ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 197

ตอนที่ 197 สังหารล้างตระกูล

หนิวโหย่วเต้าเองก็เอ่ยกับเขาอย่างไม่เกรงใจว่า “มีเรื่องจะให้เจ้าไปจัดการหน่อย”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เซ่าผิงปอมีน้องชายสองคน เหมือนไม่ค่อยถูกกับเซ่าผิงปอเท่าไร เจ้าจงรีบไปที่มณฑลเป่ยโจว จับตาดูสองคนนี้ให้ข้าหน่อย ดูว่าปกติไปมาหาสู่กับผู้ใด แค่จับตามองไว้ก็พอ ไม่ต้องเข้าไปใกล้ชิด รอฟังข่าวจากข้า แล้วก็เซ่าผิงปอยังมีน้องสาวอยู่อีกคน เจ้าก็ถือโอกาสจับตามองไปด้วย แต่ห้ามเข้าใกล้โดยไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอาจจะมีอันตรายมาถึงตัวเจ้าได้”

เหตุผลที่ส่งเขาไปอีก เป็นเพราะเว่ยตัวคนนั้นมีปัญหานิดหน่อย อาการติดอ่างของเขานั้นนับเป็นปัญหาอย่างหนึ่ง หากออกไปสืบข่าวข้างนอกจะเป็นที่ผิดสังเกตได้ง่าย เขาเหมาะที่จะคอยจับตาดูเซ่าผิงปออยู่ในสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เท่านั้น ดังนั้นหนิวโหย่วเต้าจึงไม่จำเป็นต้องให้อู๋ซานเหลี่ยงไปจับตามองทางเซ่าผิงปอแล้ว แค่จับตามองเป้าหมายอื่นๆ ไว้ก็พอ

อู๋ซานเหลี่ยงพยักหน้า “เข้าใจแล้วขอรับ”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เจ้าไปครั้งนี้อาจมีอันตราย เพราะเจ้าเคยเผยหน้าในมณฑลเป่ยโจวแล้ว ดังนั้นไปคราวนี้จะต้องปกปิดตัวเองให้ดี งานล้มเหลวได้ แต่ไม่อาจเปิดเผยตัวตนได้ เอาเป็นว่าเจ้าไปจับตาดูสถานการณ์ทางฝั่งนั้นตามที่ข้าบอกก่อน หากมีข่าวอะไรก็รายงานกลับมาได้ตลอดเวลา เอาไว้ข้าจะจัดคนไปทำหน้าที่แทนเจ้า เรื่องนี้ ตอนนี้เจ้ารู้เพียงคนเดียวก็พอ อย่าเพิ่งบอกพวกเฮยหมู่ตาน นี่ก็เพื่อความปลอดภัยต่อตัวเจ้าเอง”

“ขอรับ!” อู๋ซานเหลี่ยงพยักหน้ารับ

หนิวโหย่วเต้ายิ้มพลางเอ่ยว่า “ไปเตรียมตัวแล้วเร่งออกเดินทางเถอะ”

“ขอรับ!” อู๋ซานเหลี่ยงประสานมือ จากนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว

หนิวโหย่วเต้าหันไปเอ่ยกับหยวนกังว่า “รออีกครึ่งเดือนค่อยลงมือ!”

หยวนกังพยักหน้า

…..

ณ มณฑลเป่ยโจว จวนท่องคลื่นที่อยู่ใต้ท้องฟ้ายามราตรีมีแสงโคมส่องสลัว แสงตะเกียงภายในห้องหนังสือส่องสว่างอยู่ตลอดจนล่วงเข้ายามดึก

เอกสารต่างๆ วางกองอยู่บนโต๊ะหนังสือ เซ่าผิงปอทยอยอ่านและเขียนคำแนะนำลงไปฉบับแล้วฉบับเล่า กระทั่งจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ววางพู่กันลง พ่อบ้านเซ่าซานเสิ่งก็ยกน้ำแกงชามหนึ่งมาวางไว้ด้านข้าง

