ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 201

ตอนที่ 201 ของขวัญชิ้นใหญ่

หนิวโหย่วเต้าไม่ได้บอกนางว่ารออะไร

ทั้งคณะเดินทางต่อไป ผ่านมณฑลจินโจว เข้าสู่เขตจังหวัดชิงซาน

เดิมทีการเดินทางเข้าแคว้นเยี่ยนแล้วกลับไปยังจังหวัดชิงซานจะช่วยย่นระยะทางได้ไม่น้อย แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ทั้งคณะยังคงเลือกเดินทางอ้อมไปไกลหน่อย

…..

ทั้งกลุ่มกลับจากการเดินทางอันยาวนาน มองเห็นตัวเมืองชิงซานอยู่ด้านหน้า ทว่าหนิวโหย่วเต้าไม่ได้เดินทางเข้าเมือง หากแต่เข้าไปในป่าเขาละแวกนั้น

อาทิตย์อัสดงช่างงดงาม ผืนป่าฉาบย้อมด้วยแสงสีทอง หนิวโหย่วเต้ายืนอยู่บนเนินเขาลูกหนึ่ง ทอดสายตามองออกไป เบื้องหน้าที่อยู่ไกลออกไปคือตัวเมืองของจังหวัดชิงซาน ด้านหลังคือป่าไม้และขุนเขาที่ทอดตัวสูงต่ำ แล้วก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเยือนตัวเมืองจังหวัดชิงซาน

ม้าตัวหนึ่งวิ่งห้อไปบนถนนหลวงอยู่ไกลๆ มุ่งตรงไปทางประตูเมือง เป็นต้วนหู่ เขาได้รับคำสั่งให้ไปหาหยวนฟางเพื่อสอบถามสถานการณ์ หากสถานการณ์เหมาะสม ก็ให้หยวนฟางแจ้งต่อซางเฉาจงว่าหนิวโหย่วเต้ากลับมาแล้ว!

หลังรออยู่พักหนึ่ง คนกลุ่มหนึ่งเดินทางออกมาจากทางประตูเมือง มุ่งตรงมาทางนี้

เมื่อเดินทางมาถึง คนกลุ่มใหญ่ก็เข้ามาในป่าโดยมีต้วนหู่คอยนำทาง ผู้บำเพ็ญเพียรหลายสิบคนเหินทะยานไปบนยอดไม้

ซางเฉาจง ซางซูชิง หลานรั่วถิง หยวนฟาง ไป๋เหยา เฟ่ยฉางหลิวเจ้าสำนักเซียนสถิต เจิ้งจิ่วเซียวเจ้าสำนักเมฆาล่องและเซี่ยฮวาเจ้าสำนักคีรีพิลาส คนกลุ่มใหญ่เดินทางมาถึงบริเวณเชิงเขา

ทุกคนพากันเงยหน้ามองขึ้นไปบนเนินเขา เห็นหนิวโหย่วเต้ายืนค้ำกระบี่หันหลังอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ยามอัสดงที่ส่องประกายลงมา ทั่วทั้งร่างปกคลุมด้วยแสงตะวันเลือนสลัว

เมื่อได้เห็นแผ่นหลังที่คุ้นตานี้อีกครั้ง โดยเฉพาะท่ายืนค้ำกระบี่อันคุ้นตานั้น คนรู้จักเก่าอย่างพวกซางเฉาจงดูค่อนข้างตื่นเต้นกันอย่างเห็นได้ชัด

หนิวโหย่วเต้าหันกลับมา มองกลุ่มคนที่อยู่ตรงเชิงเขาพลางยิ้มเล็กน้อย แสงอาทิตย์ยามอัสดงส่องกระทบใบหน้าด้านข้างของเขา ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาดูลึกลับและเยือกเย็น

คนกลุ่มหนึ่งกระโดดลงจากหลังม้า ซางเฉาจงวิ่งพุ่งขึ้นไปบนเนินเขาด้วยความร้อนใจ สีหน้าดูตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง

