ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 200

ตอนที่ 200 รอ!

ในแอ่งกระทะมีหลุมหลุมหนึ่ง เศษหินกระจัดกระจาย ที่สำคัญคือต้นตะวันชาดต้นนั้นหายไปแล้ว หลุมอยู่ในตำแหน่งของต้นตะวันชาด พื้นหินรอบหลุมแตกร้าวคล้ายใยแมงมุม

ผีเสื้อจันทรากลุ่มหนึ่งกระพือปีกให้แสงสว่างอยู่ด้านบน ทั่วทั้งยอดเขามีแสงสว่างส่องสลัว มองไกลๆ แล้วดูเหมือนมีอัญมณีที่เปล่งแสงได้อยู่บนยอดเขา

ผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มหนึ่งทำการสืบค้นร่องรอยอยู่ภายใต้แสงสว่างจากผีเสื้อจันทรา

ผ่านไปพักใหญ่ คนกลุ่มหนึ่งได้เก็บรวบรวมเศษซากที่กระจัดกระจายมากองหนึ่ง ห้อมล้อมพลางกระซิบกระซาบท่ามกลางความหนาวเย็นอยู่เป็นเวลานาน

หลังจากทราบสถานการณ์ชัดเจนแล้ว หานปิงพาคนสามสี่คนเดินไปยังใต้ก้อนหินที่ตั้งตระหง่านก้อนหนึ่ง พากันเงยหน้ามองเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่บนก้อนหินในชุดกระโปรงยาวพลิ้วไหว เรือนผมปล่อยสยายปลิวสะบัดอยู่ท่ามกลางลมหนาว

“คุณหนู!” หานปิงประสานมือเอ่ยเรียก

หิมะที่ปกคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่บนภูเขาถล่มไปหมดแล้ว หลายแห่งจึงปรากฏก้อนหินสีดำโผล่ออกมา เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ดึงสายตาที่กวาดมองออกไปรอบๆ กลับมา ค่อยๆ หันหน้ากลับมาช้าๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิงเพราะถูกลมพัด บุคลิกท่าทางต่างไปจากปกติ ทว่าดวงตาที่เย็นชากลับกวาดมองมาเหมือนดั่งสายฟ้า

เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรเฝ้าภูเขาพากันก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัว

เสวี่ยลั่วเอ๋อร์เหินลงมาจากบนก้อนหิน ลงมายืนอยู่ตรงเบื้องหน้าทุกคนอย่างแผ่วเบา ลมที่พัดอ้อมมาจากด้านหลังก้อนหินทำให้ผมของนางปลิวไสวไปมา

หานปิงเข้าไปยืนอยู่ข้างกายนาง เผยให้เห็นคนจำนวนหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง หานปิงโบกมือส่งสัญญาณให้แต่ละคนแสดงของที่อยู่ในมือ เชิญให้เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ดู

มีสองคนที่ประคองเศษกิ่งก้านของต้นตะวันชาดไว้ เป็นเศษกิ่งก้านจริงๆ แหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

แล้วก็มีคนที่ถือก้อนหินรูปทรงครึ่งวงรีที่ไหม้เกรียมจนเป็นสีดำชิ้นหนึ่งเอาไว้ ลักษณะดูน่าเกลียด แล้วก็ดูไม่คล้ายก้อนหินสักเท่าไร บางตำแหน่งดูคล้ายจะทอประกายแวววาวของโลหะออกมาด้วย

“หมายความว่าอย่างไร?” เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ถามอย่างเย็นชา

หานปิงอุ้มก้อนหินน่าเกลียดก้อนนั้นเข้ามา ขยับเข้ามาใกล้ๆ ให้เสวี่ยลั่วเอ๋อร์มองดูอย่างละเอียด “คุณหนูท่านดูสิเจ้าคะ นี่น่าจะเป็นอุกกาบาตประเภทหนึ่งเจ้าค่ะ”

