ตอนที่ 206 ชี้แนะให้กระจ่าง
คลื่น ‘ความประหลาดใจ’ ลูกแล้วลูกเล่าซัดสาดใส่ลู่เซิ่งจงไม่หยุด ตระกูลซ่งจบสิ้นแล้ว สามสำนักที่พึ่งพิงตระกูลซ่งก็มาเข้าร่วมกับทางฝั่งนี้ แล้วก็ยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าซางเฉาจงจะยิ่งใหญ่ขึ้นมารวดเร็วขนาดนี้ ยึดจังหวัดชิงซานได้แล้วอย่างนั้นหรือ?
ถูกคุมขังอยู่ในที่มืดไม่เห็นเดือนเห็นตะวันมาเป็นเวลานาน แม้นจะไม่ค่อยทราบว่าเวลาด้านนอกผ่านไปนานเท่าไร แต่มันก็ไม่ได้ยาวนานจนถึงขั้นที่ไม่สามารถคำนวณเวลาได้ พึ่งผ่านไปไม่เท่าไรก็เกิดความเปลี่ยนแปลงที่มากมายขนาดนี้แล้วอย่างนั้นหรือ?
แม้ว่าจะค่อนข้างน่าเหลื่อเชื่อ แต่ในใจของเขาทราบดี อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องอย่างนี้มาหลอกลวงตนเองเลย ที่มานั่งคุยกับตนอย่างสบายๆ เห็นได้ชัดว่าเตรียมจะเปิดโอกาสให้เขาออกไป เรื่องที่เล่ามาเป็นจริงหรือเท็จ เดี๋ยวพอหลุดออกไปได้ก็รู้เอง ไม่มีทางหลอกกันได้
“ที่นี่คือตัวเมืองจังหวัดชิงซานหรือ?” ลู่เซิงจงเอ่ยถาม
หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับพลางยิ้มเล็กน้อย
ลู่เซิ่งจงเงียบไป ระหว่างที่ทำการย้ายสถานที่จองจำเขา เขาก็สังเกตเห็นแล้วว่าถูกย้ายมายังเมืองเมืองหนึ่ง ที่แท้ก็เป็นจังหวัดชิงซานนี่เอง
ลู่เซิ่งจงถาม “สำนักเบญจคีรีมีแผนอย่างไร ข้าไหนเลยจะทราบได้?”
หนิวโหย่วเต้าจิบชาอึกหนึ่งแล้ววางถ้วยชาลง ชี้ไปทางปีกทองที่อยู่ในกรงด้านข้าง เอ่ยว่า “ปีกทองที่ยึดมาจากท่านตอนอยู่ที่อำเภอชางหลูยังเก็บไว้ให้ท่านมาโดยตลอด ไยไม่ลองติดต่อกับทางสำนักดูเล่า”
ลู่เซิ่งจงหันไปมองปีกทองตัวนั้น อดยิ้มอย่างขมขื่นขึ้นมาไม่ได้ “ดูเหมือนเจ้าจะหมายตาสำนักเบญจคีรีเอาไว้แต่แรกแล้วสินะ”
เขาเดาถูกแล้ว หนิวโหย่วเต้าหมายตาสำนักเบญจคีรีเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วจริงๆ สำนักเบญจคีรีก็คือ ‘ของขวัญ’ ที่หนิวโหย่วเต้าบอกไว้ว่าจะมอบให้ซางเฉาจง เพียงแต่สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว แผนการก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ด้วย
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ก็ไม่ถึงกับเป็นการหมายตาหรอก เรื่องที่บังคับฝืนใจผู้อื่นให้ทำนั้นยากจะยืนยาว ต่างฝ่ายต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันต่างหากถึงจะยืนยาว”
ลู่เซิ่งจงถาม “คิดจะให้สำนักเบญจคีรีมาเข้ากับทางนี้หรือ?”
