ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 207

ตอนที่ 207 ดำเนินไปอย่างคึกคัก

สำหรับเรื่องนี้ หยวนกังเองก็ไม่ได้กล่าวอันใดอีก เขารู้ว่าพูดอะไรไปก็ล้วนแต่ไร้ประโยชน์

ตัวเต้าเหยี่ยเองก็เป็นคนที่มีทั้งความดีและความชั่วอยู่ในตัว มาตรฐานเรื่องความผิดถูกก็ดูคลุมเครืออย่างมากเช่นกัน ไม่ได้แยกแยะถูกและผิดอย่างชัดเจนเหมือนเขา ในสายตาของเต้าเหยี่ยไม่ได้มีความดีและความชั่วที่สมบูรณ์ เลือกใช้คนโดยไม่สนใจสาขาอาชีพ

ส่วนหนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่ได้พำนักอยู่ในคฤหาสน์หลังจวนผู้ว่าการจังหวัดนานนัก จวนผู้ว่าการจังหวัดอยู่ในการควบคุมของสำนักหยกสวรรค์ เขาไม่อยากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สำนักหยกสวรรค์สามารถตัดสินความเป็นความตายของเขาได้ทุกเมื่อ

เขาใช้ข้ออ้างว่าต้องหาพื้นที่สำหรับกลั่นสุรา จึงออกสำรวจไปทั่วพื้นที่นอกเมือง จนกระทั่งพบหุบเขาแห่งหนึ่งที่สภาพแวดล้อมพอใช้ได้ จึงย้ายออกจากเมืองมาพักในหุบเขานอกเมือง

พื้นที่ในป่าเขากันดาร สภาพความเป็นอยู่จำเป็นต้องใช้เวลาค่อยๆ ปรับไป มีการสร้างกระท่อมมุงหญ้าคาหลังหนึ่งขึ้นในจุดที่มีลำธารไหลผ่านช่องเขาเพื่อใช้เป็นที่พักอาศัย

สภาพแวดล้อมรอบข้างถือว่าไม่เลวทีเดียว เขาเขียวธารใส รุ่งเช้ามีหมอกบางๆ พลบค่ำมองเห็นวิหคบินกลับรังภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น

ปัญหาเรื่องความปลอดภัยก็ไม่จำเป็นต้องกังวล สำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาสมาเข้าร่วมกับทางนี้ก็เท่ากับล่วงเกินราชสำนักเข้าแล้ว จึงย้ายมาที่นี่กันทั้งหมดเช่นกัน

ศิษย์ของทั้งสามสำนักร่วมมือกันปกป้องภูเขา เฝ้าคุ้มกันเขตที่พักของหนิวโหย่วเต้าอย่างแน่นหนา ทั้งสามสำนักมียอดฝีมือมากมาย อีกทั้งรอบนอกยังมีทหารหลายพันคนที่ซางเฉาจงระดมพลมาประจำการณ์ที่นี่ คนนอกเองก็ยากจะบุกเข้ามาก่อกวนความสงบได้

ด้านล่างหน้าผาภายในหุบเขาที่อยู่ห่างจากที่พักไปหนึ่งลี้ ช่างฝีมือกำลังเร่งขุดเจาะทั้งวันทั้งคืน เพื่อทำการขยาย ตีทะลุและเชื่อมต่อถ้ำภายในหน้าผาเพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับกลั่นสุรา

ราตรีเงียบสงัด ไกลออกไปมีเสียงดังเคร้งๆ จากช่างฝีมือที่ทำการขุดเจาะแว่วมาเป็นระยะ

บนหน้าผา ผีเสื้อจันทราที่เปล่งแสงอ่อนโยนตัวหนึ่งกระพือปีกอยู่ในความมืดยามราตรี โบยบินไปตามการชักนำจากกระแสปราณของหนิวโหย่วเต้า ในที่สุดไข่ผีเสื้อที่ซื้อมาจากเมืองไจซิงก็ฟักตัวเป็นผีเสื้อแล้ว ถึงแม้ขนาดจะเล็กอย่างมาก แต่กลับส่องแสงสว่างไสว

ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรีที่ระยับพร่างพรายไปด้วยมวลหมู่ดารา หนิวโหย่วเต้ายื่นมือข้างหนึ่งออกไป ผีเสื้อจันทราตัวน้อยลอยลงมาอย่างแผ่วเบา ราวกับดาวดวงหนึ่งที่ตกลงมาบนปลายนิ้วของเขา ส่องใบหน้าที่กำลังจ้องมองของเขาให้ชัดเจนขึ้นมา ภายในดวงตาทั้งสองข้างของเขามีเงาของผีเสื้อจันทราปรากฏขึ้นมา สายตาแฝงไว้ด้วยความสับสนเหม่อลอย ความรู้สึกอ้างว้างที่เอ่อล้นออกมาจากในส่วนลึกของจิตใจติดค้างอยู่ในดวงตาเป็นเวลานาน ไม่เลือนรางหายไปไหน

ซางซูชิงที่เฝ้ามองอยู่ด้านข้างไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือเปล่า นางรู้สึกว่าเต้าเหยี่ยเป็นเหมือนกับผีเสื้อจันทราตัวนี้ ถึงแม้จะส่องสว่างอยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี ทว่ากลับดูโดดเดี่ยวอ้างว้าง

ซางซูชิงไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ เหตุใดถึงได้เผยอารมณ์เช่นนั้นออกมา

นางเองก็ย้ายมาอาศัยในหุบเขานี้เช่นกัน โดยให้เหตุผลกับซางเฉาจงว่าปกติเรื่องทางการทหารและการปกครองก็ไม่จำเป็นต้องให้นางเข้าไปจัดการอยู่แล้ว ไม่สู้มาคอยดูแลสถานการณ์ทางฝั่งเต้าเหยี่ยดีกว่า หากมีเรื่องใดจะได้แจ้งต่อพี่ชายได้ทันท่วงทีด้วย

หลานรั่วถิงสงวนท่าทีในเรื่องนี้ นิ่งเงียบไม่แสดงความเห็นอะไร

ซางเฉาจงกลับคิดว่าจริงอย่างที่น้องสาวว่า คิดว่าน้องสาวพูดมีเหตุผล จึงตอบตกลงไป

เมื่อเห็นผีเสื้อจันทราแสนงดงามที่บินลงบนมือหนิวโหย่วเต้า หยวนฟางก็เปิดกล่องที่อยู่ในมือตัวเองออกดูบ้าง ดูเหมือนผีเสื้อจันทราของเขาจะยังไม่ถึงกำหนดฟักตัวออกมา

เลี้ยงพร้อมกัน แต่ช่วงเวลาฟักตัวกลับแตกต่างกัน ทำให้เขาค่อนข้างสงสัย

บนก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก หยวนกังนอนเอนหลังอยู่บนนั้น หนุนสองแขนเงยหน้ามองหมู่ดาวบนฟากฟ้า

เขามักจะเงยหน้ามองท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ไม่รู้เลยว่าในนั้นซุกซ่อนความลับและสิ่งที่ไม่รู้จักไว้มากน้อยเพียงใด

ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ลู่เซิ่งจงนั่งขัดสมาธิ แผ่นหลังพิงต้นไม้ใหญ่ เหม่อมองท้องฟ้ายามราตรีคนเดียวเงียบๆ ไม่ทราบเช่นกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ต่างคนต่างมีเรื่องในใจ

พอตกดึก ต่างแยกย้ายกันไป สาวใช้สองนางที่อยู่ตรงเชิงเขามารับซางซูชิง ก่อนจะออกไปพักผ่อนพร้อมกัน

หนิวโหย่วเต้ากลับมายังกระท่อมมุงจากของตน เล่นกับผีเสื้อจันทราของตนที่เพิ่งฟักออกมาตัวนั้น ผีเสื้อจันทราทำให้ภายในกระท่อมสว่างไสว

ถึงแม้เจ้าสิ่งนี้จะเปล่งแสงได้ด้วยตัวเอง แต่มันกลับหวาดกลัวแสงที่รุนแรง โดยเฉพาะแสงอาทิตย์ ช่วงกลางวันจึงไม่กล้าเผยตัว

แต่เรื่องการเก็บมันก็จัดการได้ไม่ยาก ในกล่องโลหะใบเล็กๆ ใบหนึ่งที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษจะมีช่องว่างอยู่ตรงกลาง สามารถดึงออกมาได้เหมือนลิ้นชักช่องหนึ่ง หลังจากผีเสื้อจันทราเข้าไปในช่องแล้วหุบปีกไว้ ตัวลิ้นชักก็จะสามารถดันกลับเข้าไปในกล่องได้

