ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 194

ตอนที่ 194 สุราฤทธิ์แรง

“หอมจัง กลิ่นอะไร?”

บนหน้าผาภายในหุบเขา ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาด้านนอกร้านค้าสำนักหยกสวรรค์ต่างได้กลิ่นหอมประหลาด จึงพากันมองเข้าไปด้านใน

ภายในร้านค้า คนของสำนักหยกสวรรค์ก็กำลังตามหาต้นตอของกลิ่นหอมที่ว่านี้อยู่เช่นกัน เพียงแต่กระทั่งเจ้าสำนักอย่างเผิงโย่วไจ้ก็ยังถูกขวางเอาไว้

“เจ้าสำนักเผิง ขออภัยด้วย ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา” หยวนกังยืนขวางปากทางที่ตรงเข้าไปด้านในเอาไว้ พวกต้วนหู่ที่อยู่ด้านหลังกลับค่อนข้างหวั่นวิตก อยู่ในร้านของสำนักหยกสวรรค์แล้วยังกล้าไปขวางทางเจ้าสำนักของเขาอีก

เฉินถิงซิ่วตวาดใส่ “โอหัง หรือพวกข้าต้องยอมปล่อยให้พวกเจ้าทำตัวเหิมเกริม?”

หยวนกังไม่สนใจเขา เพียงแต่จ้องมองเผิงโย่วไจ้แล้วเอ่ยถาม “หรือเจ้าสำนักเผิงอยากจะให้เกิดข้อผิดพลาดกับเงินที่จะมาถึงมือ?”

พอได้ยินวาจานี้ เผิงโย่วไจ้ก็ทำได้เพียงข่มความสงสัยเอาไว้ อดทนรอต่อไป…

ภายในเขตหวงห้าม หนิวโหย่วเต้ายื่นมือไปหมุนบิดท่อทองเหลือง บีบคลึงจนกลายเป็นก้อนแล้วโยนไว้ด้านข้าง ข้าวของจำพวกหม้อเตาก็ถูกทำลายทิ้งเช่นกัน

หลังจาก ‘ทำลายหลักฐานจนสิ้นซาก’ แล้ว เขาถึงจะเดินออกมาจากในห้อง กวักมือเรียกอู๋ซานเหลี่ยงที่เฝ้าอยู่ตรงทางเดินเข้ามา เอ่ยว่า “ออกไปข้างนอกหน่อย ไปเชิญเฟ่ยฉางหลิวกับเจ้าสำนักอีกสองคนมาที”

“ขอรับ” อู๋ซานเหลี่ยงก้าวอาดๆ ออกไป

หนิวโหย่วเต้าออกมาจากพื้นที่หวงห้ามที่ตั้งขึ้นมาชั่วคราวแล้ว พวกเผิงโย่วไจ้ก็ทราบเรื่องอย่างรวดเร็ว ยามที่เผิงโย่วไจ้เข้ามาหา หนิวโหย่วเต้ากำลังดื่มชาอยู่ภายในห้องนอนที่ทางสำนักหยดสวรรค์จัดเตรียมเอาไว้ให้เขา

ครั้งนี้หยวนกังกลับไม่ได้ขวางเขาเอาไว้ เผิงโย่วไจ้ตรงเข้าไป เมื่อเจอหน้าก็เอ่ยถามตรงๆ ว่า “กลิ่นหอมประหลาดนั้น เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”

กลิ่นหอมนั้นอบอวลอยู่ภายในร้านจนทำให้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ต้องเปิดหน้าต่างระบายอากาศถึงจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง

หนิวโหย่วเต้าลุกขึ้นพลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ย่อมเป็นสิ่งที่ได้ตกลงกันเอาไว้ก่อนหน้านี้”

เผิงโย่วไจ้ถาม “ของล่ะ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เจ้าสำนักเผิงอย่าเพิ่งรีบร้อน เอาไว้พวกเฟ่ยฉางหลิวมาแล้ว ข้าย่อมต้องนำออกมา เอ่อ…อยู่ในที่ของท่าน คงไม่ต้องให้ข้าเชิญท่านดื่มชากระมัง?”

