ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 199

ตอนที่ 199 หิมะถล่ม

ในเวลาเดียวกับที่เท้าแตะลงพื้นแล้ววิ่งเหยาะๆ เครื่องร่อนปีกสามเหลี่ยมก็เชิดหัวขึ้น แรงต้านของลมช่วยหยุดแรงเฉื่อยจากการพุ่งลงมาเอาไว้ ทำให้หยวนกังที่ร่อนลงบนพื้นหยุดลงอย่างรวดเร็ว ไม่พุ่งออกไปไกลเกิน

ภายใต้แสงจันทร์สลัวที่ถูกชั้นเมฆบางๆ บนท้องฟ้าขวางกั้น หยวนกังแทบจะมองไม่เห็นต้นตะวันชาดที่งอกอยู่ในรอยแยกของแอ่งกระทะต้นนั้น แต่ผลตะวันชาดลูกหนึ่งที่เปล่งประกายสีแดงออกมาท่ามกลางความมืดกลับดูสะดุดตาเป็นอย่างมาก ดูคล้ายอัญมณีอันแสนเย้ายวนเม็ดหนึ่ง

หยวนกังไม่กล้าชักช้า และไม่สนใจสถานการณ์รอบข้าง แบกเครื่องร่อนไปวางซ่อนไว้ด้านหลังก้อนหินก้อนหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกลมพัดปลิวไป

เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว รอบข้างจะเกิดอะไรขึ้นก็ล้วนไม่สำคัญแล้ว หากถูกผู้บำเพ็ญเพียรที่เฝ้าภูเขาพบตัวเข้า ด้วยกำลังของเขาในตอนนี้ เรียกได้ว่าไม่มีโอกาสหนีรอดได้เลย

ก็เหมือนอย่างที่เสี่ยวหรงได้บอกเอาไว้ก่อนที่จะมาที่นี่เพื่อคัดเลือกภาพพื้นหลังว่าทางหอหิมะเหมันต์ก็มีวิหคพาหนะเช่นกัน เครื่องร่อนต้องอาศัยแรงลอยตัวในอากาศเพื่อเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ความเร็วไม่ได้รวดเร็วอะไร หากถูกหอหิมะเหมันต์พบตัวเข้าแล้วใช้วิหคพาหนะตามล่า ต่อให้ใช้เครื่องร่อนหลบหนีออกมาได้ก็หนีไม่รอดอยู่ดี

ส่วนการหลบหนีบนพื้นดิน ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับพละกำลังหรือว่าความเร็วของผู้บำเพ็ญเพียร เขาก็ยิ่งไม่มีโอกาสหนีรอดได้เลย

ดังนั้นทันทีที่ร่อนลงพื้น เขาต้องพยายามไม่ให้ถูกพบตัวเข้า เพราะทันทีที่ถูกพบตัวเข้าก็จะไม่มีโอกาสใดๆ ให้หนีรอดได้อีก

เขามุดออกมาจากเครื่องร่อน เดินไปที่ต้นตะวันชาดด้วยฝีเท้าแผ่วเบาและรวดเร็ว จากนั้นรีบปลดห่อสัมภาระลงมาจากบนตัว วางลงบนพื้นแล้วเปิดออก หยิบกล่องหยกเหมันต์ใบหนึ่งออกมา เปิดฝาไว้แล้ววางไว้ที่เท้า

เขายืดตัวขึ้น ไม่สนใจรอบข้าง เอื้อมมือเข้าไปในพุ่มไม้ สัมผัสผลไม้ที่เปล่งแสงสีแดงลูกนั้น

ผลไม้ในมือเย็นเฉียบ คิดไม่ถึงว่าจะเย็นยิ่งกว่าความหนาวเย็นบนยอดเขาลูกนี้เสียอีก ทว่าสัมผัสกลับมีความอ่อนนุ่มอยู่หลายส่วน เขาไม่เคยได้ยินเต้าเหยี่ยเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย

หยวนกังออกแรงเด็ด แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ากิ่งตรงส่วนขั้วของผลตะวันชาดมีความเหนียวเป็นอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าด้วยระดับพละกำลังของเขาแล้วก็ยังยากจะดึงให้หลุดได้