ในกล่องมีช่องสำหรับป้อนอาหารอยู่ สำนักหมื่นสรรพสัตว์มีอาหารที่ผลิตขึ้นมาสำหรับผีเสื้อจันทราโดยเฉพาะ เรียกว่า ‘หยาดน้ำค้าง’ แต่ความจริงแล้วมันเป็นสิ่งที่มีรูปร่างคล้ายยาลูกกลอนขนาดเล็กจิ๋วเม็ดหนึ่ง นำมาบดเป็นผงผสมกับน้ำสะอาด สามารถให้ผีเสื้อจันทราที่อยู่ในกล่องดูดกินได้เสมือนหยาดน้ำค้าง ให้อาหารเพียงครั้งเดียวก็สามารถอยู่ไปได้หลายวัน

อีกทั้งกล่องก็มีขนาดไม่ใหญ่ ปกติแขวนไว้ที่สายรัดเอวแล้วจะดูคล้ายพู่หยกที่พกติดตัว แล้วก็เป็นสิ่งที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์สร้างขึ้นมาสำหรับผีเสื้อจันทราโดยเฉพาะเช่นกัน

สรุปแล้วก็คือสำนักหมื่นสรรพสัตว์ทำการค้าเก่งเป็นอย่างมาก ขายสินค้าทุกอย่างครอบคลุมรอบด้าน เมื่อขายสินค้าชนิดหนึ่งได้ ลูกค้าที่ซื้อสินค้าไปแล้วก็ยังต้องกลับมาซื้อสินค้ากับพวกเขาต่อ

และด้วยเหตุนี้ สำนักหมื่นสรรพสัตว์ถึงได้กลายเป็นหนึ่งในสำนักที่มั่งคั่งที่สุด เชี่ยวชาญเพียงอย่างเดียว กินรวบทั้งใต้หล้า

“มีอะไร?” หนิวโหย่วเต้าที่เล่นผีเสื้อจันทราเหลือบมองหยวนกังที่ยืนพิงประตูก้มหน้า นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

หยวนกังค่อยๆ เดินเข้ามาหา เอ่ยช้าๆ ว่า “หลายปีก่อนตอนอยู่ที่หมู่บ้าน ผมฝึกฝนคนที่มีไหวพริบขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ถ้าพามาก็สามารถใช้งานได้ ให้การสนับสนุนพวกเขา…ผมอยากส่งคนไปรับตัวพวกเขามา ให้โอกาสพวกเขาสักครั้ง”

หนิวโหย่วเต้าเงียบไป ผ่านไปสักพักก็เอ่ยเนิบๆ ขึ้นมาว่า “ใช้ชีวิตเรียบง่ายหน่อยก็ใช่ว่าจะไม่ดี”

หยวนกังกล่าวว่า “ในโลกแบบนี้จะใช้ชีวิตเรียบง่ายได้ยังไง? ไม่สู้มอบโอกาสให้พวกเขาได้เปิดโลกสักครั้ง”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เรื่องนี้นายจัดการเองแล้วกัน แค่พวกเขาไม่นึกเสียใจทีหลัง ตัวนายไม่นึกเสียใจทีหลังก็พอ”

หยวนกังหันหลังเดินออกไป ตรงไปหาซางซูชิง ให้ทางนั้นส่งคนไปหาคนที่หมู่บ้าน

…..

หลายวันหลังจากนั้น สำนักเบญจคีรีส่งคนมาแล้ว ผู้มาคืออาจารย์ของลู่เซิ่งจง นามว่าฉางจืออี้ เป็นหนึ่งในห้าผู้อาวุโสแห่งสำนักเบญจคีรี และเป็นเพราะสถานะในระดับนี้ ลู่เซิ่งจงในอดีตถึงได้โดดเด่นกว่าบรรดาศิษย์คนอื่นๆ ในสำนักเบญจคีรี ได้ไปติดตามอยู่ข้างกายหวังเหิง

ทางสำนักเบญจคีรีไม่ทราบสถานการณ์ที่แน่ชัด แล้วก็ไม่รู้ว่าเรื่องที่ลู่เซิ่งจงพูดมาเป็นความจริงหรือไม่ จึงไม่มีทางบุ่มบ่ามขนคนทั้งสำนักมาที่นี่ในทันที

เมื่อเป็นศิษย์ของตัวเองก็ย่อมต้องไปจัดการเอง หากมีอันตรายเจ้าก็ต้องแบกรับเอง ดังนั้นทางสำนักจึงส่งฉางจืออี้มาตรวจสอบสถานการณ์ ข้างกายมีผู้ติดตามเพียงคนเดียวเท่านั้น

“สารเลว!”