“อุกกาบาต?”เสวี่ยลั่วเอ๋อร์งุนงง เงยหน้ามองท้องนภายามราตรี

หานปิงพยักหน้ารับ “คุณหนู ปกติสำนักเลิศเมฆาก็มักจะรับซื้อสิ่งนี้อยู่บ่อยๆ ข้าเองก็เคยเห็นอุกกาบาตมาบ้าง ลักษณะภายนอกส่วนใหญ่ล้วนดำเกรียมเนื่องจากถูกเปลวเพลิงอันร้อนแรงเผาไหม้เจ้าค่ะ”

เสวี่ยลั่วเอ๋อร์กล่าวว่า “เจ้าคิดจะพูดอะไร? หรือจะบอกว่าอุกกาบาตร่วงลงมาจากฟ้า แล้วบังเอิญพุ่งชนต้นตะวันชาดเข้าพอดีอย่างนั้นเหรอ?”

หานปิงถอนใจเบาๆ “เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ บอกได้เพียงว่าบังเอิญจริงๆ คุณหนู ท่านมาดูนี่สิเจ้าคะ…” หานปิงเอา ‘อุกกาบาต’ ที่อยู่ในมือส่งให้ลูกน้อง พาเสวี่ยลั่วเอ๋อร์ไปที่ขอบหลุมด้วยตัวเอง ชี้ให้ดู “เห็นได้ชัดว่าหลุมตรงนี้เกิดขึ้นจากการถูกกระแทกอย่างแรง อีกทั้งยังมีอุกกาบาตชิ้นนี้อยู่บนยอดเขา นอกจากสวรรค์บันดาลแล้ว ก็น่าจะไม่มีคำอธิบายอื่นแล้วเจ้าค่ะ”

กล่าวจบก็ส่ายหน้า รู้สึกจนปัญญาเป็นอย่างยิ่ง

นางรู้ดียิ่งว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อคุณหนู ทุกปีคุณหนูต้องไปพักอยู่กับนายหญิงใหญ่ระยะหนึ่ง ‘วังน้ำแข็งมายา’ ที่นายหญิงใหญ่พำนักอยู่หนาวเย็นเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่มีสภาวะสูงส่งล้ำลึกก็ยังยากจะทนอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานได้

และหากคุณหนูต้องการพักอยู่ในสถานที่ที่หนาวยะเยือกแห่งนั้น ทุกปีในตอนที่จะเดินทางไปที่นั่นก็ต้องกินผลตะวันชาดไปหนึ่งลูก เนื่องจากผลตะวันชาดชนิดนี้มีสรรพคุณต้านทานความหนาวเย็น ยามนี้ไม่มีผลตะวันชาดแล้ว แม้แต่ต้นก็ถูกทำลายไปหมด หากคุณหนูคิดจะไปพักในสถานที่ที่หนาวเหน็บแห่งนั้นอีกเกรงว่าคงทำไม่ได้แล้ว

ส่วนที่นายหญิงใหญ่ประกาศต่อภายนอกว่าผลตะวันชาดมีไว้ให้นางกินเอง ก็เพียงแค่เพราะไม่อยากให้คุณหนูต้องลำบากใจเท่านั้น ความหมายของนายหญิงใหญ่เรียบง่าย ผู้ใดต้องการผลตะวันชาด หากมีปัญญาก็ให้ไปถามเอากับนายหญิงใหญ่ หากนายหญิงใหญ่ไม่ตอบตกลง ก็ไม่มีผู้ใดในใต้หล้านี้กล้าตอแย

ส่วนเรื่องหิมะถล่ม สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเขตหิมะมาเป็นเวลายาวนานล้วนเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แรงสะเทือนอย่างรุนแรงมีโอกาสทำให้เกิดหิมะถล่มได้