ซางซูชิงเองก็มีสีหน้าตื่นเต้น ภายในดวงตาที่มองไปยังคนที่อยู่บนเนินเขาเปล่งประกายต่างไปจากปกติ แม้แต่หลานรั่วถิงเองก็วิ่งขึ้นไปบนเนินเขาเช่นกัน

หยวนฟางเหินทะยานขึ้นไป ร่อนลงข้างกายหนิวโหย่วเต้า ประสานมือเอ่ยเรียกด้วยความดีใจ “เต้าเหยี่ย!”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้าให้ ยกมือปรามคนที่กำลังวิ่งขึ้นมาจากเชิงเขา สื่อว่าไม่ต้องขึ้นมา จากนั้นเคลื่อนกายเหินลงไป

แยกจากกันไปนาน ในที่สุดก็ได้กลับมาพบหน้าสองพี่น้องตระกูลซางอีกครั้ง

“คารวะท่านอ๋อง ท่านหญิง ท่านหลาน” หนิวโหย่วเต้าประสานมือคำนับ

ซางเฉาจงรีบยื่นสองมือไปประคองเอาไว้ กล่าวว่า “เต้าเหยี่ย จะกลับมาไยไม่ส่งคนมาแจ้งข่าวล่วงหน้าสักหน่อยเล่า ข้าจะได้มารอต้อนรับด้วยตัวเอง!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “เพื่อความปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ ป้องกันไม่ให้คนถ่อยปองร้ายได้!”

พอได้ยินคำว่า ‘ปลอดภัย’ สองพยางค์นี้ ซางเฉาจงก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา และเป็นเพราะเหตุนี่ เขาจึงรู้สึกตื้นตันจนไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอะไรออกมาดี จู่ๆ พลันยกชายเสื้อคลุมขึ้นเล็กน้อย คุกเข่าลงไปกับพื้นข้างหนึ่ง “เต้าเหยี่ย โปรดรับการคารวะจากข้าด้วย!”

“มิบังอาจ!” หนิวโหย่วเต้ารีบพยุงเขาไว้ มองกลุ่มคนที่เดินตามหลังเข้ามา เอ่ยกระซิบไปว่า “ที่นี่มีคนอยู่เยอะ มีอะไรกลับไปแล้วค่อยว่ากันดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

“ตกลง!” ซางเฉาจงพยักหน้ารับ

ดวงตาของซางซูชิงเต็มไปด้วยความคาดหวัง เตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง จนใจที่หนิวโหย่วเต้าเพียงยิ้มและพยักหน้าให้นางเล็กน้อย เพียงพริบตาความสนใจก็ละไปจากตัวนางเสียแล้ว ทำให้ดวงตาของซางซูชิงทอแววผิดหวังเล็กน้อย จากนั้นสายตาก็เคลื่อนไปที่เฮยหมู่ตานและเหลยจงคังที่ยืนอยู่ด้านหลังหนิวโหย่วเต้า

เฮยหมู่ตานและเหลยจงคังสบตากันเล็กน้อย ต่างรู้สึกตกตะลึงอยู่ในใจ ล้วนคิดไม่ถึงเลยว่าเต้าเหยี่ยจะได้รับเกียรติจากยงผิงจวิ้นอ๋องถึงขนาดนี้ ถึงขนาดทำให้ท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์คุกเข่าคารวะได้!

ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ทั้งสองแอบรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย ดูเหมือนขอเพียงติดตามเต้าเหยี่ย การจะลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่ก็คล้ายว่าจะไม่มีปัญหาอันใด อนาคตดูแล้วสดใส!

