหน้าหยวนกังเรียบเฉย ค่อยๆ มองไปทางหนิวโหย่วเต้า ทว่าในใจกลับตื่นตระหนก ครั้งก่อนตอนอยู่ต่อหน้าสองพี่น้องตระกูลซางก็ทำแบบนี้ ครั้งนี้คุณเอาอีกแล้วหรือ?

เขาไม่เข้าใจ คุณชอบแสร้งทำเป็นทรงภูมิมีความรู้มันก็เรื่องของคุณสิ ทำไมถึงชอบลากผมเข้าไปเกี่ยวด้วย ผมใช่คนแบบนั้นหรือไง? คุณมีความสามารถรอบด้านแล้วยังจะอายอะไรอีก?

อันที่จริงเขาพอจะเข้าใจหนิวโหย่วเต้าอยู่บ้าง ความสามารถไม่ควรเผยออกไปจนหมด ทุกเรื่องต้องเผื่อทางหนีทีไล่เอาไว้ อะไรที่ยังไม่ทราบแน่ชัดก็ยิ่งต้องเผื่อทางหนีทีไล่เอาไว้ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะได้แก้ไขได้ เพียงแต่นิสัยที่ชอบผลักภาระมาให้คนอื่นแบบนี้มันแย่มากจริงๆ!

หากมิใช่เพราะเห็นแก่สถานการณ์ตรงหน้า กลัวว่าจะนำความยุ่งยากมาให้ เขาคงตอกหนิวโหย่วเต้ากลับไปจนอีกฝ่ายไม่มีทางลงไปแล้ว จะให้คนหยาบกระด้างอย่างผมมาแต่งกลอนเนี่ยนะ ล้อเล่นหรือเปล่า!

เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ก็มองไปทางหยวนกังเช่นกัน คล้ายจะคิดไม่ถึงว่าบุรุษที่เปี่ยมด้วยความแข็งกร้าวสมชายชาตรีผู้นี้จะแต่งกลอนเป็นด้วย

แต่นางไม่สนว่าใครจะเป็นคนแต่ง เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ได้ยินว่าภาพวาดที่เจ้ามอบให้คนอื่นเขียนกลอนใส่ไปด้วย ข้าซื้อภาพเจ้าทีเดียวสิบภาพ แต่กลับไม่เห็นเขียนกลอนให้ซักบท ขอให้เจ้าเขียนกลอนให้สักบทคงไม่นับว่าเกินไปกระมัง?”

นางกล่าวมาเช่นนี้ หานปิงพลันเอ่ยสำทับด้วยสีหน้าจริงจัง “ทั้งสองท่าน คำขอของท่านประมุขไม่นับว่าเกินไปเลย”

ฉู่อันโหลวก็เอ่ยสนับสนุน “ถูกต้อง ซื้อสิบภาพ มอบกลอนให้สักบทไม่นับว่ามากเกินไปจริงๆ”

หนิวโหย่วเต้าแอบด่าอยู่ภายในใจ เงินที่ได้จากการวาดภาพสิบภาพอยู่ในมือเจ้ากว่าครึ่ง เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ?

แต่ทุกอย่างมันก็เห็นได้ชัด อีกฝ่ายกำลังกดดันตนเองอยู่ กดดันจนทางนี้ไม่กล้าปฏิเสธ

หนิวโหย่วเต้ากำมือป้องปากกระแอมเล็กน้อย กล่าวกับหยวนกังว่า “มิตรภาพยากจะปฏิเสธได้ เจ้าก็แต่งมาสักบทแล้วกัน”

หยวนกังยืนทื่ออยู่ตรงนั้น เอ่ยอย่างเย็นชา “แต่งไม่เป็น!”

ท่าทีเช่นนี้ไม่ดีเลย สีหน้าของหานปิงและฉู่อันโหลวแปรเปลี่ยนไปทันที

หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้ว รีบกระแอมพลางเอ่ยเตือน “เก็บนิสัยเด็กๆ ของเจ้าเอาไว้ซะ ห้ามก่อเรื่อง ก็แค่กลอนบทเดียว สำหรับเจ้าแล้วไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย แต่งๆ ออกมาเถอะ”

หยวนกังหันมองไปทางเขาอย่างช้าๆ เข้าใจความหมายของเขา จะให้ท่องกลอนที่รู้จักออกมาสักบทก็พอ

แล้วก็ไม่สนใจว่าเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ จัดการสถานการณ์ตรงหน้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน หนิวโหย่วเต้าทำการตัดสินใจแทนหยวนกัง ประสานมือกล่าวกับเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ว่า “ไม่ทราบว่าท่านประมุขอยากจะเติมกลอนลงในภาพใด?”

