ตอนที่ 190 หวงเลี่ยแห่งเขามหาญาณ
หยวนกังหันมามองด้วยความตะลึง นี่มันกลอนที่เต้าเหยี่ยเขียนให้ซ่งเหยี่ยนชิง แล้วต่อมาก็ทำให้จับลู่เซิ่งจงได้บทนั้นมิใช่หรือ?
เขาค่อยๆ หันไปมองหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง เขาทราบดีว่านี่คือกลอนที่เต้าเหยี่ยชื่นชอบที่สุด ไม่มีเหตุผลอื่นใด แค่เพราะว่าถูกใจเต้าเหยี่ย
หนิวโหย่วเต้าเองก็ตกตะลึงเช่นกัน แต่ก็เข้าใจในทันที ซาฮ่วนลี่เคยเห็นภาพที่เขาวาดให้เฮยหมู่ตาน บนภาพเขียนกลอนบทนี้เอาไว้ น่าจะเป็นซาฮวนลี่ที่เล่าให้สตรีนางนี้ฟัง
ครานั้นตอนที่เขาวาดภาพนั้นให้เฮยหมู่ตาน เขาจงใจเขียนกลอนเพิ่มเข้าไปในรูปภาพ นั่นก็เพราะต้องการทำให้ซาฮ่วนลี่ประทับใจ เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะชอบภาพหรือว่าชอบกลอน จึงเขียนทั้งสองอย่างเอาไว้ด้วยกัน ต้องมีสักอย่างที่ถูกใจแน่ เหตุผลก็มีเพียงเท่านี้ ไม่มีเจตนาอื่น
เพียงแต่ เขาไม่รู้ว่าที่จู่ๆ สตรีนางนี้ก็ท่องกลอนบทนี้ออกมามันหมายความว่าอย่างไร?
พวกหานปิงก็หันมามองเช่นกัน ไม่รู้ว่าจู่ๆ เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ท่องกลอนบทนี้ออกมาด้วยเจตนาใด
เสวี่ยลั่วเอ๋อร์มองหนิวโหย่วเต้า เอ่ยถาม “นี่เป็นกลอนที่เจ้าแต่งกระมัง?”
ทุกคนมองไปทางหนิวโหย่วเต้าอย่างพร้อมเพรียง
“มิใช่ขอรับ!” หนิวโหย่วเต้าปฏิเสธทันที ก่อนจะชี้ไปที่หยวนกัง “เขาเป็นคนแต่ง ข้าเพียงยืมมาใช้”
ทุกคนมองไปที่หยวนกัง
สีหน้าหยวนกังเรียบเฉย ค่อยๆ มองไปทางหนิวโหย่วเต้า ทว่าในใจกลับตื่นตระหนก ครั้งก่อนตอนอยู่ต่อหน้าสองพี่น้องตระกูลซางก็ทำแบบนี้ ครั้งนี้คุณเอาอีกแล้วหรือ?
เขาไม่เข้าใจ คุณชอบแสร้งทำเป็นทรงภูมิมีความรู้มันก็เรื่องของคุณสิ ทำไมถึงชอบลากผมเข้าไปเกี่ยวด้วย ผมใช่คนแบบนั้นหรือไง? คุณมีความสามารถรอบด้านแล้วยังจะอายอะไรอีก?
อันที่จริงเขาพอจะเข้าใจหนิวโหย่วเต้าอยู่บ้าง ความสามารถไม่ควรเผยออกไปจนหมด ทุกเรื่องต้องเผื่อทางหนีทีไล่เอาไว้ อะไรที่ยังไม่ทราบแน่ชัดก็ยิ่งต้องเผื่อทางหนีทีไล่เอาไว้ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะได้แก้ไขได้ เพียงแต่นิสัยที่ชอบผลักภาระมาให้คนอื่นแบบนี้มันแย่มากจริงๆ!
หากมิใช่เพราะเห็นแก่สถานการณ์ตรงหน้า กลัวว่าจะนำความยุ่งยากมาให้ เขาคงตอกหนิวโหย่วเต้ากลับไปจนอีกฝ่ายไม่มีทางลงไปแล้ว จะให้คนหยาบกระด้างอย่างผมมาแต่งกลอนเนี่ยนะ ล้อเล่นหรือเปล่า!
เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ก็มองไปทางหยวนกังเช่นกัน คล้ายจะคิดไม่ถึงว่าบุรุษที่เปี่ยมด้วยความแข็งกร้าวสมชายชาตรีผู้นี้จะแต่งกลอนเป็นด้วย
แต่นางไม่สนว่าใครจะเป็นคนแต่ง เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ได้ยินว่าภาพวาดที่เจ้ามอบให้คนอื่นเขียนกลอนใส่ไปด้วย ข้าซื้อภาพเจ้าทีเดียวสิบภาพ แต่กลับไม่เห็นเขียนกลอนให้ซักบท ขอให้เจ้าเขียนกลอนให้สักบทคงไม่นับว่าเกินไปกระมัง?”
นางกล่าวมาเช่นนี้ หานปิงพลันเอ่ยสำทับด้วยสีหน้าจริงจัง “ทั้งสองท่าน คำขอของท่านประมุขไม่นับว่าเกินไปเลย”
ฉู่อันโหลวก็เอ่ยสนับสนุน “ถูกต้อง ซื้อสิบภาพ มอบกลอนให้สักบทไม่นับว่ามากเกินไปจริงๆ”
หนิวโหย่วเต้าแอบด่าอยู่ภายในใจ เงินที่ได้จากการวาดภาพสิบภาพอยู่ในมือเจ้ากว่าครึ่ง เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ?
แต่ทุกอย่างมันก็เห็นได้ชัด อีกฝ่ายกำลังกดดันตนเองอยู่ กดดันจนทางนี้ไม่กล้าปฏิเสธ
หนิวโหย่วเต้ากำมือป้องปากกระแอมเล็กน้อย กล่าวกับหยวนกังว่า “มิตรภาพยากจะปฏิเสธได้ เจ้าก็แต่งมาสักบทแล้วกัน”
หยวนกังยืนทื่ออยู่ตรงนั้น เอ่ยอย่างเย็นชา “แต่งไม่เป็น!”
ท่าทีเช่นนี้ไม่ดีเลย สีหน้าของหานปิงและฉู่อันโหลวแปรเปลี่ยนไปทันที
หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้ว รีบกระแอมพลางเอ่ยเตือน “เก็บนิสัยเด็กๆ ของเจ้าเอาไว้ซะ ห้ามก่อเรื่อง ก็แค่กลอนบทเดียว สำหรับเจ้าแล้วไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย แต่งๆ ออกมาเถอะ”
หยวนกังหันมองไปทางเขาอย่างช้าๆ เข้าใจความหมายของเขา จะให้ท่องกลอนที่รู้จักออกมาสักบทก็พอ
แล้วก็ไม่สนใจว่าเขาจะเห็นด้วยหรือไม่ จัดการสถานการณ์ตรงหน้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน หนิวโหย่วเต้าทำการตัดสินใจแทนหยวนกัง ประสานมือกล่าวกับเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ว่า “ไม่ทราบว่าท่านประมุขอยากจะเติมกลอนลงในภาพใด?”
เสวี่ยลั่วเอ๋อร์พยักพเยิดทางไปทางหยวนกัง “เปิดภาพออก ให้เขาเลือกเอง”
หานปิงโบกมือ เหล่าสาวใช้รีบยกภาพเหมือนสามภาพสุดท้ายของเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ที่ยังไม่ถูกนำไปเก็บไว้ในห้องออกมาทันที
หยวนกังเดินเข้าไปยืนมองอยู่หน้าภาพทั้งสาม เดิมทีเขาก็ไม่ชอบเรื่องซับซ้อนจุกจิกอยู่แล้ว ภาพวาดที่เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ถือช่อบุปผาแล้วก้มหน้าดอมดมอยู่ในวงรีดูเรียบง่าย เขาจึงชี้ไปพลางกล่าวว่า “ภาพนี้แล้วกัน”
หานปิงเอ่ยสั่งทันที “เตรียมหมึกพู่กัน!”