เผิงโย่วไจ้นั่งรออยู่ด้านหนึ่ง คอยสังเกตหนิวโหย่วเต้าอยู่เป็นระยะ หากมิใช่เพราะเกี่ยวพันไปถึงหอหิมะเหมันต์ ไหนเลยจะมีเรื่องเช่นนี้ได้

หลังจากเขาหยุดทำเรื่องอะไรสักอย่างที่ทำอยู่ก่อนหน้านี้ ประกอบกับเปิดหน้าต่างระบายอากาศแล้ว กลิ่นที่อบอวลอยู่ภายในร้านค้าถึงค่อยๆ เลือนรางไป ค่อยๆ หายไป

หลังรออยู่สักพัก เฟ่ยฉางหลิว เซี่ยฮวา เจิ้งจิ่วเซียวก็ทยอยมาถึง รออยู่ที่ห้องรับแขก

หลังจากได้รับแจ้ง หนิวโหย่วเต้าก็ลุกขึ้นอีกครั้ง ผายมือเชิญเผิงโย่วไจ้ไปพบแขกด้วยกัน ขณะที่เดินออกจากประตูไปก็เอ่ยกับหยวนกังว่า “ไปหยิบไหพวกนั้นออกมา”

เมื่อทางนี้มาถึงห้องรับแขก พวกเฟ่ยฉางหลิวก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน คารวะเผิงโย่วไจ้

ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันตามมารยาทเล็กน้อย หยวนกังยกถาดใบหนึ่งเข้ามา บนถาดมีไหสุราขนาดเล็กห้าใบ หนิวโหย่วเต้าโบกเล็กน้อย “มอบให้เจ้าสำนักแต่ละท่านคนละไห”

หยวนกังยกถาดเดินผ่านหน้าเจ้าสำนักแต่ละคน ก่อนจะเดินกลับมาอีกครั้งแล้ววางไหที่เหลืออยู่ใบสุดท้ายไว้ตรงหน้าหนิวโหย่วเต้า

พวกเผิงโย่วไจ้ยกไหสุราขึ้นมาพลิกไปพลิกมามองสำรวจดู บนไหสุรามีผนึกโคลนใหม่เอี่ยม ต่างรู้สึกมึนงงไม่เข้าใจ

“หรือว่านี่คือสุรา?” เมื่อเห็นว่าใช้ไหสุราในการบรรจุ เผิงโย่วไจ้จึงลองถามดู

“เจ้าสำนักเผิงสายตาเฉียบแหลมจริงๆ มองเพียงครู่เดียวก็รู้แล้ว เพียงแต่เจ้าสำนักเผิงคงจะไม่เคยดื่มสุรานี้มาก่อน” หนิวโหย่วเต้าหยิบไหสุราที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาไว้ในมือ เอ่ยกับศิษย์ของสำนักหยกสวรรค์คนหนึ่งว่า “รบกวนไปนำจอกสุรามาห้าใบ”

ศิษย์คนนั้นมองไปทางเจ้าสำนัก เผิงโย่วไจ้โบกมือเล็กน้อย สื่อว่าให้จัดการตามที่อีกฝ่ายบอก จากนั้นจ้องมองไหสุราที่อยู่ในมืออีกครั้ง พลิกไปพลิกมาสำรวจดู

ไม่นานจอกสุราก็ถูกนำมาส่งให้ วางอยู่ตรงหน้าหนิวโหย่วเต้า

หนิวโหย่วเต้าแกะผนึกโคลนทิ้ง รินสุราใสแจ๋วลงไปในจอก กลิ่นหอมสายหนึ่งเริ่มลอยฟุ้งอยู่ภายในห้อง เป็นกลิ่นเดียวกับที่อบอวลอยู่ในร้านก่อนหน้านี้

“หอมจัง!” เซี่ยฮวาสูดหายใจลึกๆ พลางกล่าวชื่นชม เดินเข้ามาสำรวจดูเป็นคนแรก

เจ้าสำนักแต่ละคนล้วนอดใจไม่อยู่ พากันล้อมวงเข้ามา อยากเห็นว่าเป็นสุราอะไรกันแน่ คิดไม่ถึงว่าจะหอมถึงเพียงนี้

หนิวโหย่วเต้าที่รินสุราเสร็จเรียบร้อยผายมือเชิญ “นี่คือสุราฤทธิ์แรงที่ผู้น้อยเพิ่งกลั่นขึ้นมาใหม่ ทุกท่านโปรดลองชิมดู”

เจ้าสำนักแต่ละคนหยิบจอกสุราขึ้นมาไว้ในมือคนละจอกพลางมองสำรวจดู หลังจากมองแล้ว เผิงโย่วไจ้ก็อดอุทานด้วยความแปลกใจไม่ได้ “เหตุใดสุรานี้ถึงใสกระจ่างถึงเพียงนี้?”