แต่ก็พอจะเข้าใจได้ หากเป็นเหมือนผลไม้ธรรมดาทั่วไป เวลาที่ต้องเผชิญกับสายลมที่กระโชกอย่างรุนแรงบนยอดเขาลูกนี้ก็คงจะถูกพัดจนหลุดออกไปได้ง่ายๆ แล้ว ไม่มีทางที่จะโตขึ้นมาอย่างราบรื่นได้

เขาดึงมีดสั้นที่เหน็บไว้บนต้นขาออกมาจากฝัก ใช้นิ้วโน้มกิ่งลงมา คมของมีดสั้นถูกหนีบเอาไว้ระหว่างนิ้วสองนิ้ว ออกแรงเฉือนออกนอกตัว ใบมีดตัดกิ่งขาด ผลร่วงลงสู่ฝ่ามือ

เขาเก็บมีดสั้นเข้าฝัก จากนั้นย่อตัวลง วางผลตะวันชาดลงไปในกล่องหยกเหมันต์ ปิดฝาลงอย่างรวดเร็ว นำข้าวของที่อยู่ในห่อสัมภาระออกมา ใส่กล่องหยกเหมันต์เข้าไป ผูกห่อสัมภาระอย่างรวดเร็ว

ผลตะวันชาดหลังจากที่ถูกเด็ดลงมาจะเก็บรักษาได้ยากลำบาก จำเป็นต้องใส่ไว้ในกล่องหยกเหมันต์ มิเช่นนั้นหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามจะเน่าเปื่อยละลายไป

เขาเหวี่ยงห่อสัมภาระพาดหลัง ผูกปมไว้ตรงหน้าอก ยื่นมือไปหยิบห่อดินปืนห่อหนึ่งที่อยู่บนพื้นขึ้นมา มีขนาดไม่ใหญ่มาก ขนาดประมาณก้อนอิฐ ถึงแม้ปริมาณดินปืนจะไม่มาก แต่อานุภาพการระเบิดของดินปืนมีความสัมพันธ์กับวิธีการห่อดินปืนอยู่ไม่น้อย ตัวเขาคือผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

เขาคลำรอยแยกที่อยู่ใต้รากต้นตะวันชาด ห่อระเบิดถูกยัดเข้าไปในรอยแยก วางหินอุกกาบาตที่ทำปลอมขึ้นมาก้อนหนึ่งไว้ข้างๆ รากไม้

ชนวนระเบิดขดหนึ่งถูกดึงขึ้นมาจากพื้น ลากปลายด้านหนึ่งของชนวนระเบิดที่เชื่อมไว้กับห่อระเบิดแล้วสาวถอยไปด้านหลัง จากนั้นเริ่มเดินวนรอบต้นไม้พลางวางชนวนระเบิดไว้บนพื้น ชนวนระเบิดวงแล้ววงเล่าทิ้งระยะห่างออกจากต้นตะวันชาดออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็หยิบก้อนหินออกมาจากสายคาดเอวเป็นระยะ ใช้เป็นสลักสอดเข้าไปในรอยแยกบนพื้น เพื่อยึดไม่ให้ชนวนระเบิดถูกลมพัดจนยุ่งเหยิง

ตอนที่มาเลือกฉากวาดภาพก่อนหน้านี้ เขาได้สำรวจสภาพแวดล้อมของที่นี่พร้อมวางแผนเอาไว้นานแล้ว ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวางระเบิด เขาไม่มีทางปล่อยให้มีข้อผิดพลาดที่ไม่สมควรมีเกิดขึ้นมาได้

หลังจากลากม้วนชนวนระเบิดมาถึงข้างเครื่องร่อนแล้ว เขาก็หยิบตะบันไฟออกมาเป่าให้ลุกไหม้ ก่อนจะจ่อไปที่ปลายเชือก เกิดประกายไฟแล่นไปตามชนวนระเบิดดัง ‘ฟู่ว’

