ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 192

ตอนที่ 192 เจรจา (2)

เฟ่ยฉางหลิวกล่าวว่า “ทุกคนต่างรู้แก่ใจดี ไยต้องแสร้งเลอะเลือน!”

“พักเรื่องนี้ไว้ก่อนเถอะ” หนิวโหย่วเต้าไม่อยากคุยเรื่องนี้ ที่เชิญพวกเขามาไม่ได้จะมาคุยเรื่องนี้ อีกทั้งเรื่องนี้ก็คุยต่อไม่ได้ด้วย เพราะสินค้าเหล่านั้นถูกเขาขายทิ้งไปหมดแล้ว เขาเอาสินค้าเหล่านั้นคืนมาไม่ได้ แล้วก็ไม่มีเงินที่จะจ่ายชดเชยมากขนาดนั้นด้วย “ซ่งจิ่วหมิงบอกว่าถ้าสังหารข้าได้ เขาจะได้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง สัญญาว่าจะมอบผลประโยชน์ให้สำนักเซียนสถิต สั่งให้สำนักเซียนสถิตมาทำงานให้เขา ไม่ทราบว่าข้าพูดถูกหรือไม่?”

ดวงตาเฟ่ยฉางหลิวฉายแววประหลาดใจระคนสงสัย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายทราบได้อย่างไร

เจิ้งจิ่วเซียวและเซี่ยฮวาก็มองเขาด้วยความประหลาดใจเช่นกัน ต่างลอบด่าอยู่ในใจ ตระกูลซ่งลำเอียงไปทางสำนักเซียนสถิตจริงๆ ด้วย เหตุใดถึงไม่บอกกล่าวทางพวกเราบ้างล่ะ?

เผิงโย่วไจ้ที่นั่งอยู่อีกด้านกลับทราบเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ดูเหมือนซางเฉาจงจะส่งสายลับไปแทรกซึมไว้ในตระกูลซ่ง ข่าวที่ทางซางเฉาจงส่งให้หนิวโหย่วเต้าก็เป็นสำนักหยกสวรรค์ที่ส่งมาให้ จึงทำให้เขาทราบเรื่องนี้

เฟ่ยฉางหลิวกล่าวว่า “ข้าบอกไปแล้ว ขอเพียงเจ้าชดเชยความเสียหายให้ร้านค้าของข้าได้ เรื่องอื่นก็นับว่าแล้วกันไป”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เจ้าสำนักเฟ่ย ที่ผ่านมาสำนักเซียนสถิตสังหารข้าไม่สำเร็จ ตอนนี้ข้าก็กล้าพูดอย่างเต็มปากเช่นกันว่านับจากนี้ไปสำนักเซียนสถิตก็สังหารข้าไม่ได้อยู่ดี ข้าขอบังอาจถามหน่อยว่าซ่งจิ่วหมิงจะฟื้นคืนอำนาจได้อย่างไร แล้วจะมอบผลประโยชน์ที่รับปากสำนักเซียนสถิตไว้ได้อย่างไร?”

เฟ่ยฉางหลิวกล่าวว่า “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ? ชดใช้ความเสียหายให้สำนักเซียนสถิต ส่วนเรื่องอื่น เพื่อเห็นแก่หน้าหอหิมะเหมันต์ สำนักเซียนสถิตของข้าจะไม่สืบสาวเอาความอีก!”

หนิวโหย่วเต้าไม่ยอมรับเงื่อนไขนี้ “ซ่งจิ่วหมิงไม่มีวันจะได้ฟื้นคืนอำนาจแน่นอน ท่านกับข้ามาเดิมพันกันสักตาเป็นอย่างไร ข้าพนันว่าตระกูลซ่งจะย่อยยับลงในไม่ช้านี้!”

