ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 199

ตอนที่ 199 หิมะถล่ม

ในเวลาเดียวกับที่เท้าแตะลงพื้นแล้ววิ่งเหยาะๆ เครื่องร่อนปีกสามเหลี่ยมก็เชิดหัวขึ้น แรงต้านของลมช่วยหยุดแรงเฉื่อยจากการพุ่งลงมาเอาไว้ ทำให้หยวนกังที่ร่อนลงบนพื้นหยุดลงอย่างรวดเร็ว ไม่พุ่งออกไปไกลเกิน

ภายใต้แสงจันทร์สลัวที่ถูกชั้นเมฆบางๆ บนท้องฟ้าขวางกั้น หยวนกังแทบจะมองไม่เห็นต้นตะวันชาดที่งอกอยู่ในรอยแยกของแอ่งกระทะต้นนั้น แต่ผลตะวันชาดลูกหนึ่งที่เปล่งประกายสีแดงออกมาท่ามกลางความมืดกลับดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก ดูคล้ายอัญมณีอันแสนเย้ายวนเม็ดหนึ่ง

หยวนกังไม่กล้าชักช้า และไม่สนใจสถานการณ์รอบข้าง แบกเครื่องร่อนไปวางซ่อนไว้ด้านหลังก้อนหินก้อนหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกลมพัดปลิวไป

เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว รอบข้างจะเกิดอะไรขึ้นก็ล้วนไม่สำคัญแล้ว หากถูกผู้บำเพ็ญเพียรที่เฝ้าภูเขาพบตัวเข้า ด้วยกำลังของเขาในตอนนี้ เรียกได้ว่าไม่มีโอกาสหนีรอดได้เลย

ก็เหมือนอย่างที่เสี่ยวหรงได้บอกเอาไว้ก่อนที่จะมาที่นี่เพื่อคัดเลือกภาพพื้นหลังว่าทางหอหิมะเหมันต์ก็มีวิหคพาหนะเช่นกัน เครื่องร่อนต้องอาศัยแรงลอยตัวในอากาศเพื่อเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ความเร็วไม่ได้รวดเร็วอะไร หากถูกหอหิมะเหมันต์พบตัวเข้าแล้วใช้วิหคพาหนะตามล่า ต่อให้ใช้เครื่องร่อนหลบหนีออกมาได้ก็หนีไม่รอดอยู่ดี

ส่วนการหลบหนีบนพื้นดิน ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับพละกำลังหรือว่าความเร็วของผู้บำเพ็ญเพียร เขาก็ยิ่งไม่มีโอกาสหนีรอดได้เลย

ดังนั้นทันทีที่ร่อนลงพื้น เขาต้องพยายามไม่ให้ถูกพบตัวเข้า เพราะทันทีที่ถูกพบตัวเข้าก็จะไม่มีโอกาสใดๆ ให้หนีรอดได้อีก

เขามุดออกมาจากเครื่องร่อน เดินไปที่ต้นตะวันชาดด้วยฝีเท้าแผ่วเบาและรวดเร็ว จากนั้นรีบปลดห่อสัมภาระลงมาจากบนตัว วางลงบนพื้นแล้วเปิดออก หยิบกล่องหยกเหมันต์ใบหนึ่งออกมา เปิดฝาไว้แล้ววางไว้ที่เท้า

เขายืดตัวขึ้น ไม่สนใจรอบข้าง เอื้อมมือเข้าไปในพุ่มไม้ สัมผัสผลไม้ที่เปล่งแสงสีแดงลูกนั้น

ผลไม้ในมือเย็นเฉียบ คิดไม่ถึงว่าจะเย็นยิ่งกว่าความหนาวเย็นบนยอดเขาลูกนี้เสียอีก ทว่าสัมผัสกลับมีความอ่อนนุ่มอยู่หลายส่วน เขาไม่เคยได้ยินเต้าเหยี่ยเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย

หยวนกังออกแรงเด็ด แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ากิ่งตรงส่วนขั้วของผลตะวันชาดมีความเหนียวเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าด้วยระดับพละกำลังของเขาแล้วก็ยังยากจะดึงให้หลุดได้

แต่ก็พอจะเข้าใจได้ หากเป็นเหมือนผลไม้ธรรมดาทั่วไป เวลาที่ต้องเผชิญกับสายลมที่กระโชกอย่างรุนแรงบนยอดเขาลูกนี้ก็คงจะถูกพัดจนหลุดออกไปได้ง่ายๆ แล้ว ไม่มีทางที่จะโตขึ้นมาอย่างราบรื่นได้