หยวนกังเก็บตะบันไฟ ยกเครื่องร่อนออกมาจากก้อนหินที่ใช้บังลม ออกแรงวิ่งส่งตัว คนและเครื่องร่อนเหินสู่อากาศพร้อมกัน อาศัยแรงลมเชิดขึ้นไปในอากาศ หักเลี้ยววนรอบหนึ่งแล้วบินผ่านยอดเขาไปอีกครั้ง หยวนกังที่เกาะอยู่ใต้เครื่องร่อนเพ่งมองด้านล่าง พบว่าประกายไฟยังคงลุกไหม้ จึงรู้สึกวางใจ ปรับทิศทางการบิน หายลับไปในท้องนภายามราตรีอันกว้างใหญ่

แสงจันทร์สายหนึ่งที่ลอดผ่านชั้นเมฆลงมาส่องกระทบเข้ากับเครื่องร่อนที่ลอยอยู่กลางอากาศพอดี

แต่ก็ไม่เป็นไรอยู่ดี การที่พวกเขาเลือกลงมือในสภาพอากาศเช่นนี้ ก็เป็นเพราะใคร่ครวญถึงปัจจัยในด้านนี้เอาไว้แล้ว ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่เฝ้าอยู่ด้านล่างภูเขามองเห็น พวกเขาก็ยากจะมองเห็นได้ชัด คงจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเมฆดำที่ลอยผ่านไป

เข้าใกล้แล้วลงไปบนยอดเขาอย่างเงียบๆ หลังจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็บินหนีไปอย่างไร้ซุ่มเสียงอีกครั้ง ให้ความรู้สึกเหมือนไปมาอย่างไร้ร่องรอยอยู่หลายส่วน เสมือนนกเค้าแมวตัวหนึ่งที่บินหายไปท้องฟ้ายามค่ำคืน

ชนวนระเบิดบนยอดเขายังคงลุกไหม้วนไปเรื่อยๆ ตอนที่สร้างชนวนระเบิดนี้ขึ้นมา หยวนกังได้ทดสอบความเร็วในการลุกไหม้ซ้ำไปซ้ำมา นี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปริมาณดินปืนที่ใส่ไว้ในนั้น เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่ดับไปง่ายๆ อีกทั้งต้องทำให้เขาสังเกตเห็นได้ง่ายๆ ในตอนที่หนีออกมา

แสงจันทร์ที่ลอดลงมาเป็นครั้งคราวส่องลงบนพื้นกว้าง แต่เมื่อมองลงไปจากบนท้องฟ้า พื้นดินทั้งผืนยังคงดูเลือนราง ไม่สามารถแยกแยะภูมิประเทศเพื่อใช้เป็นพิกัดนำทางการบินได้

เขาทำได้เพียงจับทิศทางคร่าวๆ แล้วร่อนไปเบื้องหน้า ไม่สามารถแยกแยะทิศทางอย่างแม่นยำได้ ขณะเดียวกันก็อาศัยแรงลมค่อยๆ เพิ่มระดับความสูงในการบิน กวาดสายตามองไปรอบๆ ค้นหาพิกัดนำทางที่สร้างขึ้นมาโดยมนุษย์

เมื่อกลิ่นกายของหยวนกังที่หลงเหลืออยู่บนยอดเขาถูกลมพัดหายไป ปีศาจหิมะที่ล่าถอยลงจากยอดเขาก็เริ่มย้อนกลับไป

ส่วนประกายไฟที่ลุกไหม้วนเป็นวงกลม ในที่สุดก็วนมาถึงหน้าห่อดินปืนที่อยู่ใต้ต้นตะวันชาดแล้ว

ตูม!

เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น เปลวเพลิงสายหนึ่งระเบิดขึ้นบนยอดเขา สะเก็ดหินปลิวว่อน ต้นตะวันชาดที่อยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ปีศาจหิมะที่อยู่ในบริเวณยอดเขาล้วนได้รับแรงสั่นสะเทือน ตกใจจนหยุดนิ่ง ความรู้สึกตระหนกตกใจที่อยู่ในดวงตาคล้ายจะนึกเชื่อมโยงไปถึงกลิ่นอายที่ทำให้พวกมันรู้สึกหวาดกลัวกลิ่นนั้น สะเก็ดหินที่กระเด็นปลิวว่อนไปทั่วทำให้พวกมันหันหลังวิ่งหลบหนีลงมาจากยอดเขาด้วยความละลาน มีบางตัวส่งเสียงคำรามพลางล้มกลิ้งลงมาจากยอดเขาอย่างทุลักทุเล