เฟ่ยฉางหลิวกล่าวว่า “ไม่ต้องมาพูดเรื่องตระกูลซ่งอะไรกับข้าแล้ว เลิกคิดที่จะใช้ลูกไม้นี้จะดีกว่า เรื่องที่ผ่านมาต่างทำเพื่อนายของตน ทำงานให้ตระกูลซ่งเกิดเรื่องบาดเจ็บล้มตายอันใดสำนักเซียนสถิตของข้าล้วนยอมรับ แต่เงินจำนวนมหาศาลในร้านค้าก้อนนั้นเป็นทรัพย์สินของศิษย์ทั่วทั้งสำนักเซียนสถิต หากเจ้าไม่มอบคำอธิบายมาให้ ปล่อยให้เงินนั่นสูญเปล่าไปเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่สามารถอธิบายกับเหล่าศิษย์ทั้งบนล่างในสำนักเซียนสถิตได้เช่นกัน แต่แน่นอน หากเจ้าสามารถทำให้หอหิมะเหมันต์ออกมาบอกว่าไม่ให้ถามหาความรับผิดชอบในเรื่องนี้ได้ เช่นนั้นข้าก็จะยอมรับ ไม่อย่างนั้นข้าก็ได้แต่ต้องมาทวงเอากับเจ้าแล้ว!”

หนิวโหย่วเต้าตอบไม่ตรงคำถาม “เดิมทีสำนักเซียนสถิตพึ่งพาตระกูลซ่ง ยามนี้ตระกูลซ่งพังพินาศแล้ว สำนักเซียนสถิตไม่รู้ว่าควรจะไปทางไหนดี เกรงว่ากำลังสับสนอยู่กระมัง?”

เฟ่ยฉางหลิวกล่าวว่า “นี่คือเรื่องของสำนักเซียนสถิตของเรา เจ้าไม่จำเป็นต้องมากังวล!”

หนิวโหย่วเต้ากวาดตามองทุกคน “ครั้งนี้ที่เชิญทุกท่านมา ก็เพราะต้องการเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ในมณฑลหนานโจวแห่งแคว้นเยี่ยน ผลประโยชน์นี้เทียบกับผลประโยชน์ที่ตระกูลซ่งมอบให้แล้วเป็นอย่างไร? หากเจ้าสำนักเฟ่ยไม่สนใจ ก็เชิญออกไปตอนนี้ได้เลย ข้าไม่บังคับฝืนใจ ต่อไปหากยังอยากจะคิดบัญชีกับข้าอยู่ก็เชิญตามสบาย”

“…..” คนที่นั่งอยู่ต่างตกตะลึง แบ่งมณฑลหนานโจวแห่งแคว้นเยี่ยนหรือ?

เฟ่ยฉางหลิว เจิ้งจิ่วเซียว เซี่ยฮวา ทั้งสามต่างมองกันไปมองกันมา

เผิงโย่วไจ้ตะลึงไปเล็กน้อย ยิ้มหยันพลางกล่าวว่า “แบ่งมณฑลหนานโจว พูดจาใหญ่โตนัก หรือว่านี่จะเป็นความคิดของหอหิมะเหมันต์?”

หนิวโหย่วเต้ากลับผายมือไปทางเฟ่ยฉางหลิว “ข้าบอกแล้วว่าไม่บังคับฝืนใจ หากเจ้าสำนักเฟ่ยอยากไปก็ไปได้เลย”

เฟ่ยฉางหลิวคล้ายไม่อนาทรร้อนใจ เอ่ยว่า “ลองฟังดูก็ไม่เสียหาย”

หนิวโหย่วเต้าแค่นเสียงเหอะ มองไปรอบๆ พลางเอ่ยถามว่า “มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ? ท่านจะคิดบัญชีกับข้า ข้าไหนเลยจะยอมบอกความลับแก่ท่านได้?”

อูเซ่าฮวนที่ยืนอยู่ด้านหลังเฟ่ยฉางหลิวก้มหน้าลง กระซิบสองสามประโยคข้างหูเฟ่ยฉางหลิวแล้วยืดตัวขึ้น

ใบหน้าเรียบเฉยของเฟ่ยฉางหลิวคร่ำเคร่งขึ้นมาเล็กน้อย เขาก้มหน้าหลุบตาพลางเอ่ยว่า “หากว่ามีผลประโยชน์ในมณฑลหนานโจวที่เพียงพอจะชดเชยความเสียหายของสำนักเซียนสถิตได้จริงๆ ข้าก็นับว่ามีคำอธิบายให้ทั้งสำนักเซียนสถิตแล้ว บุญคุณความแค้นในอดีตเองก็ใช่ว่าจะละวางไม่ได้”

หนิวโหย่วเต้าหันไปถามอีกสองคนที่เหลือ “เจ้าสำนักเจิ้งกับเจ้าสำนักเซี่ยล่ะ? จะคิดบัญชีก่อน หรือจะทำอะไรก่อน?”