ทว่าในความเป็นจริงคือหยวนกังแค่หลอกลวงคนที่ไม่มีความรู้ในสิ่งที่ตนเองไม่รู้จักเหล่านี้เท่านั้น หาไม่แล้วหากให้เขาเป็นคนตรวจสอบดูสถานที่แห่งนี้ล่ะก็ เขาจะต้องมองเห็นร่องรอยที่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนบางอย่างแน่

เสวี่ยลั่วเอ๋อร์กล่าวว่า “เหตุใดถึงบังเอิญขนาดนี้ เหตุใดถึงพุ่งชนยอดเขาลูกนี้ ชนตรงตำแหน่งที่ตั้งของต้นตะวันชาดอย่างพอดิบพอดีล่ะ?”

หานปิงยิ้มขื่น “ความเป็นไปได้ที่จะเป็นฝีมือคนมีน้อยมากเจ้าค่ะ หากมีคนเข้ามาใกล้ เสียงสัญญาณเตือนจากปีศาจหิมะจะต้องทำให้ผู้คุ้มกันรู้ตัวอย่างแน่นอน บางทีลิขิตสวรรค์ก็ยากจะคาดเดาได้เจ้าค่ะ! ”

“ลิขิตสวรรค์หรือ?” เสวี่ยลั่วเอ๋อร์เงยหน้ามองฟ้า ผมยาวปลิวสยายอยู่ท่ามกลางสายลม พึมพำกับตัวเอง “ไยสวรรค์ถึงลิขิตเช่นนี้เล่า?”

หานปิงเงียบงัน เรื่องนี้นางก็ไม่สะดวกจะกล่าว

เสวี่ยลั่วเอ๋อร์เก็บสีหน้าที่สับสนงุนงง หันหลังกลับท่ามกลางสายลม เหินทะยานลงไปด้านล่างภูเขา คนส่วนหนึ่งยังคงรั้งอยู่บนยอดเขา คนอีกส่วนทะยานตามลงเขาไป

ในกองหิมะที่พังถล่มลงมา มีปีศาจหิมะแหวกหิมะมุดออกมาเป็นระยะ เปล่งเสียงครวญครางด้วยความหวาดกลัว ปีศาจหิมะบางตัวทำให้กองหิมะรอบตัวกลายเป็นสีแดงฉาน นอนแข็งทื่อแน่นิ่งอยู่ในกองหิมะ

เสวี่ยลั่วเอ๋อร์ที่ลอยเหินลงมาที่ตีนเขาชะงักไปเล็กน้อย มองดูภาพต่างๆ เหล่านี้ จากนั้นทะยานจากไป กลับไปยังวิมานอันงามวิจิตร

ผู้บำเพ็ญเพียรของสำนักนิกายต่างๆ ที่มาสำรวจดูใกล้ๆ พื้นที่ที่หิมะถล่มเห็นพวกเสวี่ยลั่วเอ๋อร์จากไปแล้ว

มีหลายคนที่จดจำได้อย่างชัดเจนว่าก่อนหิมะจะถล่ม คล้ายมีเสียงดังสนั่นแว่วมาจากบนภูเขา ทว่าก็ไม่กล้าขึ้นเขาไปดูว่าเป็นอะไรกันแน่ แล้วก็ไม่ทราบว่าสรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่

…..

เงาร่างสามร่างทะยานขึ้นไปบนเขา ร่อนลงในกำแพงหิมะบนยอดเขา

เมื่อเห็นผู้มาเยือนชัดๆ เหลยจงคังก็โล่งใจ ประสานมือคำนับหนิวโหย่วเต้าที่ร่อนลงสู่พื้น “เต้าเหยี่ย!”

ขณะที่เพิ่งกล่าวจบ เหลยจงคังพลันเงยหน้าขึ้น อาศัยแสงจากกองไฟ มองเห็นหยวนกังที่เกาะอยู่ใต้ผ้าผืนหนึ่งเหินลงมาจากฟ้า ร่อนลงด้านนอกกำแพงหิมะ

“….” เหลยจงคังตกตะลึงไปเล็กน้อย หยวนกังบินลงมาจากฟ้าอย่างนั้นหรือ?