หนิวโหย่วเต้าไม่ได้คล้อยตามวาจานี้ “สำนักเบญจคีรีตกต่ำจนมาถึงจุดนี้ได้ ความสามารถของเจ้าสำนักของท่านข้าคงไม่กล้าเยินยอ อันที่จริงข้าคิดมาตลอดว่าด้วยความสามารถของพี่ลู่แล้ว การอยู่ในสำนักเบญจคีรีทำให้ท่านไม่ค่อยได้แสดงความสามารถออกมา อันที่จริงความสามารถของท่านสามารถสร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ให้แก่สำนักเบญจคีรีได้โดยไม่ยากเย็นอะไร และสามารถนำพาสำนักเบญจคีรีให้ก้าวไปได้ไกลมากกว่านี้ หากพี่ลู่ได้ขึ้นครองตำแหน่งเจ้าสำนักเบญจคีรี การจะทำให้สำนักเบญจคีรีรุ่งโรจน์ขึ้นมาก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
ลู่เซิ่งจงหัวเราะหยันเล็กน้อย “เจ้ากำลังล้อเล่นอยู่กระมัง?”
“ล้อเล่น? ข้าไม่ได้ล้อเล่น” หนิวโหย่วเต้าส่ายหน้าช้าๆ ยกกาน้ำชามาริน “ทางฝั่งนี้เนี่ย เบื้องบนมีสำนักหยกสวรรค์ เบื้องล่างมีสำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่อง สำนักคีรีพิลาส ไม่ว่าจะเป็นสำนักไหนก็สามารถบดขยี้สำนักเบญจคีรีได้สบายๆ ขอเพียงสำนักเบญจคีรีมาเข้ากับทางนี้ พี่ลู่คิดจะทำอย่างไรกับสำนักเบญจคีรีก็ได้ทั้งนั้น พี่ลู่อยากกำจัดเจ้าสำนักของท่านตอนไหนก็แค่เอ่ยมาเพียงประโยคเดียว คนที่ไม่ยอมสยบต่อพี่ลู่ พี่ลู่จะกำจัดอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่นิดเดียว”
ถ้อยคำนี้เอ่ยออกมาอย่างเรียบง่ายและหยาบกระด้างเสียเหลือเกิน ทั้งยั้งโจ่งแจ้งและไร้ยางอายสิ้นดี สีหน้าของหยวนฟางที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ เหยเกขึ้นมาเล็กน้อย
ม่านตาลู่เซิ่งจงหดตัว คิดไม่ถึงว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผู้นี้จะพูดเรื่องกำจัดเจ้าสำนักของเขาออกมาต่อหน้าเขา ช่างเหลวไหลเป็นยิ่งนัก!
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยต่ออย่างไม่แยแสว่า “ถึงแม้จะคุมขังพี่ลู่มาเป็นเวลานาน แต่นั่นก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้าย มีคำกล่าวไว้ว่ายามขมหมดหวานก็มา หากถูกคุมขังแล้วสามารถขึ้นเป็นเจ้าสำนักได้ ข้าคิดว่าคงมีคนมากมายในสำนักเบญจคีรีที่ยินดีจะรับโทษทัณฑ์นี้ แต่แน่นอน เรื่องแรกที่ต้องทำคือพี่ลู่ต้องหาทางไปพบคนของสำนักเบญจคีรีก่อน ต้องคิดหาวิธีโน้มน้าวสำนักเบญจคีรีให้มาเข้าร่วมกับทางนี้ให้ได้ และแน่นอน สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือพี่ลู่ต้องจัดการเรื่องราวให้ข้าพอใจ ขอเพียงข้าพึงพอใจ เรื่องที่พี่ลู่จะได้กลายเป็นเจ้าสำนักเบญจคีรีก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร”