เซ่าผิงปอดื่มรวดเดียวจนหมด ลุกขึ้นมาแล้วขยับตัวยืดเส้นยืดสาย

เซ่าซานเสิ่งที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเตือนประโยคหนึ่ง “คุณชายใหญ่ขอรับ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรจากทางหอหิมะเหมันต์ หรือว่าจะ…”

“ไม่ว่าจะมีอะไรหรือไม่ ก็ให้จับตามองต่อไป อย่าได้สายตาโดยเด็ดขาด” เซ่าผิงปอหันไปเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น จากนั้นออกจากห้องหนังสือไป

……

รัตติกาลมาเยือน จวนตระกูลซ่งในเมืองหลวงแคว้นเยี่ยน

รถม้าธรรมดาคันหนึ่งจอดอยู่ด้านนอกประตูข้าง เฉินกุยซั่วที่สวมหมวกไผ่สานกระโดดลงมาจากรถม้า เคาะประตูแล้วเปิดเข้าไป

ภายในรถม้า ซ่งซูก็มุดออกมาด้วยเช่นกัน บนร่างยังมีกลิ่นสุราติดอยู่เล็กน้อย เขาเพิ่งกลับมาจากบ้านอนุภรรยาที่เลี้ยงดูไว้ด้านนอก

ถึงแม้จะมีภรรยาเอกอยู่ที่บ้านแล้ว แต่เขาก็ยังออกไปผ่อนคลายด้านนอกบ้างเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะสถานการณ์ในระยะนี้ของตระกูลซ่งทำให้เขาค่อนข้างกลัดกลุ้ม เขาจึงออกไปหาความสำราญเสียหน่อย

ซ่งซูเดินเข้าประตูด้านข้างไปอย่างรวดเร็ว เฉินกุยซั่วถอดหมวกไผ่สานยื่นให้คนใช้ที่เฝ้าประตู ตามซ่งซูเข้าไปด้านใน

คนรับใช้ที่เฝ้าประตูขึ้นไปบนรถม้าอย่างรวดเร็ว บังคับรถม้ากลับไปส่งคืนที่เดิม

ซ่งซูกลับไปถึงเรือนตน เรียกหาฮูหยินอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้รับการตอบกลับ จึงหันไปถามคนใช้ที่กวาดลานเรือน “ฮูหยินไปไหน?”

คนใช้ตอบว่า “ฮูหยินอยู่ในห้องตลอดยังไม่ออกมาเลยขอรับ คิดว่าน่าจะพักผ่อนอยู่ขอรับ”

ซ่งซูมองท้องฟ้า พักผ่อนเวลานี้น่ะหรือ ทำอะไรอยู่กันแน่?

จากนั้นเขาก็ไปที่ห้องนอน พริบตาที่ผลักประตูเข้าไป ปีกจมูกพลันขยับไหว ได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง จึงรีบเข้าไปอย่างรวดเร็ว เห็นบนพื้นมีศพสองร่างนอนจมกองเลือดอยู่

สาวใช้เบิกตาโพลง ส่วนศีรษะของศพอีกร่างหนึ่งไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว แต่ดูจากการแต่งกายแล้วนั่นคือภรรยาของตน

ดวงตาของซ่งซูค่อยๆ เบิกขยาย เกิดเสียงดัง ‘วิ้ง’ ขึ้นในหัว ในเวลานี้เอง มีเสียงกรีดร้องดังแว่วมาจากด้านนอก “แย่แล้ว แย่แล้ว เกิดเรื่องกับคุณชายใหญ่แล้ว…”

ซ่งซูเคลื่อนกายผ่านประตูออกไปอย่างรวดเร็ว วิ่งไปยังทิศที่มีเสียงตะโกนดังขึ้นมา มองเห็นหญิงชราคนหนึ่งที่ดูราวกับเป็นบ้าไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น ใบหน้าขาวเซียว ฉุดดึงผู้คนที่ล้อมวงเข้ามาพลางตะโกนประโยคเดิมซ้ำๆ ว่า “เกิดเรื่องแล้ว เกิดเรื่องกับคุณชายใหญ่แล้ว…”