หยวนกังที่ร่อนลงนอกกำแพงหิมะวิ่งเหยาะๆ อยู่พักหนึ่งก็หยุดลง มุดออกมาจากเครื่องร่อน จากนั้นเหวี่ยงแขนหักโครงของเครื่องร่อนเป็นชิ้นๆ ก่อนจะหอบทั้งกองขึ้นมา วิ่งขึ้นมาบนยอดเขา กระโดดข้ามกำแพงหิมะเข้ามา โยนข้าวของใส่กองไฟ

สายตาที่เฮยหมู่ตาน ต้วนหู่และเหลยจงคังมองหยวนกังคล้ายกำลังมองสัตว์ประหลาดอยู่

ผ้าที่ถูกโยนเข้าสู่กองไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว หนิวโหย่วเต้ารีบทำลายกำแพงหิมะดับกองไฟ จากนั้นเอ่ยเบาๆ ว่า “ไป!”

ต้วนหู่และเหลยจงคังคว้าแขนซ้ายขวาของหยวนกังเอาไว้ ตามหลังหนิวโหย่วเต้าและเฮยหมู่ตานไป ทะยานลงจากภูเขาไปอย่างรวดเร็ว

ทั้งกลุ่มเร่งเดินทางฝ่าเขตพื้นที่หิมะอันกว้างใหญ่ไปตลอดทั้งคืน ไม่หยุดพักแม้เพียงครู่เดียว

……

เช้าวันต่อมา ในที่สุดหอหิมะเหมันต์ก็ปล่อยข่าวออกมาสู่ภายนอกว่าอุกกาบาตลูกหนึ่งพุ่งชนภูเขาหิมะ ทำให้เกิดหิมะถล่ม!

มีเพียงเท่านี้ ไม่มีคำอธิบายอะไรอย่างอื่นอีก ในความเป็นจริงแล้วหอหิมะเหมันต์ไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายต่อภายนอกเลยว่ามีอุกกาบาตอะไรมาพุ่งชนต้นตะวันชาดจนทำให้มันย่อยยับไป

เรื่องบังเอิญเช่นนี้ ราวกับเป็นลิขิตสวรรค์ พูดออกไปก็ดูไม่เป็นมงคลเช่นกัน

ผู้คนที่อยู่ในหุบเขาแอบพูดคุยซุบซิบกันตลอดทั้งคืน ต่างพากันคาดเดาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หลังจากได้รับข่าว คล้ายจะกระจ่างขึ้นมาในทันที ใครจะไปคิดถึงว่า ‘อุกกาบาต’ จะบังเอิญพุ่งชนยอดเขา ซ้ำยังพุ่งชนต้นตะวันชาดอย่างพอดิบพอดีด้วย

…..

มณฑลเป่ยโจว จวนท่องคลื่น นอกจวนมีทหารกลุ่มหนึ่งอารักขารถม้าคันหนึ่งเข้ามา

รถม้าหยุดลงหน้าประตูใหญ่ มีคนยกบันไดไม้สามขั้นไปวางข้างรถม้าอย่างรวดเร็ว ม่านรถม้าแหวกเปิด เซ่าผิงปอในชุดขาวผ้าคลุมดำมุดออกมา ก้าวลงจากรถม้า

“คุณชายใหญ่!” พ่อบ้านเซ่าซานเสิ่งที่มาต้อนรับอยู่ด้านล่างบันไดน้อมคำนับ พร้อมกับส่งสายตาเป็นนัยๆ ให้เซ่าผิงปอ

เซ่าผิงปอทราบความนัย ทว่าไม่แสดงสีหน้าออกมา หันไปยิ้มให้ถังอี๋ที่อยู่ด้านข้างพลางเอ่ยว่า “ลำบากเจ้าสำนักถังแล้ว เจ้าสำนักถังรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”