หมึกพู่กันถูกยกมา หยวนกังหันไปมองหนิวโหย่วเต้า
หนิวโหย่วเต้าถูกเขามองจนรู้สึกผิด นึกขึ้นได้ว่าตอนอยู่ต่อหน้าสองพี่น้องตระกูลซางก็เคยทำเรื่องทำนองนี้ไว้เช่นกัน กังวลว่าเขาจะเล่นแผลงๆ อีก จึงรีบก้าวเข้าไปกล่าวกับทุกคนว่า “ผู้ช่วยของข้าคนนี้อารมณ์มิสู้ดี เพื่อไม่ให้เป็นการล่วงเกินท่านประมุข เดี๋ยวข้าขอเกลี้ยกล่อมโน้มน้าวเขาเสียหน่อย”
กล่าวจบก็ลากหยวนกังออกไปด้านข้าง กระซิบว่า “นี่ไม่ใช่สองพี่น้องตระกูลซางที่สิ้นไร้ไม้ตอกเหมือนก่อนหน้านี้ นายห้ามก่อเรื่อง”
หยวนกังตอบว่า “ผมรู้”
หนิวโหย่วเต้าถาม “งั้นนายเตรียมจะใช้กลอนบทไหน?”
หยวนกังท่องออกมา “จันทร์กระจ่างส่องหน้าเตียง ดั่งน้ำค้างแข็งพร่างพรมดิน…”
หนิวโหย่วเต้ายกมือห้าม “นายจริงจังหน่อยได้ไหม?”
หยวนกังเอ่ยขึ้นว่า “มารดาร้อยด้ายด้วยใจรัก ถักเย็บอาภรณ์ด้วยห่วงหา เย็บให้แน่นก่อนบุตรจะจากลา ด้วยกลัวว่าอีกนานกว่าจะหวนคืน…”
“…..” หนิวโหย่วเต้าตะลึงตาค้าง จะใช้กลอนแบบนี้ประกอบภาพให้เสวี่ยลั่วเอ๋อร์เนี่ยนะ? แต่จะว่าไปแล้ว กลอนแบบนี้สิถึงจะเป็นกลอนแบบที่เจ้าลิงชื่นชอบ กระทั่งจะหาผู้หญิงก็ยังต้องหาแบบแม่ที่อยู่ในกลอนเลย จากจุดนี้เพียงคิดดูก็พอจะรู้แล้ว “นายอยากจะให้พวกเราโดนหามออกไปจากที่นี่เหรอไง”
หยวนกังเอ่ยว่า “คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าผมไม่สนใจเรื่องพวกนี้ แล้วผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะว่ากลอนบทไหนมันเหมาะหรือไม่เหมาะ? ไม่ต้องพูดแล้ว จะใช้กลอนบทไหนคุณว่ามาเลย ผมคิดไม่ออก”
ทั้งสองซุบซิบกันอยู่พักหนึ่งก็กลับมา
หนิวโหย่วเต้าหยิบพู่กันจุ่มหมึกขึ้นมาโดยไม่พูดไม่จา เตรียมเขียนกลอน
เมื่อเห็นเขาจับพู่กัน หานปิงก็เอ่ยถามขึ้นมา “สรุปแล้วผู้ใดเป็นคนแต่ง?”
หยวนกังตอบทื่อๆ ว่า “ข้าเขียนอักษรไม่ได้เรื่อง บอกบทกลอนเขาไปแล้ว ให้เขาเขียนแทน”
หานปิงมองเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ เมื่อเห็นคุณหนูไม่คัดค้านอะไร นางก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
หนิวโหย่วเต้าถือพู่กันยืนอยู่หน้าภาพที่หยวนกังเลือกไว้ภาพนั้น ครุ่นคิดเล็กน้อย ถึงอย่างไรทางนี้ก็มิใช่คนโง่เหมือนซ่งเหยี่ยนชิงคนนั้น จะทำส่งเดชไม่ได้ จึงเลือกกลอนบทหนึ่งมาดัดแปลง จรดพู่กันเขียนลงบนพื้นที่ว่างในภาพ
ตัวอักษรสี่แถวปรากฏบนกระดาษ
ยืนอ้างว้างท่ามกลางมาลีโรย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า