เสวี่ยลั่วเอ๋อร์พยักพเยิดทางไปทางหยวนกัง “เปิดภาพออก ให้เขาเลือกเอง”

หานปิงโบกมือ เหล่าสาวใช้รีบยกภาพเหมือนสามภาพสุดท้ายของเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ที่ยังไม่ถูกนำไปเก็บไว้ในห้องออกมาทันที

หยวนกังเดินเข้าไปยืนมองอยู่หน้าภาพทั้งสาม เดิมทีเขาก็ไม่ชอบเรื่องซับซ้อนจุกจิกอยู่แล้ว ภาพวาดที่เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ถือช่อบุปผาแล้วก้มหน้าดอมดมอยู่ในวงรีดูเรียบง่าย เขาจึงชี้ไปพลางกล่าวว่า “ภาพนี้แล้วกัน”

หานปิงเอ่ยสั่งทันที “เตรียมหมึกพู่กัน!”

หมึกพู่กันถูกยกมา หยวนกังหันไปมองหนิวโหย่วเต้า

หนิวโหย่วเต้าถูกเขามองจนรู้สึกผิด นึกขึ้นได้ว่าตอนอยู่ต่อหน้าสองพี่น้องตระกูลซางก็เคยทำเรื่องทำนองนี้ไว้เช่นกัน กังวลว่าเขาจะเล่นแผลงๆ อีก จึงรีบก้าวเข้าไปกล่าวกับทุกคนว่า “ผู้ช่วยของข้าคนนี้อารมณ์มิสู้ดี เพื่อไม่ให้เป็นการล่วงเกินท่านประมุข เดี๋ยวข้าขอเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวเขาเสียหน่อย”

กล่าวจบก็ลากหยวนกังออกไปด้านข้าง กระซิบว่า “นี่ไม่ใช่สองพี่น้องตระกูลซางที่สิ้นไร้ไม้ตอกเหมือนก่อนหน้านี้ นายห้ามก่อเรื่อง”

หยวนกังตอบว่า “ผมรู้”

หนิวโหย่วเต้าถาม “งั้นนายเตรียมจะใช้กลอนบทไหน?”

หยวนกังท่องออกมา “จันทร์กระจ่างส่องหน้าเตียง ดั่งน้ำค้างแข็งพร่างพรมดิน…”

หนิวโหย่วเต้ายกมือห้าม “นายจริงจังหน่อยได้ไหม?”

หยวนกังเอ่ยขึ้นว่า “มารดาร้อยด้ายด้วยใจรัก ถักเย็บอาภรณ์ด้วยห่วงหา เย็บให้แน่นก่อนบุตรจะจากลา ด้วยกลัวว่าอีกนานกว่าจะหวนคืน…”

“…..” หนิวโหย่วเต้าตะลึงตาค้าง จะใช้กลอนแบบนี้ประกอบภาพให้เสวี่ยลั่วเอ๋อร์เนี่ยนะ? แต่จะว่าไปแล้ว กลอนแบบนี้สิถึงจะเป็นกลอนแบบที่เจ้าลิงชื่นชอบ กระทั่งจะหาผู้หญิงก็ยังต้องหาแบบแม่ที่อยู่ในกลอนเลย จากจุดนี้เพียงคิดดูก็พอจะรู้แล้ว “นายอยากจะให้พวกเราโดนหามออกไปจากที่นี่เหรอไง”

หยวนกังเอ่ยว่า “คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าผมไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แล้วผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะว่ากลอนบทไหนมันเหมาะหรือไม่เหมาะ? ไม่ต้องพูดแล้ว จะใช้กลอนบทไหนคุณว่ามาเลย ผมคิดไม่ออก”

ทั้งสองซุบซิบกันอยู่พักหนึ่งก็กลับมา

หนิวโหย่วเต้าหยิบพู่กันจุ่มหมึกขึ้นมาโดยไม่พูดไม่จา เตรียมเขียนกลอน

เมื่อเห็นเขาจับพู่กัน หานปิงก็เอ่ยถามขึ้นมา “สรุปแล้วผู้ใดเป็นคนแต่ง?”