พวกเฟ่ยฉางหลิวเดินเข้ามา หลังจากประสานมือทักทายกับหนิวโหย่วเต้าแล้ว เซี่ยฮวาก็เอ่ยถามหนิวโหย่วเต้าว่า “เหตุใดถึงเพิ่งกลับมาล่ะ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “มีปัญหานิดหน่อยน่ะ”

ขณะที่คนอื่นๆ กล่าวทักทายกันอยู่ ไป๋เหยาเฝ้ามองอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าคล้ายจะไร้ความรู้สึก แต่แท้จริงแล้วในใจกลับรู้สึกทอดถอนใจเป็นอย่างยิ่ง เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ แม้แต่ท่านเจ้าสำนักก็ยังถูกเขาเกลี้ยกล่อมได้ ปากมักจะเอ่ยถึงบ่อยครั้ง บ่นว่าเหตุใดถึงยังไม่กลับมาเสียที!

อันที่จริงเผิงโย่วไจ้เจ้าสำนักหยกสวรรค์ก็มาแล้วเช่นกัน พักอยู่ในตัวเมืองจังหวัดชิงซานได้ระยะหนึ่งแล้ว กำลังรอหนิวโหย่วเต้ากลับมา เพราะเรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องได้เห็นผลลัพธ์เองกับตาถึงจะสบายใจ นี่เป็นงานใหญ่ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งของสำนักหยกสวรรค์ จะสะเพร่าไม่ได้เด็ดขาด!

พอได้ยินว่าหนิวโหย่วเต้ากลับมาแล้ว อันที่จริงก็ร้อนใจอยากมาพบ แต่จนใจเพราะเรื่องสถานะ เขาเป็นหน้าเป็นตาของสำนักหยกสวรรค์ ไม่สะดวกมาที่นี่ด้วยตัวเอง มิเช่นนั้นจะถูกมองว่าลดศักดิ์ฐานะมาต้อนรับ เพราะสำนักหยกสวรรค์มิได้อยู่ระดับเดียวกับสำนักเซียนสถิต

คนของสำนักหยกสวรรค์ที่เดินทางมายังจังหวัดชิงซานไม่ได้มีเพียงเจ้าสำนักเผิงโย่วไจ้เท่านั้น หลังจากสมาชิกระดับสูงของสำนักหยกสวรรค์หารือกันแล้วก็เดินทางมากันไม่น้อย ต่างก็อยากเห็นกับตาตัวเอง แต่จนปัญญาที่ไม่เห็นหนิวโหย่วเต้ากลับมาเสียที ทำเอาสำนักหยกสวรรค์ร้อนใจกันเป็นอย่างยิ่ง กังวลว่าหนิวโหย่วเต้าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างทาง

เมื่อเห็นว่าพอได้เจอหน้าก็พูดคุยกันไม่จบ หลานรั่วถิงจึงเอ่ยสอดขึ้นว่า “ทุกท่าน เต้าเหยี่ยเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกล ให้เขากลับไปพักในเมืองก่อน มีเรื่องใดค่อยว่ากันทีหลังดีหรือไม่?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “หากข้าปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนที่นี่ นั่นจะทำให้ราชสำนักแคว้นเยี่ยนต้องเสียหน้าอย่างมาก เรื่องราวบางอย่างทุกท่านเพียงแค่รู้อยู่แก่ใจก็พอ ไม่ง่ายเลยกว่าเราจะควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ ตอนนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฉีกหน้าราชสำนักอีก”

เรื่องนี้จัดการได้ไม่ยาก ซางเฉาจงสั่งการลงไป ให้คนกลับเข้าเมืองไปนำรถม้าขนาดใหญ่คันหนึ่งกลับมาทันที

เมื่อรถม้ามาถึง หนิวโหย่วเต้ามุดเข้าไปในรถม้า ทุกคนเดินทางกลับเข้าเมือง

สถานที่พักคือคฤหาสน์หลังหนึ่งที่อยู่ด้านหลังจวนผู้ว่าการจังหวัด เดิมทีเป็นบ้านของคหบดีท้องถิ่นคนหนึ่ง ก่อนที่จังหวัดชิงซานจะเปลี่ยนผู้ปกครอง คหบดีได้อพยพครอบครัวหลบหนีไป คฤหาสน์จึงว่างเปล่าไร้เจ้าของ เดิมทีระหว่างคฤหาสน์และจวนผู้ว่าการจังหวัดมีถนนเส้นหนึ่งคั่นอยู่ หลังจากได้รับข่าวจากสำนักหยกสวรรค์ว่าหนิวโหย่วเต้ากำลังจะกลับมา ประกอบกับต้องรับรองพวกเผิงโย่วไจ้ จึงได้มีการปิดถนนที่คั่นกลางเสีย สร้างทางเชื่อมต่อระหว่างสถานที่ทั้งสองแห่ง