เจิ้งจิ่วเซียวลูบเคราพลางกล่าวว่า “ลองฟังดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”

เซี่ยฮวาตอบอืมคำหนึ่ง พยักหน้าเห็นด้วย

“เมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็ลองฟังดูก่อนเถอะ” หนิวโหย่วเต้าแค่นหัวเราะคล้ายกำลังเยาะหยัน จากนั้นมองไปที่เผิงโย่วไจ้ เอ่ยว่า “นี่ไม่เกี่ยวข้องกับหอหิมะเหมันต์ หรือเจ้าสำนักเผิงคิดว่าความทะเยอทะยานของยงผิงจวิ้นอ๋องนั้นจะหยุดอยู่แค่สถานที่เล็กๆ อย่างจังหวัดชิงซาน?”

หากว่าเป็นความคิดของหอหิมะเหมันต์ มันก็ยังมีความเป็นไปได้อยู่ แต่พอได้ยินว่ามิใช่ความคิดของหอหิมะเหมันต์ เผิงโย่วไจ้ก็ดูแคลนขึ้นมาทันที “ผู้ใดบ้างไม่อยากถีบตัวให้สูงขึ้นไป? แต่ต่อให้ทะเยอทะยานมากแค่ไหน มันก็ต้องมีพลังอำนาจที่สอดคล้องกันด้วยถึงจะเป็นไปได้ มิใช่มาเที่ยวคุยโวโอ้อวดอยู่แบบนี้”

หนิวโหย่วเต้าโต้กลับอย่างตาต่อตาฟันต่อฟัน “มันก็ดีกว่าไม่ลงมือทำอะไรเลย! ลองคิดดูสิว่าหากมิใช่เพราะสิ่งที่ยงผิงจวิ้นอ๋องทำหลังไปถึงอำเภอชางหลู อาณาเขตของสำนักหยกสวรรค์ก็จะมีแค่จังหวัดกว่างอี้เพียงแห่งเดียว แต่พอยงผิงจวิ้นอ๋องมาถึง พระองค์ก็ช่วยยึดเอาจังหวัดชิงซานที่สำนักหยกสวรรค์เฝ้ามองมาเป็นเวลานานหลายปีได้ทันที หรือยงผิงจวิ้นอ๋องก็แค่คุยโวโอ้อวดเช่นกัน?”

วาจานี้คล้ายจะถากถางสำนักหยกสวรรค์ว่าไร้ความสามารถ เผิงโย่วไจ้ย่อมไม่พอใจ แค่นหัวเราะพลางเอ่ยว่า “หากมิใช่เพราะสำนักหยกสวรรค์ของข้าให้การสนับสนุน เขาจะเอาอะไรไปยึดจังหวัดชิงซานมาได้?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เช่นนั้นไยสำนักหยกสวรรค์ถึงไม่ยึดจังหวัดชิงซานตั้งแต่แรก หากแต่ต้องรอให้ยงผิงจวิ้นอ๋องมายึดด้วย? หรือว่าสำนักหยกสวรรค์มีความสามรถในการทำนายอนาคต ทราบอยู่ก่อนแล้วว่าเมื่อยงผิงจวิ้นอ๋องออกมาจากคุกแล้วจะมายังจังหวัดชิงซาน จึงตั้งใจรอมาเป็นเวลานานแล้ว? เจ้าสำนักเผิงเอ่ยเช่นนี้ไม่กลัวผู้คนจะพากันหัวเราะหรือ? หึหึ หากมิใช่เพราะยงผิงจวิ้นอ๋องจัดการทุกฝ่ายได้ สำนักหยกสวรรค์จะกล้าให้การสนับสนุนหรือ? หากมิใช่เพราะยงผิงจวิ้นอ๋องจัดการปูทางทุกอย่างไว้ให้สำนักหยกสวรรค์แล้ว เกรงว่าอิทธิพลภายในมณฑลหนานโจวของสำนักหยกสวรรค์คงจะยังกระจุกอยู่แค่จังหวัดกว่างอี้เท่านั้น”

“โอหัง!” ผู้อาวุโสรายหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเผิงโย่วไจ้ตะคอกด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว

หนิวโหย่วเต้ายกถ้วยชาขึ้นมา ปรายตามองผู้อาวุโสคนนั้น ค่อยๆ ยกถ้วยไปจรดที่ริมฝีปากก กล่าวว่า “เมื่อนั่งคุยกันแล้วก็ต้องเจรจากันด้วยเหตุผล ไม่ใช่มาแข่งกันว่าใครเสียงดังกว่าใคร”

กล่าวจบก็เป่าชาร้อนเบาๆ แล้วค่อยๆ จิบลงไป จากนั้นเอ่ยต่อว่า “หากยงผิงจวิ้นอ๋องไปบอกว่าต้องการยึดจังหวัดชิงซานตั้งแต่ตอนที่ไปถึงจังหวัดกว่างอี้เป็นครั้งแรก เกรงว่าสถานการณ์ก็คงจะเป็นอย่างเช่นวันนี้ เกรงว่าคงจะได้รับวาจาค่อนแคะเสียดสีจากเจ้าสำนักเผิง ดูแคลนยงผิงจวิ้นอ๋องว่าไม่เจียมกำลังตน ทว่าความเป็นจริงในตอนนี้มันเป็นอย่างไรล่ะ? เกรงว่าในเวลานั้นต่อให้สำนักหยกสวรรค์หลับฝันไปก็คงจะคิดไม่ถึงเช่นกันว่ายงผิงจวิ้นอ๋องจะกลายเป็นผู้ปกครองจังหวัดชิงซานไปได้กระมัง? คำเหยียดหยามในวันนี้ ระวังจะซ้ำรอยเดิม!”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทั้งเฟ่ยฉางหลิว เจิ้งจิ่วเซียวและเซี่ยฮวาต่างก็ตกอยู่ในห้วงความคิด รู้สึกว่าเหมือนจะเป็นอย่างที่อีกฝ่ายว่ามาจริงๆ ตอนนั้นผู้ใดจะคิดเล่าว่าซางเฉาจงจะสามารถยึดจังหวัดชิงซานได้เร็วขนาดนั้น?

เผิงโย่วไจ้ยกมือขึ้นเล็กน้อย ปรามผู้อาวุโสที่กำลังยืนโมโหอยู่ด้านหลัง “ปากคอเราะร้ายนัก หากซางเฉาจงมีวิธียึดครองมณฑลหนานโจวได้ สำนักหยกสวรรค์ของข้าย่อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง มีแต่จะส่งเสริม ไม่มีทางทำเรื่องเลวร้าย แต่จังหวัดชิงซานใหญ่แค่ไหน แล้วมณฑลหนานโจวใหญ่แค่ไหน? ต่อให้สำนักหยกสวรรค์ของพวกเราพยายามขัดขวางสำนักอื่นเอาไว้อย่างสุดกำลังแล้วจะทำอะไรได้ ไพร่พลของจังหวัดชิงซานและจังหวัดกว่างอี้ก็มีอยู่เท่านั้น ต่อให้มอบไพร่พลทั้งหมดให้ซางเฉาจงบัญชาการ ทว่าพื้นที่มณฑลหนานโจวกว้างใหญ่ถึงเพียงนั้น หลังจากไพร่พลกระจายตัวไปเฝ้าระวังแล้วจะป้องกันเอาไว้อยู่หรือ? ฝืนจะยึดครองมณฑลหนึ่ง ราชสำนักแคว้นเยี่ยนไหนเลยจะยอมปล่อยไปได้? เจ้าเอาแต่พูดจาใหญ่โตไม่หยุด หรือหารือวิธีการลับอันใดกับซางเฉาจงเอาไว้แล้ว?”

พูดกันมาถึงตรงนี้ มันก็เป็นเหมือนอย่างที่ตัวเขาว่ามา ถ้าเอามณฑลหนานโจวมาได้จริงๆ ทำไมจะไม่เอา? ที่เขาปรามผู้อาวุโสที่กำลังโมโหเอาไว้ ก็เพราะอยากลองฟังดูว่าอีกฝ่ายจะว่าอย่างไร ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าสำนัก สิ่งที่เขาต้องใคร่ครวญคือผลประโยชน์ของทั้งสำนัก การทะเลาะวิวาทกันเพราะคำพูดไม่กี่ประโยคจะทำให้เสียงานใหญ่ไปโดยไม่จำเป็น