เสียงระเบิดดังแว่วมา หยวนกังที่อยู่กลางท้องฟ้ายามค่ำคืนหันกลับไปมองทันที เปลวเพลิงจากการระเบิดลุกวาบแล้วหายไป กระทั่งเขาหันกลับไปมองดูอีกครั้ง เขาก็มองเห็นไม่ชัดแล้วว่าสภาพบนยอดเขาที่อยู่ไกลออกไปนั้นเป็นอย่างไรบ้าง แม้แต่ตัวภูเขาก็มองไม่เห็นแล้ว

แต่สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นบนยอดเขาที่อยู่ไกลออกไปกลับกำลังตกอยู่ในความชุลมุนวุ่นวาย ปีศาจหิมะที่หนีลงไปด้านล่างนั้นใช้ชีวิตอยู่ในเขตหิมะมาเป็นเวลานาน พวกมันคล้ายจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง จู่ๆ พากันวิ่งขึ้นเขาไปอีกครั้ง พุ่งขึ้นไปบนยอดเขาอย่างคลุ้มคลั่ง

หิมะที่ปกคลุมอยู่บนภูเขาหิมะเริ่มพังถล่มลงมา ค่อยๆ พังถล่มเป็นวงกว้าง หมอกหิมะฟุ้งกระจาย ถาโถมลงมาราวฟ้ากำลังจะถล่มดินกำลังจะทลาย ดูน่าหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

ปีศาจหิมะทางด้านหลังที่หลบหนีออกมาไม่ทันพยายามตะเกียกตะกาย ทว่าไม่มีอะไรให้พวกมันใช้หยิบยืมแรงได้ ร่วงหล่นลงมาตามหิมะที่พังถล่ม พริบตาเดียวก็จมหายไปในหิมะ

ปิศาจหิมะที่อยู่ตามเนินเขาลุกยืนขึ้นมาด้วยความตกใจ ปีศาจหิมะที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำก็พุ่งตัวออกมาด้วยความตระหนก ต่างกระเสือกกระสนหลบหนีลงไปด้านล่างภูเขา ถูกหิมะที่พังถล่มลงมากลืนหายไปอย่างไร้ความปราณี

ผู้บำเพ็ญเพียรเฝ้าภูเขาที่พุ่งออกมาจากถ้ำด้วยความตกใจพากันทะยานขึ้นสู่อากาศ เท้าเหินเหยียบยอดคลื่นหิมะที่พังถล่มลงมา กระโจนขึ้นไปในอากาศอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็มุ่งหน้าขึ้นสู่ยอดเขา ผีเสื้อจันทราถูกคลื่นอากาศพัดพาจนเอนส่ายไปมาไม่นิ่ง

ท่ามกลางราตรีอันเงียบสงัดเช่นนี้ เสียงระเบิดนั้นดังชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ผู้คนในร้านรวงต่างๆ ในหุบเขาหอหิมะเหมันต์พากันเดินออกมา มองไม่เห็นอะไรเลยเช่นกัน ทว่าเสียงคำรามที่ดังแว่วเข้ามาอย่างต่อเนื่องทำให้ผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานตระหนักได้ว่าหิมะถล่มแล้ว!

คนจำนวนมากวิ่งออกมา กระโจนขึ้นไปสังเกตการณ์บนหน้าผา

แสงจันทร์ที่ส่องลอดชั้นเมฆส่องสว่างภูเขาหิมะที่มีเสียงคำรามดังแว่วมาลูกนั้น ทุกคนยังคงมองเห็นภูเขาลูกนั้นไม่ชัดเจน ภูเขาทั้งลูกเสมือนถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางหมอกเลือนราง เสียงคำรามที่ดังแว่วอย่างต่อเนื่องยังคงฟังดูน่าตื่นตระหนก