ทางนี้เพิ่งกลับมายังไม่ทันได้พัก สำนักหยกสวรรค์ก็ส่งคนมาหา บอกว่าเผิงโย่วไจ้ต้องการพบหนิวโหย่วเต้า เชิญตัวหนิวโหย่วเต้าไปต่อหน้าทุกคน

เมื่อมาถึงเรือนหลังหนึ่ง เรื่องที่หนิวโหย่วเต้าคารวะทักทายสมาชิกระดับสูงของสำนักหยกสวรรค์ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง

หลังจากทักทายกันเสร็จเรียบร้อย เผิงโย่วไจ้ที่นั่งอยู่ในโถงรับแขกก็เอ่ยถามเสียงขรึม “เจ้าจะเริ่มกลั่นสุราเมื่อไร?”

“ต้องค่อยเป็นค่อยไป จะรีบร้อนไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องคัดเลือกสถานที่ก่อน ข้าวของก็ต้องจัดเตรียมให้พร้อมด้วยเช่นกัน” หนิวโหย่วเต้าเกลี้ยกล่อมให้เขาใจเย็นๆ จากนั้นถามกลับไปว่า “เหตุใดข้าถึงได้ยินว่าอำนาจทางการทหารของสองจังหวัดยังไม่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันล่ะ?”

เผิงโย่วไจ้กล่าวว่า “เจ้ารีบจัดการเรื่องสุราเถอะ ขอเพียงเห็นผลลัพธ์ เรื่องทางจังหวัดกว่างอี้ไม่มีปัญหาแน่”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า พอจะเข้าใจได้เช่นกัน หากริบอำนาจของเฟิ่งหลิงปอมาแล้ว แต่เรื่องทางนี้กลับจัดการได้ไม่สำเร็จ แบบนั้นคงยากจะไปอธิบายกับเฟิ่งหลิงปอได้

ผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักหยกสวรรค์ที่เพิ่งเคยพบหน้ากันเป็นครั้งแรกเอ่ยถามว่า “หนึ่งปีผลิตได้แค่หนึ่งหมื่นไห ซ้ำยังไหเล็กแค่นั้นอีก มันจะไม่น้อยเกินไปหน่อยหรือ เพิ่มปริมาณให้มากขึ้นอีกหน่อยได้หรือเปล่า?”

ความโลภไม่รู้จักพอเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป ใช่ว่าหนิวโหย่วเต้าจะเติมเต็มความโลภให้พวกเขาไม่ได้ แต่ประเด็นสำคัญคือการกลั่นเหล้านี้จะทำให้สิ้นเปลืองธัญพืชเป็นอย่างมาก สำหรับประชาชนที่ต้องใช้ชีวิตอย่างอดอยากแล้ว การทำแบบนั้นเรียกได้ว่าคือหายนะ ดังนั้นเขาถึงได้จำกัดปริมาณไว้ที่หนึ่งหมื่นไห