ซ่งซูขนลุกเกรียวขึ้นมาทันที ชักกระบี่ออกมา กระโจนขึ้นลงสองสามคราก็เหินทะยานมาถึงเรือนของซ่งเฉวียนผู้เป็นพี่ชายคนโต ก่อนจะเห็นคนใช้ในเรือนกำลังตกอยู่ในความตื่นตระหนกวุ่นวาย มีคนร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว

ซ่งซูพุ่งเข้าไปในโถงเรือน มองเห็นร่างที่ยังสวมชุดขุนนางร่างหนึ่งนอนจมกองเลือด ข้างกายยังมีศพอีกสี่ร่าง ล้วนมีสภาพเดียวกับภรรยาเขา ศีรษะหายไปหมด

เพียงแค่เห็นเขาก็เข้าใจแล้ว พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ยังมีหลานชายทั้งสองกับหลานสาวอีกคน…

ในเวลานี้เอง คนของเรือนทางนี้ที่รีบวิ่งไปที่เรือนหลักเพื่อรายงานก็ส่งเสียงร้องตะโกนด้วยความหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง

ความคิดอัปมงคลอย่างหนึ่งวาบเข้ามาในหัว ใบหน้าซ่งซูฉายแววตื่นตระหนกลนลาน รีบเคลื่อนกายไปอย่างรวดเร็ว ทะยานออกจากประตูไป เข้าไปในเรือนด้านหลังที่คนนอกไม่สามารถเข้าไปโดยพลการได้ ก่อนจะเห็นว่าทางด้านนี้ก็ตกอยู่ในความวุ่นวายเช่นเดียวกัน มีคนกลุ่มหนึ่งอออยู่ที่หน้าประตูห้องหนังสือ

“หลีกไป!” ซ่งซูดึงคนที่ออกันอยู่ตรงหน้าห้องหนังสือออกแล้วพุ่งเข้าไปในห้องหนังสือ ทันทีที่เห็นสภาพในห้องหนังสือ เขาก็พบว่ามีร่างคนสองร่างนอนจมกองเลือดอยู่ ไร้ซึ่งศีรษะเช่นเดียวกัน

เพียงมองก็จำได้ว่านั่นคือซ่งจิ่วหมิงผู้เป็นบิดากับพ่อบ้านหลิวลู่ ซ่งซูใบหน้าซีดเผือด ซวนเซถอยหลังไป ยันกระบี่ค้ำผนังไว้ ลมหายใจหอบถี่

ในเวลานี้เอง เฉินกุยซั่วพุ่งเข้ามา เมื่อเห็นสภาพที่เกิดเหตุก็เอ่ยถามเสียงเศร้าว่า “อาจารย์อา นี่มันอะไรกันขอรับ?”

ชิ้ง! ซ่งซูเหวี่ยงกระบี่ชี้ไปทางเขา ตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว “พูดมา ใช่ฝีมือของเจ้าหรือไม่?”

เฉินกุยซั่วรีบโบกมือพลางเดินถอยกลัง “อาจารย์อา ไม่ใช่ข้า ไม่ใช่ข้านะขอรับ จะเป็นฝีมือข้าไปได้อย่างไร ตอนข้าออกไปรับท่านก็เพิ่งเจอคุณชายใหญ่ที่กลับมาพอดี คนใช้ที่อยู่ตรงประตูล้วนมองเห็นกันหมด! เวลาเพียงเท่านี้ ข้าจะเที่ยวฆ่าคนไปทั่วทั้งจวนโดยไม่มีผู้ใดพบเห็นได้อย่างไรขอรับ”

เคร้ง! กระบี่ค้ำลงไปบนพื้น ซ่งซูมองไปทางเหล่าคนใช้ที่ยืนตื่นตระหนกอยู่ตรงหน้าประตูด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว ตะโกนถามว่า “บอกมา ใครเป็นคนทำ?”