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ นี่คือสุรากลั่นที่เขาทำการผสมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว จึงย่อมต้องใสเป็นธรรมดา เขายิ้มพลางเอ่ย “สุราที่ปกติพวกท่านดื่มกันมีสิ่งเจือปนมากมาย ล้วนแต่เป็นสุราขุ่น สุราของข้าอันนี้ไร้สิ่งเจือปน ย่อมใสกระจ่างเป็นธรรมดา ทุกท่านลองชิมดูได้!”

วาจานี้ทำให้พวกเฮยหมู่ตานที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกคันยุบยิบอยู่ในใจ อยากลองลิ้มรสดู บรรดาผู้อาวุโสของแต่ละสำนักต่างตาเป็นประกายเช่นกัน

มีเพียงหยวนกังที่เบะปากดูแคลนเล็กน้อย เต้าเหยี่ยกำลังรังแกพวกคนไม่มีความรู้อีกแล้ว

“เจ้าสำนักช้าก่อนขอรับ” เฉินถิงซิ่วเห็นเผิงโย่วไจ้กำลังจะยกจอกขึ้นดื่ม ก็รีบเอ่ยห้ามไว้ หยิบขวดกระเบื้องสีขาวขนาดเล็กใบหนึ่งออกมา เตรียมทดสอบพิษ

หนิวโหย่วเต้าถอนหายใจ “อย่าได้ทำลายรสชาติสุราเลย หากข้าวางยาพิษ ข้าจะหนีรอดไปได้หรือ?” กล่าวจบก็หยิบจอกสุราของตนขึ้นมา เงยหน้าดื่มรวดเดียวจนหมด สุราค่อยๆ ไหลผ่านลำคอลงไปในท้อง พ่นกลิ่นสุราออกมา ดวงตาฉายแววดื่มด่ำคะนึงหาในรสชาติเล็กน้อย

เมื่อเห็นเช่นนี้ เผิงโย่วไจ้จึงโบกมือปรามเฉินถิงซิ่ว ยกจอกขึ้นจิบคำหนึ่ง

แต่เมื่อสุราไหลเข้าปาก สองตาของเขาพลันเบิกโพลง ใบหน้าแข็งเกร็งขึ้นมา

“เจ้าสำนัก เป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ?” เฉินถิงซิ่วรีบเอ่ยถามด้วยความตกใจ

เผิงโย่วไจ้ยกมือปรามอีกครั้ง ท่าทางคล้ายไม่อยากถูกรบกวน กำลังรับรู้ถึงสุราที่ไหลลงคอไปอย่างช้าๆ เขารับรู้ได้เพียงว่ามีของเหลวร้อนๆ สายหนึ่งไหลลงสู่กระเพาะ เมื่อตกถึงท้องก็คล้ายว่ามีเปลวไฟกองหนึ่งกำลังลุกไหม้ ทว่ากลิ่นหอมยังคงคละคลุ้งอยู่ในปาก กลิ่นหอมอันรุนแรงไหลเวียนไปตามเหงือกและฝัน ทำให้คนดื่มด่ำกับรสชาติที่ยังตกค้างไม่รู้จบ เขาเบิกตากว้างร้องชมว่า “สุราดี! เป็นสุราฤทธิ์แรงจริงๆ!”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมา สุราที่คนในโลกนี้ดื่มล้วนเป็นสุราที่หมักแล้วแยกกากออกไปเฉยๆ แตกต่างจากสุรากลั่นที่ผ่านการกลั่นของเขา รสชาติย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เมื่อพวกเฟ่ยฉางหลิวได้ยินก็รีบจิบชิมดูเช่นกัน ผลคือเมื่อสุราไหลเข้าปาก แต่ละคนหากไม่เบิกตาโพลงก็ขมวดคิ้วขึ้นมา