“เรื่องผลประโยชน์ที่มากขึ้นข้าย่อมต้องคิดเอาไว้อยู่แล้ว เพียงแต่ด้วยเงื่อนไขที่มีอยู่ในตอนนี้ทำให้ข้าผลิตได้เพียงเท่านี้” หนิวโหย่วเต้าส่ายศีรษะ เอ่ยต่อว่า “อีกอย่าง ปริมาณมากไปก็ใช่ว่าจะดี หากเพิ่มปริมาณมากขึ้น จะไม่ขึ้นราคาเลยก็คงเป็นเรื่องโกหก ต่อให้ขึ้นราคาได้ หรือสำนักหยกสวรรค์ไม่กลัวว่าผลประโยชน์ที่มากมายมหาศาลจะทำให้คนอื่นอิจฉาตาร้อนจนเป็นการชักนำปัญหามาให้? แม้ว่าจะมีจำนวนเพียงหนึ่งหมื่นไห แต่ข้าอยากแนะนำทุกท่านว่าอย่าได้ประกาศให้ภายนอกรับรู้ว่าเรามีเพียงหนึ่งหมื่นไหจะเป็นการดีที่สุด ส่วนเรื่องที่ว่าควรจะพูดกลบเกลื่อนอย่างไรนั้น สำนักหยกสวรรค์ก็ลองไปคิดดูแล้วกันว่าควรจะพูดอย่างไร”

ทุกคนเงียบไป เผิงโย่วไจ้เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล เจ้าจัดการเรื่องในส่วนของเจ้าให้ดีแล้วกัน”

เมื่อหารือเรื่องสุรากับทางนี้จบ หนิวโหย่วเต้าก็ขอตัวลา ขณะที่เพิ่งมาถึงเรือนพำนักที่จัดเตรียมไว้ให้เขา เฟ่ยฉางหลิวก็มาเชิญหนิวโหย่วเต้าไปพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวอีก

“ศิษย์สำนักเซียนสถิตของข้าที่อยู่ทางหอหิมะเหมันต์ให้เรียกตัวกลับมาเลยหรือไม่?”

เหล่าศิษย์ที่เดิมทีพาไปยังหอหิมะเหมันต์เพื่อลอบสังหารหนิวโหย่วเต้า ยามนี้ส่วนใหญ่ถูกจัดให้กระจายตัวอยู่ในหอหิมะเหมันต์อย่างลับๆ ตามคำขอของหนิวโหย่วเต้า

“อย่าเพิ่งเรียกกลับมา ให้จับตามองต่อไป!” หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้า จากนั้นเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ไม่ทราบว่าเรื่องหลักฐานแสดงความจริงใจที่ข้าต้องการ เตรียมเอาไว้แล้วหรือยัง?”

เจ้าสำนักทั้งสามโบกมือส่งสัญญาณไปทางศิษย์ของตนเล็กน้อย

เพียงครู่เดียว หีบไม้สิบสามใบถูกยกเข้ามา วางไว้บนแปลงดอกไม้

เฟ่ยฉางหลิวเปิดหีบไม้ใบหนึ่งด้วยตัวเอง ด้านในบรรจุศีรษะของซ่งจิ่วหมิงที่ถูกโรยผงปูนขาวเอาไว้ ”นอกจากซ่งซูที่เจ้าบอกไว้คนนั้น ศีรษะของซ่งจิ่วหมิงและพ่อบ้านหลิวลู่ รวมถึงคนอื่นๆ ในตระกูลซ่งรวมทั้งหมดสิบสามศีรษะล้วนอยู่ที่นี่หมดแล้ว เชิญตรวจสอบได้!”

“กำจัดทิ้งซะ” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยอย่างเรียบเฉย ไม่คิดจะตรวจสอบเลย แล้วก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบด้วย

เขาไม่รู้จักหน้าตาของพวกซ่งจิ่วหมิง เป็นของจริงหรือของปลอม กลับไปสอบถามข่าวที่เฉินกุยซั่วส่งมาให้ทางฝั่งซางเฉาจงดูก็รู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำอะไรวุ่นวาย การชื่นชมศีรษะคนมากมายขนาดนี้ในช่วงเวลาพลบค่ำก็ไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์สักเท่าไร

