ตอนที่ 198 มื้อดึก – ตอนที่ต้องอ่านของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า
ตอนนี้ของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 198 มื้อดึก จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
ตอนที่ 198 มื้อดึก
เฉินกุยซั่วย้อนถาม “อาจารย์อาอยากจะล้างแค้นหรืออยากจะไปใช้ชีวิตสุขสบายอยู่กับเซ่าผิงปอขอรับ?”
ซ่งซูผงะไปเล็กน้อย จากนั้นตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที “หรือว่าในสายตาเจ้า ข้าคือคนที่หลงใหลในชีวิตสุขสบาย? หากไม่ชำระแค้นที่โดนสังหารล้างตระกูล ข้าขอสาบานว่าจะไม่เป็นคนอีก!”
เฉินกุยซั่วพยักหน้า “ในเมื่อไม่ได้ไปเพื่อเสพสุข หากแต่ไปเพื่อล้างแค้น อย่างนั้นก็ต้องทนแบกรับความอัปยศเอาไว้ขอรับ! เซ่าผิงปออยากกำจัดหนิวโหย่วเต้า อาจารย์อาเองก็อยากล้างแค้นเช่นกัน ขอเพียงอาจารย์อาไม่สร้างความลำบากให้เซ่าผิงปอ ไม่เปิดเผยตัวตนให้ใครรู้ อยู่แต่ในเขตพื้นที่ของตระกูลเซ่า เซ่าผิงปอคงหาทางหลบเลี่ยงหูตาของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้ไม่ยากขอรับ ขอเพียงอาจารย์อายอมทนต่อความอัปยศอดสูได้ เซ่าผิงปอจะจัดหาสถานที่เร้นกายสักแห่งให้พวกเราไม่ได้เชียวหรือขอรับ?”
“อุดมการณ์เดียวกันย่อมร่วมทางกันได้ อาจารย์อาไปขอพึ่งพา มีหรือที่เซ่าผิงปอจะไม่รับตัวไว้? หากเซ่าผิงปอรับตัวไว้ เราก็จะได้รับการปกป้องจากเซ่าผิงปอ อย่างน้อยก็สามารถรับรองความปลอดภัยในมณฑลเป่ยโจวได้ หากไม่รับไว้ ขอเพียงพวกเราไปที่นั่นอย่างเงียบๆ โดยไม่ให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์รู้ตัว อย่างมากเขาก็แค่ไล่พวกเราออกมา เพราะเซ่าผิงปอไม่มีเหตุผลที่จะต้องช่วยกำจัดศัตรูให้หนิวโหย่วเต้าเลย ไม่ว่าทางไหนก็ไม่มีอะไรเสียหาย ลองไปดูหน่อยก็จะเป็นอะไรไปล่ะขอรับ?”
ซ่งซูได้ฟังก็นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยๆ พยักหน้า “มีเหตุผล ที่ผ่านมากลับเป็นข้าที่ดูแคลนเจ้าเกินไป วันนี้ถึงได้รู้ว่าที่แท้เจ้าก็มีสายตาที่ยาวไกลเช่นนี้ด้วย!”
“อาจารย์อาชมเกินไปแล้วขอรับ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มันไม่ใช่เรื่องสายตายาวไกลอันใดหรอกขอรับ ข้าเพียงแต่กล้ำกลืนโทสะนี้ไม่ลงเท่านั้น” เฉินกุยซั่วเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น
ไม่ได้ยิ้มขมขื่นแค่เพียงใบหน้าเท่านั้น แต่ภายในใจก็กำลังยิ้มขมขื่นอยู่เช่นด้วยกัน เขาเองก็ไม่ได้อยากไปเสี่ยงอันตรายที่มณฑลเป่ยโจวเลย!
แต่ช่วยไม่ได้ จุดอ่อนที่ไม่อาจเปิดเผยได้ของตนอยู่ในกำมือของหนิวโหย่วเต้าแล้ว อีกฝ่ายต้องการให้ตนทำเช่นนี้ ตนก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
แต่แน่นอน ผลประโยชน์ที่หนิวโหย่วเต้ารับปากไว้ก็ไม่ได้แย่เลย
ตอนนี้เขาอับจนหนทางจริงๆ จนใจที่พลั้งเท้าก้าวเดินทางผิด ไม่อาจถอนตัวได้แล้ว!