เซี่ยฮวายกมือขึ้นป้องปากเอาไว้ ท่าทางคล้ายยากจะกลืนลงไปได้

“ฟู่ว! เป็นสุราดีจริงๆ ด้วย!” เฟ่ยฉางหลิวพ่นลมหายใจออกมาพลางเอ่ยชม

“ดื่มสุรานี้แล้ว ถ้ากลับไปดื่มสุราอย่างเมื่อก่อนอีก เกรงว่าคงไร้รสชาติแล้ว” เจิ้งจิ่วเซียวจุ๊ปากพลางถอนหายใจ

เซี่ยฮวาค่อยๆ คลายมือที่ป้องปากออก ส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “สุรานี้แรงเกินไป เข้มเกินไป ข้าดื่มไม่ถนัด”

“แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าสุรา!” เผิงโย่วไจ้หัวเราะฮ่าๆ ยื่นมือไปคว้าสุราไหนั้น เมื่อดื่มสุราเข้าไป ความใจใหญ่ตรงไปตรงมาที่สอดคล้องกับขนาดตัวของเขาก็เผยออกมา

หนิวโหย่วเต้ากลับยื่นมือไปกดไหสุราไว้ “เจ้าสำนักเผิง สุรานี้ราคาแพงยิ่ง ท่านรู้หรือไม่ว่าหนึ่งอึกที่ท่านดื่มไปเมื่อครู่สูญเงินไปเท่าใดแล้ว?”

เผิงโย่วไจ้ถาม “เท่าไร?”

หนิวโหย่วเต้ามองไปรอบๆ “คนที่ไม่เกี่ยวข้องควรจะถอยออกไปก่อนหรือเปล่า? สุราน่ะค่อยๆ ดื่มได้ ทว่าเรื่องงานไม่อาจล่าช้าได้ พวกเราควรคุยเรื่องงานกันได้แล้ว”

เผิงโย่วไจ้หันหน้าไปส่งสัญญาณเล็กน้อย เหล่าศิษย์ที่ไม่เกี่ยวข้องถูกไล่ออกไปทันที

ในตอนนี้นอกจากคนของหนิวโหย่วเต้าแล้ว คนที่เหลืออยู่ก็มีเพียงพวกผู้อาวุโสของแต่ละสำนัก

หนิวโหย่วเต้ารินสุราใส่จอกให้เจ้าสำนักแต่ละคนอีกครั้ง จอกมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ไหสุราไม่ใหญ่นัก แต่ละไหบรรจุได้เพียงหนึ่งจินเท่านั้น เมื่อรินใส่จอกอีกหนึ่งรอบก็รินได้ไม่เต็มแล้ว พอดีกับที่ว่าเมื่อครู่เซี่ยฮวาบอกว่าไม่ชินกับสุราฤทธิ์แรงเช่นนี้ หนิวโหย่วเต้าจึงไม่ได้รินให้นางอีก

อันที่จริงหนิวโหย่วเต้าก็กลั่นมาแค่เล็กน้อยเช่นกัน แค่ทำแบบง่ายๆ ไม่ได้เปลืองแรงและเปลืองเวลาอะไรมากขนาดนั้น เพียงพิสูจน์ให้เห็นว่าทำได้จริงก็พอ

ครั้งนี้เจ้าสำนักแต่ละคนค่อยๆ ลิ้มรส ก่อนหน้านี้ดื่มเร็วไปหน่อย ครั้งนี้หลังจากสุราลงท้องไปแล้ว แต่ละคนต่างพ่นลมหายใจออกมาอย่างดื่มด่ำ

หนิวโหย่วเต้าโคลงไหสุราที่ว่างเปล่า เอ่ยถามว่า “ทุกท่าน หากขายสุรานี้ในราคาไหละหนึ่งร้อยเหรียญทอง พวกท่านคิดว่าจะขายออกหรือไม่?”

เผิงโย่วไจ้แววตาวูบไหว คล้ายจะเข้าใจเจตนาของเขาแล้ว

เซี่ยฮวาเอ่ยด้วยความแปลกใจ “ไหเล็กขนาดนี้ ซ้ำยังดื่มยากเช่นนี้ ขายแพงแบบนี้ ผู้ใดจะซื้อกัน?”