เขาดึงมีดสั้นที่เหน็บไว้บนต้นขาออกมาจากฝัก ใช้นิ้วโน้มกิ่งลงมา คมของมีดสั้นถูกหนีบเอาไว้ระหว่างนิ้วสองนิ้ว ออกแรงเฉือนออกนอกตัว ใบมีดตัดกิ่งขาด ผลร่วงลงสู่ฝ่ามือ

เขาเก็บมีดสั้นเข้าฝัก จากนั้นย่อตัวลง วางผลตะวันชาดลงไปในกล่องหยกเหมันต์ ปิดฝาลงอย่างรวดเร็ว นำข้าวของที่อยู่ในห่อสัมภาระออกมา ใส่กล่องหยกเหมันต์เข้าไป ผูกห่อสัมภาระอย่างรวดเร็ว

ผลตะวันชาดหลังจากที่ถูกเด็ดลงมาจะเก็บรักษาได้ยากลำบาก จำเป็นต้องใส่ไว้ในกล่องหยกเหมันต์ มิเช่นนั้นหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามจะเน่าเปื่อยละลายไป

เขาเหวี่ยงห่อสัมภาระพาดหลัง ผูกปมไว้ตรงหน้าอก ยื่นมือไปหยิบห่อดินปืนห่อหนึ่งที่อยู่บนพื้นขึ้นมา มีขนาดไม่ใหญ่มาก ขนาดประมาณก้อนอิฐ ถึงแม้ปริมาณดินปืนจะไม่มาก แต่อานุภาพการระเบิดของดินปืนมีความสัมพันธ์กับวิธีการห่อดินปืนอยู่ไม่น้อย ตัวเขาคือผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

เขาคลำรอยแยกที่อยู่ใต้รากต้นตะวันชาด ห่อระเบิดถูกยัดเข้าไปในรอยแยก วางหินอุกกาบาตที่ทำปลอมขึ้นมาก้อนหนึ่งไว้ข้างๆ รากไม้

ชนวนระเบิดขดหนึ่งถูกดึงขึ้นมาจากพื้น ลากปลายด้านหนึ่งของชนวนระเบิดที่เชื่อมไว้กับห่อระเบิดแล้วสาวถอยไปด้านหลัง จากนั้นเริ่มเดินวนรอบต้นไม้พลางวางชนวนระเบิดไว้บนพื้น ชนวนระเบิดวงแล้ววงเล่าทิ้งระยะห่างออกจากต้นตะวันชาดออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็หยิบก้อนหินออกมาจากสายคาดเอวเป็นระยะ ใช้เป็นสลักสอดเข้าไปในรอยแยกบนพื้น เพื่อยึดไม่ให้ชนวนระเบิดถูกลมพัดจนยุ่งเหยิง

ตอนที่มาเลือกฉากวาดภาพก่อนหน้านี้ เขาได้สำรวจสภาพแวดล้อมของที่นี่พร้อมวางแผนเอาไว้นานแล้ว ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวางระเบิด เขาไม่มีทางปล่อยให้มีข้อผิดพลาดที่ไม่สมควรมีเกิดขึ้นมาได้

หลังจากลากม้วนชนวนระเบิดมาถึงข้างเครื่องร่อนแล้ว เขาก็หยิบตะบันไฟออกมาเป่าให้ลุกไหม้ ก่อนจะจ่อไปที่ปลายเชือก เกิดประกายไฟแล่นไปตามชนวนระเบิดดัง ‘ฟู่ว’

หยวนกังเก็บตะบันไฟ ยกเครื่องร่อนออกมาจากก้อนหินที่ใช้บังลม ออกแรงวิ่งส่งตัว คนและเครื่องร่อนเหินสู่อากาศพร้อมกัน อาศัยแรงลมเชิดขึ้นไปในอากาศ หักเลี้ยววนรอบหนึ่งแล้วบินผ่านยอดเขาไปอีกครั้ง หยวนกังที่เกาะอยู่ใต้เครื่องร่อนเพ่งมองด้านล่าง พบว่าประกายไฟยังคงลุกไหม้ จึงรู้สึกวางใจ ปรับทิศทางการบิน หายลับไปในท้องนภายามราตรีอันกว้างใหญ่

แสงจันทร์สายหนึ่งที่ลอดผ่านชั้นเมฆลงมาส่องกระทบเข้ากับเครื่องร่อนที่ลอยอยู่กลางอากาศพอดี