พวกเขาออกไปลาดตระเวนด้านนอกมา พวกถังอี๋ถูกเซ่าผิงปอเรียกให้ตามไปคุ้มกัน

เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบ ถังอี๋ยากจะเลี่ยงได้ ได้แต่ต้องติดตามไปด้วย

เดิมทีเซ่าผิงปอคิดจะรั้งถังอี๋ให้อยู่พูดคุยกันต่อ ทว่ามองออกว่าเซ่าซานเสิ่งมีเรื่องจะรายงาน ความคิดที่จะรั้งโฉมงามเอาไว้ เผื่อว่าจะมีเรื่องดีๆ อะไรเกิดขึ้นจึงได้แต่ต้องล้มเลิกไปก่อน

ความจริงสำหรับเขาแล้ว หญิงงามไม่ได้มีความหมายอันใดมากนัก ถึงแม้เขาจะไม่สามารถตัดความปรารถนาในเรื่องชายหญิงอย่างว่าทิ้งไปได้ แต่เมื่อเทียบกับเรื่องงานที่เขาจดจ่อทุ่มเทแล้ว หญิงงามคือสิ่งที่จะมีหรือไม่มีก็ได้

“อย่างนั้นข้าขอตัวก่อน!” ถังอี๋ประสานมือกล่าวอำลา

หลังจากยิ้มพลางมองส่งถังอี๋จากไปแล้ว เซ่าผิงปอก็หุบยิ้มแล้วเดินเข้าไปในจวน เมื่อเข้ามาในจวนก็ให้พวกฝ่าซือติดตามอย่างหวงโต้วและหลินหูถอยออกไปก่อน

สองนายบ่าวเดินกลับไปยังเรือนด้านในด้วยกัน ตรงไปยังห้องหนังสือ

เซ่าซานเสิ่งช่วยปลดผ้าคลุมกันลมให้เขา ถอนใจพลางเอ่ยว่า “คุณชายใหญ่ทำงานหนักเช่นนี้ ลำบากแล้วขอรับ”

เซ่าผิงปอที่เดินไปนั่งหลังโต๊ะเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “พูดเรื่องงาน มีอะไร?”

เซ่าซานเสิ่งพาดผ้าคลุมกันลมไว้ที่แขน เอ่ยเสียงขรึม “เป็นอย่างที่คุณชายใหญ่คาดไว้ ทางหอหิมะเหมันต์เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ขอรับ”

เซ่าผิงปอที่เพิ่งนั่งลงค่อยๆ ยืนขึ้นมาอีกครั้ง ถามเนิบๆ ว่า “แล้วเรื่องผลตะวันชาดล่ะ?”

เซ่าซานเสิ่งรายงานว่า “ไม่ได้ยินว่าเกิดเรื่องกับผลตะวันชาดเลยขอรับ แต่กลับเกิดเรื่องประหลาดขึ้นกับภูเขาหิมะที่มีต้นตะวันชาดลูกนั้นขอรับ สายข่าวที่อยู่ทางนั้นส่งข่าวกลับมาสองเรื่อง ข่าวแรกบอกว่าช่วงกลางคืนเมื่อสองวันก่อนมีเสียงดังแว่วมาจากภูเขาหิมะลูกนั้นอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็เกิดหิมะถล่มขึ้น”

เซ่าผิงปอหรี่ตาลง “ข่าวที่สองล่ะ?”

เซ่าซานเสิ่งเล่าว่า “วันต่อมาหอหิมะเหมันต์ประกาศว่ามีอุกกาบาตลูกหนึ่งพุ่งชนภูเขาหิมะลูกนั้น ก่อให้เกิดหิมะถล่มขอรับ”

“อุกกาบาต?” แววตาเซ่าผิงปอวูบไหวเล็กน้อย จู่ๆ พลันหัวเราะหึหึขึ้นมา “ช่วงก่อนหน้านี้ ทางมหานครจินโจวก็เกิดข่าวลือว่ามีอุกกาบาตอะไรนั่นตกลงมา สร้างความวุ่นวายไปทั้งเมือง ยามนี้หอหิมะเหมันต์ก็มีอุกกาบาตตกลงมาอีก สวรรค์ช่างช่วยข้าโดยแท้!”