เหล่าคนใช้ถอยหลังไปด้วยความหวาดกลัว พากันส่ายหน้าปฏิเสธ

ซ่งซูพุ่งออกไป จ่อกระบี่ใส่ทุกคนพลางเค้นถาม

เฉินกุยซั่ววิ่งออกมา ดึงแขนเขาไว้ ร้องว่า “อาจารย์อา ยังต้องถามอีกหรือขอรับ? ผู้ใดมีความแค้นกับตระกูลซ่ง ผู้นั้นก็เป็นคนทำนั่นแหละขอรับ เข้าไปสังหารคนในเรือนต่างๆ ได้ในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ ทั้งยังไม่ถูกคนที่เดินไปเดินมาพบเห็นอีก นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้เลยขอรับ”

ซ่งซูตกตะลึง จากนั้นดวงตาพลันมีเพลิงโทสะพวยพุ่งออกมา “หนิวโหย่วเต้า!”

เฉินกุยซั่วพูดไม่ออก ตามหลักแล้วศัตรูของตระกูลซ่งน่าจะมีอยู่ไม่น้อย ความจริงตัวเองยังคิดจะเอ่ยเตือนอีกสักหน่อย ผู้ใดจะไปคิดว่าตนเองยังไม่ทันจะได้เอ่ยเตือนอะไร คนผู้นี้ก็เดาได้ทันทีว่าเป็นหนิวโหย่วเต้า เฉินกุยซั่วไม่เข้าใจว่าเขาเดาถูกได้อย่างไร ดูเหมือนความแค้นที่บุตรชายของตนถูกฆ่าจะไม่เคยเลือนรางจางหายไปเลย

“อ๊าก!” ซ่งซูสะบัดแขนเฉินกุยซั่วออก ส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว

ด้านนอกกลับมีเสียงตะโกนแว่วมา “คุณชายสามบ้าไปแล้ว คุณชายสามฆ่าคนแล้ว คุณชายสามบ้าไปแล้ว คุณชายสามฆ่าคนแล้ว…”

“…..” เสียงคำรามของซ่งซูหยุดลงทันที เขากระโจนขึ้นไปกลางอากาศ ร่อนลงบนหลังคาประตูหน้าของจวนตระกูลซ่ง

ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาบนถนนต่างหยุดชะงัก ต่างกำลังรู้สึกประหลาดใจอยู่ คนที่ร้องตะโกนขึ้นมาก่อนหน้านี้ก็หนีไปแล้ว ทุกคนยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้ใดจะนึกว่าจะมีคนผู้หนึ่งยืนถือกระบี่อยู่เหนือประตูด้วยท่าทางดุร้าย ดวงตาที่แดงก่ำไปด้วยเส้นเลือดคู่นั้นดูน่าหวาดกลัว ดูคล้ายคนบ้าจริงๆ

“ใคร! ไอ้สารเลวไสหัวออกมา!” ซ่งซูกวาดตามองไปทั่วถนนพลางตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว ท่าทางคล้ายต้องการจะฆ่าคน

ผู้คนที่หยุดมองอยู่บนท้องถนนพากันถอยหลังไปด้วยความตกใจ จากนั้นพาวิ่งหนีกระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทาง

ซ่งซูยังคิดจะออกไปตามหาด้านนอกต่อ เห็นได้ชัดว่าคนที่ร้องตะโกนใส่ร้ายก่อนหน้านี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับฆาตกรอย่างแน่นอน

เฉินกุยซั่วที่ตามออกมารั้งตัวเขาไว้ “อาจารย์อา อย่าวู่วามขอรับ”