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “การจะยึดมณฑลหนานโจว วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือใช้กำลังทหารยึดเอามา จะหวังให้สำนักหยกสวรรค์ของท่านออกแรงนั้นเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้สำนักหยกสวรรค์ของท่านจะมีกำลังคนมาก แต่ถ้าต้องส่งออกไปเฝ้าพื้นที่ขนาดใหญ่อย่างมณฑลหนานโจวนั้นยังไม่พอจะใช้ยัดซอกฟันด้วยซ้ำ ดังนั้นสุดท้ายยังคงต้องขึ้นอยู่กับยงผิงจวิ้นอ๋อง”

เฉินถิงซิ่ว หรือก็คือผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ด้านหลังเผิงโย่วไจ้ที่แสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาก่อนหน้านี้ยิ้มหยันพลางเอ่ยว่า “เรื่องดูแลมณฑลให้เฟิ่งหลิงปอทำก็ได้ ไม่จำเป็นต้องยกหน้าที่นี้ให้ซางเฉาจงเพียงแค่คนเดียวกระมัง?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าว “มันก็ใช่ ทว่าข้าสนับสนุนซางเฉาจงเพียงคนเดียวเท่านั้น เหตุผลมันก็ง่ายๆ แค่นี้!”

เฉินถิงซิ่วเอ่ยถากถาง “เจ้าจะสนับสนุน เจ้าจะเอาอะไรมาสนับสนุน?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าไม่เข้าใจเรื่องการสู้รบ แต่ตอนที่ข้าคุยเล่นกับยงผิงจวิ้นอ๋องและหลานรั่วถิง ข้าเคยถามพวกเขาว่าหากจะยึดมณฑลหนานโจวต้องใช้คนเท่าไร? พวกเขาบอกว่าหากแค่โจมตีเพื่อยึดมา ใช้ทหารชั้นยอดสามแสนนายก็เพียงพอแล้ว! ส่วนเรื่องการปกครองและการป้องกันหลังยึดมาได้ ก็ค่อยรับสมัครคนในพื้นที่เอาก็ได้ อันที่จริงไพร่พลที่จะใช้ในการรบไม่จำเป็นต้องมีมากเกินไป หากมากเกินไปกลับจะกลายเป็นภาระ เมื่อลองคำนวณดูแล้ว หากตัดทหารชั้นยอดหนึ่งแสนนายของจังหวัดกว่างอี้ออกไป เราก็ยังต้องการทหารชั้นยอดอีกสองแสนนายถึงจะยึดมณฑลหนานโจวได้!”

ทุกคนมองเขา ไม่รู้ว่าที่เขาตอบที่ไม่ตรงคำถามแล้ววกเข้าประเด็นนี้มันหมายความว่าอย่างไร

เผิงโย่วไจ้แค่นเสียงเหอะ “กองกำลังทหารหนึ่งแสนคนที่จังหวัดกว่างอี้เลี้ยงดูเอาไว้ในเวลานี้นับว่าถึงขีดจำกัดแล้ว และที่ทำเช่นนั้นได้ก็เป็นเพราะจังหวัดกว่างอี้มีความอุดมสมบูรณ์ หากเพิ่มกำลังทหารเข้าไปอีกสองแสนคน จะทำให้สิ้นเปลืองเสบียงและเงินทอง นั่นไม่ใช่สิ่งที่จังหวัดชิงซานและจังหวัดกว่างอี้จะแบกรับไหว”

หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ จิบชาอีกคำหนึ่ง กล่าวต่อว่า “นี่ก็คือจุดที่ข้าสามารถสนับสนุนได้ ข้าสามารถให้การสนับสนุนด้านทุนทรัพย์ได้!”