ซ่งซูมองเขา รู้สึกตื้นตันเป็นอย่างมาก คนที่มีความจงรักภักดีเช่นนี้ หายากยิ่งนัก!
บางทีอาจเป็นเพราะติดตามตระกูลซ่งมาถึงวันนี้ จึงไม่มีทางเหลือให้ถอยแล้วก็เป็นได้ กักบริเวณหนิวโหย่วเต้าไว้ในสวนดอกท้อ ดักสังหารหนิวโหย่วเต้าที่วัดหนานซาน อยู่ที่มณฑลจินโจวก็หมายจะเอาชีวิตหนิวโหย่วเต้าอีก หากหนิวโหย่วเต้ายังมีชีวิต เกรงว่าศิษย์หลานคนนี้ก็คงไม่มีวันอยู่อย่างเป็นสุขได้!
เขายกมือตบไหล่เฉินกุยซั่ว “เจ้าวางใจเถอะ หากตระกูลซ่งกลับมามีอำนาจได้อีกครั้ง ข้าจะไม่มีวันลืมเจ้าแน่!”
เฉินกุยซั่วบ่นในใจ กลับมามีอำนาจอีกครั้งหรือ? ยังจะกลับมามีอำนาจได้อีกหรือ? ทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมของอีกฝ่ายแล้ว หากไม่เป็นเพราะอีกฝ่ายต้องการปล่อยท่านออกมา ท่านคิดว่าท่านจะหนีออกมาจากเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัยอย่างนั้นหรือ?
…….
ในทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่ อากาศหนาวเย็น ในโพรงถ้ำบนภูเขาหิมะลูกหนึ่ง พวกหนิวโหย่วเต้าหลบซ่อนอยู่ที่นี่มานานเจ็ดแปดวันแล้ว กลางวันซ่อนตัวไม่ออกไปไหน กลางคืนออกมาสำรวจดูสภาพอากาศ
พวกเฮยหมู่ตานไม่เข้าใจว่าหนิวโหย่วเต้าคิดจะทำอะไรกันแน่ พักอยู่ในหมู่บ้านริมน้ำใกล้ตำบลเล็กๆ มาเกือบเดือน หลังออกมาจากหมู่บ้านก็ไม่เห็นว่าจะกลับไปที่จังหวัดชิงซานอะไรนั่น กลับย้อนมายังเขตหิมะที่มุ่งหน้าไปยังหอหิมะเหมันต์แห่งนี้อีกครั้ง และไม่เพียงแต่ย้อนกลับมาเท่านั้น แต่ยังให้ทุกคนแบกฟืนมามัดหนึ่งด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้พวกนางรู้สึกไม่เข้าใจ
ขณะเดียวกันก็ทำให้พวกนางแอบรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา หรือว่าจะมาเพื่อผลตะวันชาดนั่นจริงๆ?
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว หากว่ามาเพื่อผลตะวันชาดจริงๆ นี่จะต้องไม่ใช่การมาขออย่างเปิดเผยแน่นอน หากแต่คิดจะมาแอบชิงไป มิเช่นนั้นคงไม่ทำตัวลับๆ ล่อๆ เช่นนี้ ทันทีที่คิดว่าอาจจะต้องขโมยผลตะวันชาดมาจากมือหอหิมะเหมันต์ พวกนางก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา นี่จะต้องใจกล้าขนาดไหนกัน?
“พอได้แล้ว”
หยวนกังที่สังเกตดูสภาพอากาศอยู่นอกถ้ำมาพักใหญ่กลับเข้ามาในถ้ำ พยักหน้าให้หนิวโหย่วเต้า
หนิวโหย่วเต้าร้อง ‘โอ้’ คำหนึ่ง พวกเฮยหมู่ตานรีบตามเขาออกไปนอกถ้ำ มองท้องฟ้ายามราตรี
พวกนางเห็นท้องฟ้ายามราตรีมีเมฆครึ้มลอยผ่านเป็นพักๆ บางครั้งท้องฟ้าก็ถูกเมฆครึ้มปกคลุม บางครั้งก็หดตัวเผยช่องว่างออกมา มองเห็นดวงดาวที่พร่างพราวอยู่เหนือชั้นเมฆ แสงจันทร์ที่ส่องลอดรอยแยกลงมาดูคล้ายปรอทสีเงินอย่างไรอย่างนั้น
สีหน้าหนิวโหย่วเต้าดูตึงเครียดขึ้นมา หันไปมองหยวนกัง “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไม่อาจทำเล่นๆ ได้ หากผิดพลาดขึ้นมาจะมีปัญหาไม่น้อย เจ้าแน่ใจนะว่าทำได้จริงๆ?”