หยวนกังตอบทื่อๆ ว่า “ข้าเขียนอักษรไม่ได้เรื่อง บอกบทกลอนเขาไปแล้ว ให้เขาเขียนแทน”

หานปิงมองเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ เมื่อเห็นคุณหนูไม่คัดค้านอะไร นางก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

หนิวโหย่วเต้าถือพู่กันยืนอยู่หน้าภาพที่หยวนกังเลือกไว้ภาพนั้น ครุ่นคิดเล็กน้อย ถึงอย่างไรทางนี้ก็มิใช่คนโง่เหมือนซ่งเหยี่ยนชิงคนนั้น จะทำส่งเดชไม่ได้ จึงเลือกกลอนบทหนึ่งมาดัดแปลง จรดพู่กันเขียนลงบนพื้นที่ว่างในภาพ

ตัวอักษรสี่แถวปรากฏบนกระดาษ

ยืนอ้างว้างท่ามกลางมาลีโรย

พิรุณโปรยนางแอ่นเหินบินเคียงคู่

จันทร์กระจ่างอาบไล้ร่างโฉมตรู

มวลหมู่เมฆลอยอ้อยอิ่งเคล้าคลอเคลีย

เมื่อเขียนเสร็จ หนิวโหย่วเต้าก็ถอยออกไปยืนอยู่ด้านข้าง

เสวี่ยลั่วเอ๋อร์เดินเข้ามาดู เปรียบเทียบกลอนบทนี้กับคนในภาพ เรียกได้ว่าทำให้จิตใจนางแปรปรวนด้วยหลากหลายอารมณ์ นางจ้องมองอยู่พักหนึ่ง ปากขยับพึมพำกับตัวเอง “ยืนอ้างว้าง…นางแอ่นเหินบินเคียงคู่…จันทร์กระจ่าง…มวลหมู่เมฆ…”

ผ่านไปพักใหญ่ นางถึงค่อยๆ หันกลับมา มองไปที่หยวนกัง เอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นคนแต่งกลอนนี้หรือ?”

สำหรับหยวนกังแล้ว คำถามนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับการยัดหินใส่ปากแล้วพยายามกลืนลงไปในท้อง ช่างยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง กรามขบกันแน่น

ท่าทีของเขา อีกทั้งนิสัยของเขา ทำให้หนิวโหย่วเต้ารู้สึกกังวลเป็นอย่างยิ่ง หนิวโหย่วเต้าคิดไม่ถึงเช่นกันว่าเสวี่ยลั่วเอ๋อร์จะถามเช่นนี้ เจ้าลิงแข็งกระด้างเกินไป เป็นผู้ชายประเภทที่ยอมหักไม่ยอมงอ

แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ สุดท้ายหยวนกังก็ไม่ยอมรับออกมา เขาปฏิเสธไปว่า “ไม่ใช่ ได้ยินคนพูดระหว่างทาง จึงยืมมาใช้”

ดวงตางามกระจ่างของเสวี่ยลั่วเอ๋อร์จ้องมองเขาอย่างลุ่มลึก ไม่ได้พูดอะไรอีก หันไปสั่งว่า “เก็บให้ดี!” กล่าวจบก็หันหลังเดินจากไป ทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังในชุดกระโปรงยาวสีขาว

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวนับว่าผ่านพ้นไปแล้ว

ในตอนที่กลับมาถึงโรงเตี๊ยม ฟ้าก็เป็นสีแดงเพลิงแล้ว

ฉู่อันโหลวรักษาคำพูด ไม่ได้ไล่พวกเขาออกจากห้องพักแขกคนสำคัญ แต่กลับเอ่ยกำชับว่าให้หนิวโหย่วเต้าเร่งจัดการธุระแล้วรีบจากไปเสีย

หลังกลับมาถึงห้องของตน หนิวโหย่วเต้าเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ

วาดภาพมาทั้งวัน แทบไม่ได้หยุดพักเลย ใช้เรี่ยวแรงไปไม่น้อยเหมือนกัน รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย เขาถอดเสื้อผ้าออกพลางเอ่ยสั่งว่า “รีบไปที่ร้านค้าพวกนั้น ลองถามดูว่าเจ้าสำนักของพวกเขามาหรือยัง”