ณ วิมานที่งามวิจิตร ภายในห้องส่วนตัว คนในภาพวาดสูดดมกลีบบุปผาอย่างแผ่วเบา ผีเสื้อจันทราตัวหนึ่งเกาะอยู่บนม้วนภาพที่ใส่กรอบไว้อย่างดี

ด้านนอกห้อง ภายใต้ชายคา มวยผมถูกคลายออก เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ที่อาบน้ำเสร็จเรียบร้อยสวมอาภรณ์เบาบาง ผมยาวปรกไหล่ ดวงหน้าที่งดงามเยือกเย็นเชิดขึ้นเล็กน้อย มองแสงจันทร์ที่ส่องลอดชั้นเมฆลงมา พึมพำกับตัวเองว่า “ยืนอ้างว้างท่ามกลางมาลีโรย พิรุณโปรยนางแอ่นเหินบินเคียงคู่ จันทร์กระจ่างอาบไล้ร่างโฉมตรู มวลหมู่เมฆลอยอ้อยอิ่งเคล้าคลอเคลีย…”

เสียงระเบิดที่ดังขึ้นมาทำให้นางตกตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นค่อยๆ หันหน้ามองไปทางภูเขาหิมะที่อยู่ด้านหลัง ด้านหลังเป็นห้อง มองอะไรไม่เห็นทั้งสิ้น

เสียงหิมะพังถล่มที่ดังตามมาทำให้นางตกใจ ขณะเดียวกันกลุ่มสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติดูแลก็พุ่งออกมาด้วยความตกใจเช่นกัน

“เปลี่ยนชุด!” เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ร้องสั่ง

สาวใช้สองนางรีบพานางเข้าไปด้านใน

ผ่านไปครู่หนึ่ง ร่างอ้อนแอ้นอรชรใต้ชุดผ้าแพรเบาบางถูกซ่อนเร้นอยู่ใต้ชุดกระโปรงยาว เหินทะยานไปทางด้านหลังพร้อมคนกลุ่มหนึ่ง วิหคยักษ์หลายตัวพุ่งออกมาจากวิมานที่งามวิจิตร

ในท้องฟ้ายามราตรี หยวนกังเอียงศีรษะมองไปยังพื้นด้านล่างที่เยื้องไปทางซ้าย สังเกตเห็นแสงไฟกองหนึ่งแล้ว เขารีบปรับทิศทางแล้วพุ่งลงไป บินโฉบลงไปอย่างรวดเร็ว

หนิวโหย่วเต้าที่คอยอยู่บนยอดเขาค้ำกระบี่ไว้เบื้องหน้าพลางจ้องมองไปทางหอหิมะเหมันต์ สีหน้าเคร่งเครียด ทันใดนั้นพลันเห็นเงาสีดำบินโฉบลงมาจากท้องฟ้ายามราตรี มือลดต่ำลง กุมด้ามกระบี่ไว้แน่น ระแวดระวังขั้นสูงสุด

กระทั่งมองออกรางๆ ว่าเป็นเครื่องร่อน หนิวโหย่วเต้าจึงถอนใจเล็กน้อยด้วยความโล่งอก

“ได้แล้ว ไป!” หยวนกังตะโกนบอก

เครื่องร่อนพุ่งลงมา โฉบผ่านยอดเขาเป็นเส้นโค้งเส้นหนึ่ง จากนั้นเชิดหน้าขึ้นไปอีกครั้ง แสงเพลิงส่องให้เห็นหยวนกังที่เกาะอยู่ใต้เครื่องร่อนแวบหนึ่ง

หยวนกังปรับทิศทางการบิน มุ่งหน้าไปตามทิศทางที่กำแพงหิมะที่ถูกสร้างขึ้นชี้ไป บินโฉบลึกเข้าไปในท้องฟ้ายามราตรีอันกว้างใหญ่

หนิวโหย่วเต้าหันหลังกลับทันที มือหนึ่งถือกระบี่ อีกมือหนึ่งผลักฝ่ามือออกไปอย่างต่อเนื่อง กำแพงหิมะพังถล่ม ดับกองไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่

เมื่อพังกำแพงหิมะจนหมดแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็ทะยานขึ้นสู่อากาศ ไล่ตามทิศทางที่หยวนกังมุ่งหน้าไป