เจิ้งจิ่วเซียวโบกมือใส่นาง “ขายได้ๆ ข้าว่าขายไหละสองร้อยเหรียญทองก็มีคนซื้อ”

เฟ่ยฉางหลิวพยักหน้า “ต่อให้รู้สึกว่าแพงจึงดื่มได้ไม่บ่อย แต่ถ้าซื้อสุราดีๆ กลับไปรับรองแขกกลับไม่เป็นปัญหาเลย คนร่ำรวยมีอยู่ไม่น้อย สุราชั้นเลิศเช่นนี้ ขายสองร้อยเหรียญทองได้สบายๆ”

“ดี!” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าตอบรับ เดิมทีเขายังเตรียมประเมินราคาไว้ที่ประมาณหนึ่งร้อยเหรียญทอง แต่เมื่อได้ยินคำพูดของทั้งสองคน เขาจึงเปลี่ยนความคิด หันไปกล่าวกับเผิงโย่วไจ้ว่า “สุรานี้ ข้าจะขายให้สำนักหยกสวรรค์ในราคาสองร้อยเหรียญทองต่อไห ส่วนทางสำนักหยกสวรรค์ของท่านจะเอาไปขายต่อไหละเท่าไรข้าไม่สน ทุกๆ ปีข้าและทางยงผิงจวิ้นอ๋องจะส่งมอบสุราให้สำนักหยกสวรรค์หนึ่งหมื่นไห”

พวกเฟ่ยฉางหลิวทั้งสามสบตากัน รู้สึกตาร้อนอยู่บ้าง นี่คือลู่ทางทำเงินชัดๆ มอบให้สำนักหยกสวรรค์หนึ่งหมื่นไห ไม่รู้ว่าจะให้พวกเขาเท่าไร

เผิงโย่วไจ้กลอกตาไปมา หยิบไหสุราที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาดู “ไหเล็กขนาดนี้ ถึงจะให้มาหนึ่งหมื่นไห มันก็ยังน้อยเกินไปหน่อยหรือเปล่า? อีกอย่าง ไหเล็กขนาดนี้เจ้ายังกล้าขายข้าสองร้อยเหรียญทอง มันจะไม่ขูดรีดกันเกินไปหน่อยหรือ?” เมื่อวนมาถึงเรื่องแย่งชิงผลประโยชน์ให้สำนักหยกสวรรค์ ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปทันที บุคลิกท่าทางดูเหมือนพ่อค้าเป็นอย่างยิ่ง

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “สุรานี้ผลิตได้ยากแค่ไหนท่านเองก็เห็นแล้ว เพียงห้าไหเล็กๆ นี้กลับทำให้ข้าต้องเสียเวลาถึงครึ่งเดือน การที่ส่งมอบให้สำนักหยกสวรรค์ปีละหนึ่งหมื่นไหก็นับว่าไม่น้อยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือส่งมอบให้สำนักหยกสวรรค์เพียงเจ้าเดียวด้วย อีกอย่าง เงินนี่ใช่ว่าข้าจะเอาไว้ใช้จ่ายเอง หากแต่มอบให้หลานเขยของท่านใช้เป็นทุนสร้างกองทัพ แต่แน่นอน หากเจ้าสำนักเผิงรู้สึกว่าสองร้อยเหรียญทองต่อหนึ่งไหแพงเกินไป เมื่อครู่เจ้าสำนักเจิ้งและเจ้าสำนักเฟ่ยเหมือนจะไม่รังเกียจว่าแพงไป ข้าสามารถจัดส่งให้สำนักเซียนสถิตกับสำนักเมฆาล่องได้”

ดวงตาของเจิ้งจิ่วเซียวและเฟ่ยฉางหลิวเต็มไปด้วยความคาดหวังทันที แต่ใครจะไปรู้ว่าเผิงโย่วไจ้กลับยกมือขึ้นมาอีกครั้ง เปลี่ยนคำพูดทันทีว่า “เอาเถอะ ขอเพียงรับปากว่าจะจัดส่งให้สำนักหยกสวรรค์เพียงผู้เดียว ข้าจะยอมตกลงก็ได้!” การได้สิทธิ์ขาดในการขายแต่เพียงผู้เดียวจะทำให้ตั้งราคาได้ง่าย

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เจ้าสำนักเผิงอย่าด่วนรับปากเร็วเกินไป ข้ายังมีอีกสามเงื่อนไข”