หยวนกังที่ยืนกอดอกพิงอยู่ตรงประตูห้องอาบน้ำพยักหน้า ก่อนจะหันหลังเดินออกไป

ผ่านไปพักหนึ่ง เฮยหมู่ตานเดินเข้ามา ม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วนั่งลงข้างอ่างอาบน้ำ วางสองมือลงบนบ่าของหนิวโหย่วเต้าแล้วบีบนวดให้ สอบถามว่าเรื่องทางหอหิมะเหมันต์ราบรื่นดีหรือไม่

หยวนกังที่กลับเข้ามามองเห็นเหตุการณ์ในห้องอาบน้ำ เขากอดอกยืนพิงอยู่ตรงประตูอีกครั้ง เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าสำนักต่างๆ กำลังเดินทางมา มณฑลเป่ยโจวอยู่ค่อนข้างใกล้กับที่นี่ เจ้าสำนักของเขามหาญาณน่าจะมาถึงก่อน”

หนิวโหย่วเต้าที่หลับตารับการบีบนวดจากเฮยหมู่ตานอยู่ในอ่างอาบน้ำตอบ “อืม” คำหนึ่ง

….

หลายวันต่อมา พายุหิมะโหมกระหน่ำ เกล็ดหิมะโปรยปลิวเข้ามาในหุบเขา ละลายหายไปอย่างรวดเร็ว

ทุ่งหิมะกว้างใหญ่ กลุ่มคนจำนวนสิบกว่าคนฝ่าพายุหิมะที่กำลังส่งเสียงหวีดหวิว เหินทะยานเข้ามา ร่อนลงในหุบเขา

บุรุษที่เป็นผู้นำกลุ่มอยู่ในชุดเสื้อคลุมขนสัตว์ รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าไว้หนวดเครา เขากวาดตามองสภาพแวดล้อมภายในหุบเขาด้วยสายตาเย็นชา บุคลิกท่าทางดูไม่ธรรมดา เขาคือหวงเลี่ยเจ้าสำนักเขามหาญาณ คนที่ติดตามอยู่รอบข้างต่างเป็นยอดฝีมือของสำนักเขามหาญาณ

เหมยสือไคที่เดินกลับไปกลับมาอยู่ในหุบเขาตะลึงไปเล็กน้อย รีบพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ร่อนลงเบื้องหน้ากลุ่มคน ประสานมือคำนับพลางกล่าวว่า “คารวะท่านเจ้าสำนัก คารวะผู้อาวุโส”

ท่ามกลางเกล็ดหิมะที่โปรยปลิว หวงเลี่ยก้าวเดินไปด้านหน้า เหมยสือไครีบผายมือเดินนำอยู่เบื้องหน้า

เมื่อมาถึงร้านค้าของสำนักเขามหาญาณ หวงเลี่ยที่ถอดเสื้อคลุมขนสัตว์ออกเดินเข้าไปในโถงหลังร้าน นั่งลงในตำแหน่งประธาน เอ่ยถามว่า “หนิวโหย่วเต้าล่ะ?”

เหมยสือไครายงานอย่างเคารพนอบน้อม “ยังอยู่ที่โรงเตี๊ยมเลื่อมรุ้งขอรับ”

หวงเลี่ยเอ่ยเสียงขรึม “ไปบอกเขา ข้ามาแล้ว”

ยามที่ได้รับข่าว หนิวโหย่วเต้ากำลังยืนอยู่ริมหน้าต่าง ชมพายุหิมะที่โปรยปลิวอยู่เต็มท้องฟ้า

เขายื่นมือออกไปรองเกล็ดหิมะ กุมไว้ในมือ เกล็ดหิมะเย็นๆ หลอมละลายในฝ่ามือ ก่อนจะหันกลับไปเอ่ยว่า “ไปเชิญมา!”