เซ่าซานเสิ่งลองถามดู “ฟังจากที่คุณชายใหญ่ว่ามาก่อนหน้านี้ ข้าเองก็นึกสงสัยอยู่เช่นกันขอรับ เพียงแต่…เขาจะทำสำเร็จหรือขอรับ?”

เซ่าผิงปอแค่นหัวเราะ “นี่มิใช่เรื่องเล็กๆ เรียกได้ว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย คนอย่างเขา หากไม่มีความมั่นใจ ไหนเลยจะกล้าลงมือส่งเดช? ข้ากล้ารับประกันเลยว่าผลตะวันชาดจะต้องตกอยู่ในมือของเขาแล้วแน่ๆ!”

เขาโบกมือคราหนึ่ง สื่อว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องสงสัยอีกแล้ว จากนั้นถามว่า “จากหอหิมะเหมันต์ไปถึงมณฑลจินโจวใช้เวลานานเท่าไร?”

เซ่าซานเสิ่งคำนวณเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง ตอบว่า “ต่อให้ลงแส้เร่งม้าไปตลอดทางโดยไม่หยุดพักก็ต้องใช้เวลาหลายวันขอรับ หาไม่แล้วก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนกว่าจะไปถึง แต่ถ้าหากขี่วิหคพาหนะได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งขอรับ”

เซ่าผิงปอพยักหน้า “เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว” กล่าวจบก็นั่งลง เอื้อมมือไปหยิบเอกสารราชการที่กองอยู่บนโต๊ะมาตรวจสอบ

หลายวันนี้ที่เขาออกไปลาดตระเวน มีเอกสารราชการที่ไม่สลักสำคัญสะสมอยู่ไม่น้อยจำนวนหนึ่ง ในเมื่อกลับมาที่นี่แล้ว เขาก็เตรียมจะรีบอ่านให้จบแล้วจัดการให้เสร็จเรียบร้อย

เมื่อเห็นเขาไม่สนใจเรื่องนี้ เซ่าซานเสิ่งก็อดเอ่ยเตือนไม่ได้ว่า “คุณชายใหญ่ ต้องปล่อยข่าวลือออกไปหรือไม่ขอรับ?”

สายตาและสมาธิของเซ่าผิงปอจดจ่ออยู่กับเอกสารราชการที่กางเปิดอยู่ เอ่ยตอบโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมา “รอก่อน!”

ไม่ทันไรก็ผ่านไปเดือนกว่า ภายในเขตแคว้นจ้าว พวกหนิวโหย่วเต้าเดินทางผ่านมณฑลจินโจว แต่กลับไม่ได้มุ่งหน้าไปที่มหานครจินโจว เรียกได้ว่าแค่เดินทางผ่านมหานครจินโจวเท่านั้น

สองข้างทางเต็มไปด้วยสีเขียวชอุ่ม เฮยหมู่ตานที่อยู่บนหลังม้าเหลียวเหลียวหน้ากลับไปมองทางมหานครจินโจว เอ่ยถามหนิวโหย่วเต้าว่า “เต้าเหยี่ย พวกเราไม่ไปจินโจวหรือเจ้าคะ?” นางนึกสงสัยอยู่ในใจ ไม่ใช่ว่าจะเอาผลตะวันชาดไปรักษาอาการป่วยของเซียวเทียนเจิ้นคนนั้นหรือ?

หนิวโหย่วเต้าหันมามอง เอ่ยเพียงคำเดียวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้ม “รอ!”

เฮยหมู่ตานมึนงง รอ? รออะไร?

………………………………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า