หยวนกังพยักหน้า “ตอนนี้มั่นใจอย่างน้อยเจ็ดส่วน ถ้าหากว่าราบรื่น ก็อาจจะสูงถึงเก้าส่วน”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสียงขรึม “ห้ามฝืนเด็ดขาด ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาก็อย่าฝืนปะทะ เจ้าบอกไปว่าเป็นความคิดของข้า ให้พวกเขามาหาข้า ข้ามีวิธีจัดการอยู่”
คุยกันมาถึงตรงนี้ พวกเฮยหมู่ตานต่างกระสับกระส่าย พอจะคาดเดาได้แล้วว่าเป็นเรื่องผลตะวันชาดอย่างที่คิดไว้จริงๆ
หยวนกังตอบอย่างเรียบเฉย “เข้าใจแล้ว”
ทว่าหนิวโหย่วเต้ากลับเอ่ยกำชับอย่างจริงจังด้วยสีหน้าตึงเครียดอีกครั้ง “จำไว้ เรื่องนี้ห้ามฝืนทำเด็ดขาด ถ้าไม่ได้ก็ให้ถอยทันที ถ้าถูกจับได้ก็ให้ยอมจำนนทันที ที่เหลือเดี๋ยวข้าจัดการเอง เข้าใจไหม?”
หยวนกังยังคงตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เต้าเหยี่ย ข้าเข้าใจแล้ว”
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า หันกลับไปมองพวกเฮยหมู่ตาน
เฮยหมู่ตานประหม่าเป็นอย่างมาก สุดท้ายทนไม่ไหว จึงถามออกมาว่า “เต้าเหยี่ย จะไปเอาผลตะวันชาดหรือเจ้าคะ?”
หนิวโหย่วเต้าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “พวกเจ้ากลัวหรือ?”
เหลยจงคังกับต้วนหู่มองกันไปมองกันมา ล้วนไม่ทราบว่าควรจะตอบอย่างไรดี
เฮยหมู่ตานยิ้มเจื่อน “หากบอกว่าไม่กลัวแม้แต่นิดเดียวก็คงจะโกหก แต่ในเมื่อเต้าเหยี่ยต้องการทำเช่นนี้ ก็แปลว่าเต้าเหยี่ยต้องมีเหตุผลอยู่เป็นแน่ ข้าเพียงแต่คิดว่าทำเช่นนี้มันจะอันตรายเกินไปหรือเปล่า มันจะดีหรือเจ้าคะ?”