ส่วนตัวเขาก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป ลงมาชั้นล่าง ไปหาฉู่อันโหลว

ฉู่อันโหลวเองก็กำลังชมหิมะอยู่เช่นกัน เพียงแต่ชมอยู่ในห้องของตนเอง

“เจ้ากับหวงเลี่ยจะเจรจากัน แล้วจะให้ข้าไปออกหน้าทำไม?” ฉู่อันโหลวค่อยๆ หันมา สีหน้าเคร่งขรึมลงเล็กน้อย จ้องมองหนิวโหย่วเต้าพลางเอ่ยว่า “ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ก่อนนะ อย่าได้คืบจะเอาศอก หอหิมะเหมันต์ไม่มีวันเข้าไปข้องเกี่ยวกับปัญหาของพวกเจ้า”

อันที่จริงก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับปัญหาของโลกภายนอก แต่เป็นเพราะเดิมทีสถานการณ์โดยรวมของใต้หล้ามันก็อยู่ในการควบคุมของยอดคนทั้งเก้าอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถเข้าไปข้องเกี่ยวได้ง่ายๆ

เหตุผลก็ง่ายมาก แค่ทางนี้แสดงท่าทีอะไรออกไปสักอย่าง มันก็อาจจะทำให้เกิดการผลกระทบตามมาเป็นพรวนได้ แล้วก็อาจจะทำให้สถานการณ์ในใต้หล้าเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ต้องวางตัวอยู่เหนือเรื่องราวต่างๆ

หนิวโหย่วเต้าถามว่า “แล้วถ้าหากหวงเลี่ยคิดหลอกใช้หอหิมะเหมันต์ล่ะ?”

ฉู่อันโหลวตะคอกขึ้นมา “เขากล้าหรือ!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ก็เป็นเพราะมีคนคิดจะหลอกใช้หอหิมะเหมันต์มาจัดการข้า ข้าถึงได้อยากจะเชิญเถ้าแก่ฉู่ช่วยออกหน้าประกาศจุดยืนของหอหิมะเหมันต์ เพื่อเลี่ยงไม่ให้มีคนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำก็เท่านั้น ไม่ได้มีความคิดจะให้เถ้าแก่ฉู่มาช่วยเข้าข้างข้าแน่นอน”

……

ท่ามกลางเกล็ดหิมะที่ปลิวว่อน หวงเลี่ยนำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในโรงเตี๊ยมเลื่อมรุ้งพร้อมกับเหมยสือไค

ต้วนหู่นำทางอยู่ด้านหน้า พาทั้งหมดขึ้นไปยังชั้นบนสุด

หวงเลี่ยไม่ใช่ว่าเพิ่งเคยมาโรงเตี๊ยมเลื่อมรุ้งเป็นครั้งแรก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ขึ้นมาเยือนชั้นนี้ และเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสภาพการตกแต่งที่แท้จริงของชั้นนี้

และเนื่องด้วยเหตุนี้ จิตใจของหวงเลี่ยจึงหนักอึ้งขึ้นมาหลายส่วน ไม่รู้ว่าหอหิมะเหมันต์มีเจตนาอย่างไรกันแน่

ว่ากันตามจริงแล้ว หากมิใช่เพราะเหตุนี้ หนิวโหย่วเต้าไหนเลยจะกล้าเรียกให้เขามาที่นี่ด้วยตัวเองได้ อาศัยเพียงภูมิหลังเพียงเล็กน้อยของหนิวโหย่วเต้า ต่อให้เป็นฝ่ายวิ่งแจ้นไปหาที่สำนักเขามหาญาณก็ยังไม่แน่ว่าจะได้พบเขา

พวกหนิวโหย่วเต้าไม่มีใครอยู่ในห้องเลย ต่างพากันมารออยู่ในโถงทรงกลม

ฉู่อันโหลวก็อยู่ด้วย ต้องยอมรับเลยว่าเงินหลายแสนเหรียญทองนั้นก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง

ทั้งสองฝ่ายพบหน้ากัน เหมยสือไคเป็นคนกลางแนะนำทั้งสองฝ่าย

หนิวโหย่วเต้าแย้มยิ้มประสานมือเอ่ยทักทาย “ได้ยินชื่อเสียงของเจ้าสำนักหวงมานานแล้ว วันนี้ได้พบพาน ช่างองอาจห้าวหาญสมคำร่ำลือ”

หวงเลี่ยปรายตามองแวบหนึ่ง หาได้แยแสเขาไม่ หากแต่จ้องมองฉู่อันโหลว ประสานมือทักทาย “ไม่พบกันหลายปี เถ้าแก่ฉู่ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”

…………………………………………………………………….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า