แต่เรื่องหนึ่งที่เป็นความจริงคือเขาได้จัดการเรื่องในใจไปเรื่องหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็กำจัดปัญหาใหญ่อย่างตระกูลซ่งได้แล้ว ส่วนซ่งซูที่ ‘หลุดรอด’ ไปได้ เมื่อไร้ซึ่งอิทธิพลจากตระกูลซ่ง เขาก็ไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาอีก ซ่งซูในตอนนี้กระทั่งเข้ามาใกล้ตัวเขาก็ยังทำได้ยาก แค่เขาเอ่ยเพียงประโยคเดียวก็จัดการได้แล้ว ไม่ควรค่าให้กังวลอะไร

เมื่อจัดการธุระกับคนกลุ่มนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว หนิวโหย่วเต้าถึงจะได้ไปนั่งพูดคุยกับพวกซางเฉาจงต่อ

สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกยกน้ำชาเข้ามา เฮยหมู่ตานก้าวออกไปรับมาวางไว้เบื้องหน้าหนิวโหย่วเต้า ก่อนจะไปยืนอยู่ด้านหลังหนิวโหย่วเต้ากับหยวนกังและหยวนฟาง

ต้วนหู่และเหลยจงคังไม่ได้เข้ามาด้วย คอยเฝ้าอยู่ด้านนอก และเนื่องด้วยเหตุนี้ เฮยหมู่ตานที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาคนนี้จึงดึงดูดความสนใจของซางซูชิงเอาไว้อีกครั้ง

และเป็นเพราะดึงดูดความสนใจจากนางเอาไว้ ซางซูชิงจึงสังเกตเห็นว่าท่าทีที่เฮยหมู่ตานมีต่อหนิวโหย่วเต้าคล้ายไม่ค่อยปกติ โดยเฉพาะสายตาที่มองไปทางหนิวโหย่วเต้า

ความคิดบางอย่างแวบเข้ามาในหัว แต่ซางซูชิงก็คิดขึ้นมาอีกว่าอาจเป็นตนที่คิดมากไป อายุของทั้งสองคนต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

เฮยหมู่ตานที่ยืนอยู่ด้านหลังหนิวโหย่วเต้าสบตากับซางซูชิงโดยไม่ได้ตั้งใจ

ซางซูชิงยิ้มให้เล็กน้อย ละสายตาออกจากนาง มองดูถ้วยชาที่อยู่ในมือตน

สำหรับท่านหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้ เฮยหมู่ตานเองก็นึกสนใจใคร่รู้เช่นกัน อีกฝ่ายดึงดูดความสนใจของนางเอาไว้ตั้งแต่แรกพบ นางเองก็สังเกตเห็นเช่นกันว่าสายตาที่ท่านหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้มองดูหนิวโหย่วเต้าคล้ายจะไม่ค่อยปกติ

สตรีด้วยกันมักจะมองกันออก และบางครั้งการมองกันออกเช่นนี้ก็มิใช่เรื่องดีเลย

หลังได้รับน้ำชา หนิวโหย่วเต้าชูถ้วยชาขึ้นคารวะ กล่าวว่า “กระหม่อมยังไม่ได้แสดงความยินดีกับท่านอ๋องที่ยึดจังหวัดชิงซานมาได้เลย ยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

ซางเฉาจงคารวะกลับ ส่ายหน้าด้วยความทอดถอนใจ สื่อความนัยทุกอย่างออกมาโดยไม่เอ่ยวาจา รู้สึกว่าคำพูดขอบคุณบางอย่าง ถึงเอ่ยออกไปก็ยังดูน้อยเกินไป

หนิวโหย่วเต้าวางถ้วยชาลง ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ในเมื่อเจ้าสำนักของทั้งสามสำนักล้วนมากันแล้ว คาดว่าพวกเขาคงพูดกับท่านอ๋องไปหมดแล้ว ท่านอ๋องจำที่กระหม่อมเคยบอกไว้ในตอนนั้นได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ขอเพียงท่านอ๋องยึดจังหวัดชิงซานได้ กระหม่อมจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งให้ท่านอ๋อง ไม่ทราบว่าท่านอ๋องชอบของขวัญชิ้นนี้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

…………………………………………………….

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า