พอได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ หนิวโหย่วเต้าก็ไม่พูดมากอีก โยนสัมภาระอันหนักอึ้งบนตัวลง กระโดดลงไปจากยอดเขา เริ่มกลิ้งหิมะเป็นก้อนใหญ่ๆ แล้วขนขึ้นไปบนยอดเขา
หยวนกังหยิบ ‘ร่ม’ ที่อยู่บนพื้นขึ้นมาแกะเชือกที่มัดไว้ออก กางออกมา สอดแท่งไม้ที่มีความเหนียวแน่นทนทานเป็นอย่างยิ่งเข้าไปในตัวร่มทีละอันๆ เริ่มทำการประกอบติดตั้ง ปีกรูปทรงสามเหลี่ยมอันหนึ่งค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในมือเขา
กระทั่งเขาประกอบติดตั้งเครื่องร่อนปีกสามเหลี่ยมเสร็จเรียบร้อย หนิวโหย่วเต้าก็ก่อกำแพงหิมะทรงกลมที่สูงเท่าตัวคนและมีเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งจั้งไว้บนยอดเขาเสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
ทั้งสองมองออกไปนอกกำแพงหิมะ หยวนกังกระชับหมวกหนังที่สวมไว้บนศีรษะ หันหลังมุดเข้าไปใต้เครื่องร่อน ปีกสามเหลี่ยม แบกมันขึ้นมา หาพื้นที่ที่ค่อนข้างเปิดโล่งแห่งหนึ่ง ยกเครื่องร่อนขึ้นมาแล้ววิ่งส่งตัวไปพักหนึ่ง ก่อนจะกระโดดลงไปจากยอดเขาทั้งแบบนั้น
ลมหอบหนึ่งพัดมาพอดี เครื่องร่อนที่ตกลงไปถูกพยุงขึ้นมา ค่อยๆ ลอยตัวขึ้น หนิวโหย่วเต้าเงยหน้ามองตามไป
หยวนกังที่ทำการปรับทิศทางเล็กน้อยดูเหมือนอินทรียักษ์ตัวหนึ่ง เขาบังคับเครื่องร่อนให้บินอ้อมยอดเขารอบหนึ่ง ก่อนจะจมหายไปในม่านรัตติกาลอันเวิ้งว้างราวนกเค้าแมวตัวหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง
หนิวโหย่วเต้าสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ย่อตัวกระโดดเข้าไปในกำแพงหิมะ เริ่มก่อฟืนจุดไฟ
ไม่นานนัก กองเพลิงลุกโชนขึ้นมา กำแพงหิมะรอบข้างถูกสร้างขึ้นเพื่อกันไม่ให้แสงไฟเล็ดลอดออกไปภายนอก แล้วก็ช่วยป้องกันลมเอาไว้
แทบจะในช่วงเวลาเดียวกันนี้ เหลยจงคัง ต้วนหู่และเฮยหมู่ตานต่างทยอยก่อกองไฟขึ้น คอยเติมฟืนเข้าไปช้าๆ เพลิงไม่ได้ลุกโชนนัก กำลังรอคอยกันอยู่
กลางท้องนภาที่ลมหนาวพัดหวีดหวิว อุณหภูมิลดต่ำเป็นอย่างมาก ใต้เสื้อผ้าบริเวณหน้าท้องของหยวนกังโป่งพองขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ไอร้อนพวยพุ่งออกมาจากปากและจมูก น้ำค้างแข็งเกาะตัวอยู่บนขนริมขอบหมวกหนังของเขาเป็นชั้นหนาๆ
โคมไฟที่หอหิมะเหมันต์จุดไว้ค่อยๆ ปรากฏสู่สายตา หยวนกังที่เกาะเครื่องร่อนลอยตัวอยู่ในอากาศพบว่าตนเบี่ยงออกจากทิศทาง จึงรีบปรับทิศทางอย่างรวดเร็ว ร่อนไปทางหอหิมะเหมันต์
ขณะเดียวกันก็อาศัยแรงลมค่อยๆ ลอยตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ หลังจากลอยไปถึงท้องฟ้าด้านบนหอหิมะเหมันต์แล้ว เขาก็มุ่งหน้าต่อไป ร่อนไปยังยอดเขาหิมะด้านหลังหอหิมะเหมันต์ที่มีแสงจันทร์ส่องลอดชั้นเมฆลงมาเป็นครั้งคราว
เมื่อร่อนไปถึงท้องฟ้าเหนือยอดเขาแล้ว หยวนกังก็เริ่มบินวน ค่อยๆ ลดระดับความสูงลงช้าๆ
หลังจากได้ระดับความสูงพอประมาณแล้ว เขายังไม่รีบบินลงไป หากแต่รักษาระยะห่างจากยอดเขาไว้ บินวนไปมารอบแล้วรอบเล่า
ด้วยกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา ปีศาจหิมะที่อยู่ในแอ่งกระทะบนยอดเขาค่อยๆ ปีนขึ้นมา ค่อยๆ หดตัวล่าถอยลงไปจากยอดเขาด้วยความหวาดกลัว
หยวนกังอาศัยแสงสว่างจากแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา กะทิศทางที่จะร่อนลงไปบนยอดเขาด้วยสายตาแล้วปรับเปลี่ยนองศาการบินอย่างไม่ลังเล เครื่องร่อนปีกสามเหลี่ยมพุ่งลงไป โฉบเข้าไปในแอ่งกระทะบนยอดเขา
……………………………………………………
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า