เผิงโย่วไจ้เอ่ยว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการเลี้ยงดูทหารหนึ่งคนต่อหนึ่งวันต้องใช้เงินเท่าไร? ต่อให้กินแบบธรรมดาที่สุด อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เงินสิบเหรียญทองแดง อีกทั้งทหารยังมีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดู แต่ละคนต้องได้เบี้ยหวัดอย่างน้อยเดือนละสามร้อยเหรียญทองแดงถึงจะเพียงพอให้คนทั้งครอบครัวใช้ชีวิตอยู่ได้ ตกเป็นเงินสิบเหรียญทองแดงต่อวัน”

“นี่ยังไม่รวมเงินค่าเสื้อผ้า ชุดเกราะและอาวุธ ยังไม่รวมค่าเบี้ยหวัดของแม่ทัพนายกองเหล่านั้นและม้าศึก แล้วก็ยังไม่รวมเงินที่ต้องใช้ดูแลรักษาผู้บาดเจ็บจากการฝึกซ้อม ไม่รวมเงินเยียวยากรณีเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นด้วย”

“แค่ปัจจัยพื้นฐานของทุกคน แต่ละวันก็ต้องใช้เงินยี่สิบเหรียญทองแดงแล้ว ทหารสองแสนคน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันก็สี่ล้านเหรียญทองแดง ตีเป็นเหรียญทองก็สี่ร้อยเหรียญทอง ซึ่งในความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่แค่สี่ร้อยเหรียญทองด้วยซ้ำ เพราะมันยังมีปัจจัยยิบย่อยอื่นๆ อีก การเลี้ยงดูทหารชั้นยอดสองแสนนายค่าใช้จ่ายจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างน้อยสามเท่าตัว หากไม่มีเงินอย่างน้อยหนึ่งพันห้าร้อยเหรียญทองต่อวันก็อย่าได้หวังเลยว่าจะทำได้”

“นี่เป็นแค่ค่าใช้จ่ายต่อวันเท่านั้น สิบวันก็เป็นเงินหนึ่งหมื่นห้าพันเหรียญทอง หนึ่งเดือนก็สี่หมื่นถึงห้าหมื่นเหรียญทอง หนึ่งปีจะต้องมีอย่างน้อยห้าแสนเหรียญทองถึงจะเพียงพอ อีกทั้งในการสนับสนุนทหารสองแสนนายในการออกรบ เบื้องหลังจะต้องเลี้ยงดูช่างฝีมือเอาไว้เท่าไรเจ้ารู้หรือเปล่า? ต้องซื้อม้าจำนวนเท่าไรเจ้ารู้หรือเปล่า? นี่ยังไม่นับรวมกรณีที่เกิดสงครามขึ้นนะ ถ้าหากเกิดสงครามขึ้น ลำพังกำลังคนและกำลังทรัพย์ที่ต้องใช้ในการจัดเตรียมทรัพยากรจำนวนมากและการขนส่ง เงินเยียวยาผู้เสียชีวิตในสงคราม แต่ละอย่างเมื่อนำมารวมกันแล้วเป็นจำนวนเงินที่มากมายมหาศาล เจ้าหนุ่ม ยึดมณฑลหนานโจวฟังแล้วดูดี แต่มันไม่ใช่ว่าจะยึดมาได้ง่ายๆ ขนาดนั้น จำเป็นต้องมีกำลังทรัพย์จำนวนมากคอยสนับสนุน เจ้าจะสนับสนุนอย่างนั้นเหรอ? เจ้าจะไปหาเงินสนับสนุนมากมายขนาดนั้นมาจากไหน?”

เฟ่ยฉางหลิวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “สงสัยเป็นเพราะปล้นร้านค้าของพวกเราทั้งสามสำนักไป มีเงินทุนนิดหน่อยถึงได้กล้าพูดจาเช่นนี้ล่ะมั้ง”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องแจกแจงรายการพวกนี้ให้ข้าฟัง ข้าไม่สนใจเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ และข้าก็ไม่เข้าใจเรื่องจุกจิกวุ่นวายพวกนี้ด้วย ข้าเพียงแค่สนับสนุนด้านทุนทรัพย์เท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าควรใช้จ่ายอย่างไร นั่นเป็นเรื่องที่ยงผิงจวิ้นอ๋องต้องไปจัดการเอง”

เผิงโย่วไจ้ยื่นมือออกมา “เงินอยู่ไหนล่ะ? หากเจ้ามีเงินมาสนับสนุนได้ หากเจ้าทำให้ซางเฉาจงมีกำลังทรัพย์พอจะรับสมัครไพร่พลได้ อย่าว่าแต่ยึดมณฑลหนานโจวเลย ต่อให้ยึดแคว้นเยี่ยนทั้งแคว้น สำนักหยกสวรรค์ของพวกเราก็ไม่ขัดข้อง!”

……………………………………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า