เผิงโย่วไจ้ขมวดคิ้ว ชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยอีกครั้ง “ลองว่ามา”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ข้อแรก อำนาจทางการทหารของจังหวัดกว่างอี้และจังหวัดชิงซานจะต้องถูกโอนให้ยงผิงจวิ้นอ๋อง ประโยชน์ของการรวมอำนาจเป็นหนึ่งเดียวเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์สับสนว่าต้องฟังคำสั่งใครนั้นข้าคงไม่จำเป็นต้องพูดมาก ยิ่งไปกว่านั้น เอาไว้เมื่อรวบรวมกำลังยึดเอามณฑลหนานโจวมาได้แล้ว ผลประโยชน์ที่เฟิ่งหลิงปอจะได้รับนั้นไม่ใช่สิ่งที่จังหวัดกว่างอี้เพียงแห่งเดียวจะเทียบได้ ยังไงก็ต้องดีกว่าการให้เขาเฝ้าอยู่แต่ที่จังหวัดกว่างอี้ใช่หรือเปล่า?”

“ข้อสอง นอกจากเก็บเกี่ยวสมุนไพรวิญญาณแล้ว สำนักหยกสวรรค์จะต้องละเว้นการเรียกเก็บเงินจากสองจังหวัดนี้ชั่วคราว อย่างน้อยก็ห้ามเก็บจนกว่าจะยึดเอามณฑลหนานโจวมาได้ ประชาชนของทั้งสองจังหวัดแบกรับภาระหนักเกินไป ต่างใช้ชีวิตกันอย่างยากลำบาก ทางฝั่งท่านอ๋องก็สมควรละเว้นภาษีบางส่วนให้ประชาชนเช่นกัน สมควรให้ประชาชนได้ฟื้นตัวบ้าง ซึ่งนี่ก็นับเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรวมใจประชาชนด้วย มีแต่ต้องสร้างสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ที่ดีให้ทั้งสองจังหวัด ถึงจะสามารถดึงดูดประชากรจากทั่วสารทิศมาได้ ถึงจะทำให้ท่านอ๋องมีทหารให้ใช้ได้อย่างต่อเนื่อง มิเช่นนั้นจะไปหาทหารสองแสนนายมาจากไหน? อย่าไปใช้วิธีวิดบ่อเพื่อจับปลา[1]เหมือนอย่างเมื่อในอดีตอีก เพราะแบบนั้นมันไม่ใช่วิธีที่ยั่งยืน”

“ข้อสาม ทางจังหวัดกว่างอี้จะเป็นอย่างไรข้าไม่สนใจ แต่พื้นที่เก็บเกี่ยวสมุนไพรวิญญาณของจังหวัดชิงซาน สำนักหยกสวรรค์ต้องแบ่งพื้นที่ครึ่งหนึ่งให้สำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาส และหลังจากยึดมณฑลหนานโจวมาได้แล้ว สำนักหยกสวรรค์ก็ต้องแบ่งพื้นที่หนึ่งในสามของมณฑลหนานโจวให้ทั้งสามสำนักไปแบ่งกัน เมื่อตระกูลซ่งล้มลงแล้ว สามสำนักไร้ที่พึ่ง คาดว่าคงจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นกัน ในมือของสำนักหยกสวรรค์ไม่ได้มีเพียงจังหวัดชิงซานและจังหวัดกว่างอี้เท่านั้น แต่ยังมีพื้นที่อื่นๆ ด้วย รอจนได้สิบสามจังหวัดในมณฑลหนานโจวมาครองแล้ว สำนักหยกสวรรค์คงจะไม่มีกำลังคนมากพอจะมาช่วยอารักขายงผิงจวิ้นอ๋องไปอีกนาน เจ้าสำนักเผิงก็จำเป็นต้องใคร่ครวญถึงจุดนี้ด้วยเช่นกัน เพราะทันทีที่ลงมือโจมตีมณฑลหนานโจว นี่จะต้องเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของสำนักจำนวนไม่น้อยแน่นอน สำนักหยกสวรรค์คิดจะรับมือเพียงลำพังหรือ? ข้าว่าให้คนอื่นเข้ามาแบ่งความกดดันบางส่วนไปจะดีกว่านะ!”

………………………………………….

[1]วิดบ่อเพื่อจับปลา หมายถึง เสียสละผลประโยชน์ระยะยาวเพื่อผลประโยชน์ระยะสั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า