แต่ก็ไม่เป็นไรอยู่ดี การที่พวกเขาเลือกลงมือในสภาพอากาศเช่นนี้ ก็เป็นเพราะใคร่ครวญถึงปัจจัยในด้านนี้เอาไว้แล้ว ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่เฝ้าอยู่ด้านล่างภูเขามองเห็น พวกเขาก็ยากจะมองเห็นได้ชัด คงจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเมฆดำที่ลอยผ่านไป

เข้าใกล้แล้วลงไปบนยอดเขาอย่างเงียบๆ หลังจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็บินหนีไปอย่างไร้ซุ่มเสียงอีกครั้ง ให้ความรู้สึกเหมือนไปมาอย่างไร้ร่องรอยอยู่หลายส่วน เสมือนนกเค้าแมวตัวหนึ่งที่บินหายไปท้องฟ้ายามค่ำคืน

ชนวนระเบิดบนยอดเขายังคงลุกไหม้วนไปเรื่อยๆ ตอนที่สร้างชนวนระเบิดนี้ขึ้นมา หยวนกังได้ทดสอบความเร็วในการลุกไหม้ซ้ำไปซ้ำมา นี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปริมาณดินปืนที่ใส่ไว้ในนั้น เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ดับไปง่ายๆ อีกทั้งต้องทำให้เขาสังเกตเห็นได้ง่ายๆ ในตอนที่หนีออกมา

แสงจันทร์ที่ลอดลงมาเป็นครั้งคราวส่องลงบนพื้นกว้าง แต่เมื่อมองลงไปจากบนท้องฟ้า พื้นดินทั้งผืนยังคงดูเลือนราง ไม่สามารถแยกแยะภูมิประเทศเพื่อใช้เป็นพิกัดนำทางการบินได้

เขาทำได้เพียงจับทิศทางคร่าวๆ แล้วร่อนไปเบื้องหน้า ไม่สามารถแยกแยะทิศทางอย่างแม่นยำได้ ขณะเดียวกันก็อาศัยแรงลมค่อยๆ เพิ่มระดับความสูงในการบิน กวาดสายตามองไปรอบๆ ค้นหาพิกัดนำทางที่สร้างขึ้นมาโดยมนุษย์

เมื่อกลิ่นกายของหยวนกังที่หลงเหลืออยู่บนยอดเขาถูกลมพัดหายไป ปีศาจหิมะที่ล่าถอยลงจากยอดเขาก็เริ่มย้อนกลับไป

ส่วนประกายไฟที่ลุกไหม้วนเป็นวงกลม ในที่สุดก็วนมาถึงหน้าห่อดินปืนที่อยู่ใต้ต้นตะวันชาดแล้ว

ตูม!

เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น เปลวเพลิงสายหนึ่งระเบิดขึ้นบนยอดเขา สะเก็ดหินปลิวว่อน ต้นตะวันชาดที่อยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ปีศาจหิมะที่อยู่ในบริเวณยอดเขาล้วนได้รับแรงสั่นสะเทือน ตกใจจนหยุดนิ่ง ความรู้สึกตระหนกตกใจที่อยู่ในดวงตาคล้ายจะนึกเชื่อมโยงไปถึงกลิ่นอายที่ทำให้พวกมันรู้สึกหวาดกลัวกลิ่นนั้น สะเก็ดหินที่กระเด็นปลิวว่อนไปทั่วทำให้พวกมันหันหลังวิ่งหลบหนีลงมาจากยอดเขาด้วยความละลาน มีบางตัวส่งเสียงคำรามพลางล้มกลิ้งลงมาจากยอดเขาอย่างทุลักทุเล

เสียงระเบิดดังแว่วมา หยวนกังที่อยู่กลางท้องฟ้ายามค่ำคืนหันกลับไปมองทันที เปลวเพลิงจากการระเบิดลุกวาบแล้วหายไป กระทั่งเขาหันกลับไปมองดูอีกครั้ง เขาก็มองเห็นไม่ชัดแล้วว่าสภาพบนยอดเขาที่อยู่ไกลออกไปนั้นเป็นอย่างไรบ้าง แม้แต่ตัวภูเขาก็มองไม่เห็นแล้ว

แต่สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นบนยอดเขาที่อยู่ไกลออกไปกลับกำลังตกอยู่ในความชุลมุนวุ่นวาย ปีศาจหิมะที่หนีลงไปด้านล่างนั้นใช้ชีวิตอยู่ในเขตหิมะมาเป็นเวลานาน พวกมันคล้ายจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง จู่ๆ พากันวิ่งขึ้นเขาไปอีกครั้ง พุ่งขึ้นไปบนยอดเขาอย่างคลุ้มคลั่ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า