ส่วนร่องรอยหิมะทับถมกันที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์ที่หลงเหลืออยู่บนยอดเขา ในช่วงเวลาดึกดื่นเช่นนี้เป็นเรื่องยากที่จะมีใครมาพบเห็นได้ กว่าจะถึงเวลาฟ้าสว่างที่สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย สายลมยามราตรีย่อมต้องลบเลือนร่องรอยที่มนุษย์สร้างขึ้นไปจนหมด ไม่มีใครว่างพอจะมารื้อกองหิมะบนยอดเขาทุกลูกเพื่อตรวจสอบแน่

หนิวโหย่วเต้าเหินทะยานออกไปไม่หยุดพัก จนมาถึงยอดเขาลูกหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปสามสิบลี้ ร่อนลงข้างกายเฮยหมู่ตาน

“เต้าเหยี่ย!” เฮยหมู่ตานร้องเรียกด้วยความดีใจ นางอกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอดเวลา ก่อนหน้านี้เต้าเหยี่ยบอกไว้ว่าหากอีกสองชั่วยามไม่เห็นเขากลับมา นั่นหมายความว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ให้พวกนางหนีไปกันเอง ยามนี้เห็นคนปรากฏตัวขึ้นภายในระยะเวลาที่นัดหมายเอาไว้ แล้วจะไม่ให้นางดีใจได้อย่างไร

หนิวโหย่วเต้ายกมือปรามไว้ เงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน แทบจะในเวลาเดียวกันนี้เอง เงาดำสายหนึ่งพุ่งลงมาจากบนท้องฟ้า บินโฉบผ่านยอดเขาไป เป็นหยวนกัง

เฮยหมู่ตานตะลึงตาค้าง นี่ตนมองเพิ่งจะมองเห็นอะไรไป? คิดไม่ถึงว่าหยวนกังจะบินผ่านไปโดยที่เกาะผ้าผืนหนึ่งไว้?

นางพูดไม่ออกเลยจริงๆ เที่ยวทุบตีคนในร้านค้าตอนอยู่ที่หอหิมะเหมันต์ วิธีการไถลไปบนหิมะที่น่าตกใจ ยามนี้ยังมีภาพที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าปรากฏขึ้นให้เห็นอีก คิดไม่ถึงว่าจะบินไปบนท้องฟ้าโดยอาศัยเพียงผ้าผืนหนึ่งได้? ยังมีเรื่องอะไรที่คนผู้นี้ทำไม่ได้อยู่อีก?

“เร็วเข้า!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยเสียงเบาๆ

เฮยหมู่ตานรีบพังกำแพงหิมะพร้อมเขา ดับกองไฟที่ทำหน้าที่เป็นพิกัดนำทาง

จากนั้นทั้งสองคนก็เหินทะยานเคียงกันไป ไล่ตามทิศทางของหยวนกังไป

และเนื่องจากเทือกเขาเทือกนี้มีลักษณะที่ทอดตัวลงต่ำไปตลอด ระดับสูงต่ำที่แตกต่างกันเป็นประโยชน์ต่อการบังคับเครื่องร่อนของหยวนกังเป็นอย่างยิ่ง

เหตุการณ์หิมะถล่มทางด้านหลังหอหิมะเหมันต์ได้หยุดลงแล้ว หมอกหิมะยังคงฟุ้งกระจาย พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากหิมะที่พังถล่มยังคงอยู่ห่างไกลจากหอหิมะเหมันต์ แต่หมอกหิมะที่เปล่งประกายระยิบระยับได้ลอยฟุ้งเข้ามาในพื้นที่หุบเขาแล้ว

ผู้คนมากมายที่อยู่ด้านบนหุบเขากำลังซุบซิบพูดคุยกัน

หลังจากหิมะถล่ม ผีเสื้อจันทรามากมายบินว่อนอยู่บนยอดเขา เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่บนยอดเขากระโปรงพลิ้วไหว ลมหนาวพัดเรือนผมโบกสะบัด สีหน้าเยือกเย็น คล้ายว่าจะลอยออกไปพร้อมสายลม

……………………………………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า