“ปล่อยข้า!” ซ่งซูหันไปจ้องมองด้วยความโกรธแค้น

“อาจารย์อา นี่เป็นกับดักชัดๆ มีคนคิดจะป้ายสีว่าท่านเป็นฆาตกรนะขอรับ ไม่รู้ว่าเบื้องหลังยังมีแผนการชั่วร้ายอะไรแอบซ่อนอยู่อีกหรือเปล่า หากถูกทางการจับตัวไป หากท่านพลาดท่าตกอยู่ในมือของทางการ… อาจารย์อา อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องอื่นเลยขอรับ สถานการณ์ในปัจจุบันของนายท่านเป็นอย่างไรท่านก็ทราบดี เห็นๆ อยู่ว่ามีศัตรูทางการเมืองตั้งใจสร้างความลำบากให้พวกเรา หากท่านตกอยู่ในกำมือของทางการ ท่านยังจะรอดออกมาได้หรือขอรับ! นายน้อยตายอย่างไม่เป็นธรรม คุณชายใหญ่ตายอย่างไม่เป็นธรรม นายท่านตายอย่างไม่เป็นธรรม หากเกิดเรื่องกับท่านอีก ตระกูลซ่งจะไม่เหลือคนอยู่ล้างแค้นแม้แต่คนเดียวนะขอรับ” เฉินกุยซั่วรีบเอ่ยเสียงเบาๆ สีหน้าท่าทางดูร้อนใจเป็นอย่างมาก

วาจานี้เป็นเสมือนน้ำเย็นที่ราดใส่ศีรษะ เมื่อลองใคร่ครวญอย่างมีสติดูเล็กน้อย ซ่งซูก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาที่แผ่นหลัง

เฉินกุยซั่วฉวยโอกาสนี้ลากเขากระโดดกลับเข้ามาในจวน “อาจารย์อา ใจเย็นก่อนขอรับ นี่คือกับดัก พวกเรารีบหนีกันเถอะขอรับ หากชักช้าจะไม่ทันการนะขอรับ”

ความรู้สึกหวาดกลัวถาโถมเข้ามา สุดท้ายซ่งซูที่กำลังตกอยู่ในความลนลานก็รีบกลับเข้าไปเก็บทรัพย์สินที่สามารถพกติดตัวไปได้ด้วยบางส่วน

ก่อนจากไป ซ่งซูเข้าไปในห้องหนังสือของเรือนหลัก คุกเข่าลงตรงหน้าศพของซ่งจิ่วหมิง หลั่งน้ำตานองหน้า ภายในใจเกิดความรู้สึกผิดและกล่าวโทษตัวเอง นึกชังว่าตนไม่ควรออกไปหาความสุขข้างนอกทั้งๆ ที่ตระกูลซ่งกำลังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เลย หากว่ามีตนหรือเฉินกุยซั่วคนใดคนหนึ่งอยู่ ฆาตกรอาจจะเกิดความกังวลว่าเสียงต่อสู้จะทำให้ฝ่าซือคุ้มกันเมืองหลวงรู้ตัว แล้วก็จะไม่กล้าลงมือทำอะไร!

แค้นใจนัก! ซ่งซูโขกศีรษะต่อหน้าศพของซ่งจิ่วหมิงหลายครั้ง จากนั้นลุกขึ้นแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่กล้ารั้งอยู่นาน

ซ่งซูเรียกบ่าวชราที่สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวคนหนึ่งเข้ามา ยื่นตั๋วแลกทองใบหนึ่งให้เขา เอ่ยด้วยสีหน้าโศกเศร้า “เหล่าจาง เรื่องราวในบ้านหลังจากนี้ต้องฝากเจ้าด้วย ไปแจ้งทางการเถอะ! บอกทางการว่าฆาตกรคือหนิวโหย่วเต้า!”

“คุณชายสาม นี่ท่าน…” บ่าวชราถามเขาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย

ซ่งซูไม่ได้อธิบายอะไรอีก สุดท้ายหันกลับไปมองดูห้องหนังสือที่บิดาเข้านอกออกในอยู่เป็นประจำอีกครั้ง ภายในใจเขาทราบกระจ่างดี เมื่อท่านพ่อล้มลง ไม้ล้มลิงกระเจิง เมื่อไร้ซึ่งอิทธิพลของท่านพ่อ ตระกูลซ่งก็จะล่มสลายลงอย่างสมบูรณ์ หลังจากนี้ไม่รู้ว่ายังจะมีโอกาสได้กลับมาที่บ้านหลังนี้อีกหรือไม่!