ลู่เซิ่งจงเอ่ยเสียงเข้ม “เหลวไหล! ข้าลู่เซิ่งจงต่อให้ไร้ความสามารถแค่ไหนก็ไม่มีทางกระทำเรื่องล้มล้างอาจารย์ทรยศสำนักเด็ดขาด!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “หากบอกว่าล้มล้างอาจารย์ทรยศสำนักมันก็ออกจะเกินไปหน่อย ตำแหน่งเจ้าสำนักไม่ได้มีกฎระบุไว้ว่าต้องเป็นของผู้ใดนี่นา สำนักใดบ้างเล่าที่ไม่ได้คัดเลือกเจ้าสำนักจากความสามารถ? หากเปลี่ยนให้คนที่มีความสามารถมากกว่ามารับตำแหน่ง สร้างอนาคตที่รุ่งโรจน์ยิ่งกว่าให้แก่สำนักเบญจคีรี ทำให้ดวงวิญญาณบรรพจารย์ที่อยู่บนสวรรค์มีความสุข นี่ไหนเลยจะมิใช่เรื่องดี? คนไร้ความสามารถที่สร้างความลำบากให้แก่คนทั้งสำนักเพราะเรื่องส่วนตัวต่างหากถึงจะเป็นผู้ที่ล้มล้างอาจารย์ทรยศสำนักอย่างแท้จริง ในฐานะศิษย์ของสำนักเบญจคีรี การคิดหาทางทำให้สำนักเบญจคีรีดีขึ้นต่างหากถึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง”
ลู่เซิ่งจงขบกรามแน่น “หากข้าไม่ตอบตกลงล่ะ เจ้าจะสังหารข้าใช่หรือเปล่า?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “แตงที่ฝืนเด็ดย่อมไม่หวาน ตัวข้าไม่ชอบบังคับผู้ใดให้ไปกระทำเรื่องที่เขาไม่อยากทำ หากท่านไม่ตอบตกลง ข้าก็ไม่มีทางสังหารท่านแน่นอน ข้าจะปล่อยท่านไป”
ลู่เซิ่งจงโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย “จริงหรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “จริงแท้แน่นอน! เพียงแต่ข้ากลับนึกกังวลในอนาคตของพี่ลู่ ล่วงเกินหวังเหิงเข้าแล้ว สำนักเบญจคีรีคงยากจะปักหลักอยู่ในแคว้นเยี่ยนได้! อีกทั้งหวังเหิงย่อมไม่มีทางละเว้นตัวต้นเหตุอย่างพี่ลู่ด้วย ขณะเดียวกันก็เป็นเพราะพี่ลู่เผยข้อมูล ถึงได้ทำให้สำนักเบญจคีรีตกต่ำมาถึงจุดนี้ ข้านึกภาพไม่ออกเลยว่าพอพี่ลู่กลับไปสำนักเบญจคีรีแล้วจะมีจุดจบอย่างไร ต่อให้ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น แต่พี่ลู่ยังจะถูกทางสำนักเรียกใช้งานอีกหรือ?”
“แต่แน่นอน บางทีพี่ลู่อาจจะมีจิตใจสูงส่ง จะถูกเรียกใช้หรือไม่ก็ไม่เป็นไร ต่อให้ต้องรับโทษก็จะก้มหน้ายอมรับแต่โดยดี เพราะเรื่องอดทนต่อความอัปยศอดสูนั้นมีมาแต่โบราณแล้ว เพิ่มพี่ลู่ไปอีกสักคนก็คงไม่เป็นไร หรือบางที พี่ลู่อาจจะหลบหนีไปไกล เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่กลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักได้ เพียงแต่คนที่ทรยศต่อสำนัก เกรงว่าคงอยู่ใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกได้ค่อนข้างลำบาก…”
จิตใจลู่เซิ่งจงว้าวุ่นเพราะคำพูดของเขา สมองก็สับสนวุ่นวาย
“แต่ถ้าสามารถหาทางออกให้สำนักเบญจคีรีได้ เช่นนั้นมันก็ไม่เหมือนกันแล้ว มันอาจจะไม่ถึงกับเป็นความดีความชอบอันใด แต่ถ้าบอกว่าเป็นการทำคุณไถ่โทษนั้นยังพอไหวอยู่ ท่านสามารถบอกต่อสำนักเบญจคีรีได้ว่าเป็นท่านที่พูดโน้มน้าวข้า ยกความดีความชอบให้ตัวเอง หากสำนักเบญจคีรีมาที่นี่ กระทั่งราชสำนักแคว้นเยี่ยนยังไม่กล้าผลีผลามบุ่มบ่ามทำอะไรทางนี้เลย หวังเหิงก็ยิ่งไม่มีทางทำอะไรพวกท่านได้”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ หนิวโหย่วเต้าก็ถอนใจออกมา เอ่ยว่า “เอาล่ะ พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าเองก็ไม่ชอบบังคับผู้ใด เจ้าหมี คลายผนึกบนร่างเขา ส่งเขาออกจากจวน”
หยวนฟางก้าวเข้ามาทันที จี้จุดบนร่างลู่เซิ่งจงอย่างต่อเนื่อง คลายผนึกบนร่างเขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า