“อาจารย์อา” เฉินกุยซั่วที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเร่ง

ซ่งซูจากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ไม่มีเวลาจัดการศพของภรรยา แล้วก็ไม่มีเวลาจัดการศพของบิดาและพี่น้อง

พวกเขาออกจากเมืองหลวงไปอย่างเงียบๆ หลบลี้เข้าไปในป่าเขาที่อยู่ด้านนอกเมือง ปีนป่ายขึ้นสู่ที่สูง ซ่งซูทอดตามองไปยังทิศทางของบ้านตนเอง

เฉินกุยซั่วที่ยืนแบกห่อสัมภาระอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ว่าจะมีกับดักอันใดอยู่หรือไม่ แต่เห็นได้ชัดว่ามีคนคิดจะฆ่าล้างคนในตระกูลให้หมด ต่อให้เป็นศัตรูทางการเมืองของนายท่านก็คงกังวลใจกับความแค้นที่ตระกูลซ่งต้องถูกฆ่าล้างตระกูลในครั้งนี้ เกรงว่าคงไม่อยากให้มีใครในตระกูลซ่งกลับมามีอำนาจได้อีก เราคงจะอยู่ในแคว้นเยี่ยนต่อไปไม่ได้แล้วขอรับ”

ซ่งซูพึมพำกับตัวเอง “แล้วจะไปไหนเล่า พวกเราจะไปไหนได้?”

ในเวลานี้หากต้องออกจากแคว้นเยี่ยน เขาไม่รู้จริงๆ ว่าตนควรจะไปที่ไหน

มาตรว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียร แต่เขากลับอยู่ภายใต้การปกป้องของตระกูลซ่งมาโดยตลอด ยังไม่เคยเผชิญหน้ากับโลกบำเพ็ญเพียรตามลำพังมาก่อน

ถ้าหนีไปแคว้นอื่น หากว่าแคว้นเยี่ยนเรียกร้องให้แคว้นอื่นส่งตัวเขากลับไป แคว้นอื่นจะยอมมีปัญหากับแคว้นเยี่ยนเพื่อเขาเพียงคนเดียวอย่างนั้นหรือ? เมื่อไม่มีตระกูลซ่งแล้ว เหมือนเขาจะไม่มีประโยชน์อันใดต่อแคว้นอื่นเลย

หรือจะต้องตกต่ำกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก? ปกปิดชื่อเสียงเรียงนามไปชั่วชีวิต?

เฉินกุยซั่วที่อยู่ด้านข้างเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เป่ยโจวขอรับ พวกเราไปขอสวามิภักดิ์เข้ากับเซ่าผิงปอแห่งมณฑลเป่ยโจวกันเถอะขอรับ!”

“เซ่าผิงปอแห่งมณฑลเป่ยโจว?” ซ่งซูหันไปถามด้วยความแปลกใจ

เฉินกุยซั่วพยักหน้ารับ “อาจารย์อาลืมข่าวที่ศิษย์สืบหามาได้เมื่อหลายวันก่อนแล้วหรือขอรับ? เหตุผลที่ทางมณฑลเป่ยโจวส่งจดหมายมาหาพวกเรา เป็นเพราะเซ่าผิงปอเป็นอริกับหนิวโหย่วเต้า ทั้งเราและเขาต่างเป็นศัตรูคู่อาฆาตของหนิวโหย่วเต้า เซ่าผิงปอต้องรับตัวพวกเราไว้แน่ขอรับ”

ซ่งซูขมวดคิ้ว “เซ่าผิงปอชมชอบถังอี๋มิใช่หรือ สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็อยู่ที่มณฑลเป่ยโจว หากพวกเราไป สำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะยอมปล่อยพวกเราหรือ?”

………………………………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า