เมื่อศิษย์อาจารย์พบหน้า ฉางจืออี้ก็ด่าบริภาษด้วยความโกรธเกรี้ยวอยู่พักใหญ่ ลู่เซิ่งจงคุกเข่าโขกศีรษะ ร้องไห้หลั่งน้ำตา

หนิวโหย่วเต้าก็ไม่ได้เข้าไปรบกวน มองดูอยู่ไกลๆ!

จนกระทั่งอารมณ์ของสองศิษย์อาจารย์สงบลงแล้ว ลู่เซิ่งจงถึงจะพาอาจารย์มาพบหนิวโหย่วเต้า

ห้องครัวที่ติดป้าย ‘วัดหนานซาน’ เอาไว้ได้เตรียมสุราอาหารไว้รับรองแล้ว เรื่องสุรานั่นไม่ขอพูดถึง กลับเป็นอาหารที่ทำให้ฉางจืออี้ผู้ดุดันอดชิมไปหลายคำไม่ได้

ฉางจืออี้ตรวจสอบดูเล็กน้อยว่าสิ่งที่ศิษย์ของตนบอกเล่ามานั้นเป็นความจริงหรือไม่ หนิวโหย่วเต้าย่อมต้องช่วยปกปิดให้ลู่เซิ่งจง

ทางหนิวโหย่วเต้าก็ได้สอบถามสถานการณ์ของทางสำนักเบญจคีรีเช่นกัน

สถานการณ์ของสำนักเบญจคีรีมิสู้ดี ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องที่อำเภอชางหลูจนถึงตอนนี้ ระยะเวลาจะบอกว่าสั้นก็ไม่สั้น จะบอกว่ายาวอันที่จริงก็ไม่ได้ยาวเท่าไร หวังเหิงตามคิดบัญชีกับสำนักเบญจคีรีมาโดยตลอด ตอนนี้สำนักเบญจคีรียังอยู่ระหว่างซ่อนตัว ไม่กล้าเผยตัวออกมา

แต่เรื่องที่ทางฝั่งซางเฉาจงผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทางสำนักเบญจคีรีกลับได้ยินได้ฟังมา รู้ข่าวเร็วกว่าลู่เซิ่งจงที่ถูกคุมขังไว้ก่อนหน้านี้เสียอีก หากซางเฉาจงยินดีรับตัวพวกเขาไว้ มีทางออกให้พวกเขา อีกทั้งยังสามารถหลีกเลี่ยงอันตรายจากทางหวังเหิงได้ด้วย พวกเขาย่อมต้องยินดีมาสวามิภักดิ์เข้ากับทางนี้

ทว่าการจะให้สำนักเบญจคีรีเปลี่ยนจากการอยู่ในที่สว่างไปอยู่ในที่มืด การจะให้สำนักเบญจคีรีเปลี่ยนไปเป็นการคงอยู่ในอีกรูปแบบหนึ่ง ฉางจืออี้ที่เพียงแค่เดินทางมาตรวจสอบยืนยันสถานการณ์ย่อมไม่กล้าหุนหันตอบตกลงเช่นเดียวกัน

แต่สำนักเบญจคีรีในปัจจุบันนี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเช่นกัน ประกอบกับคำพูดของหนิวโหย่วเต้าเองก็มีเหตุผล ชี้ให้เห็นทิศทางที่จะทำให้สำนักเบญจคีรีเติบใหญ่ได้จริงๆ หลังจากติดต่อกันผ่านปีกทองอยู่สองสามรอบ สำนักเบญจคีรีส่งคนมาตรวจสอบยืนยันอีก หลังจากยืนยันแล้วว่าไม่มีอะไรผิดพลาด สำนักเบญจคีรีถึงจะตอบตกลงอย่างเป็นทางการ

ตกลงกันปากเปล่าไม่มีประโยชน์ หนิวโหย่วเต้าก็มีข้อเรียกร้องเช่นกัน สำนักเบญจคีรีจะต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ หากไม่ควบคุมความเป็นความตายของเหล่าสมาชิกระดับสูงของสำนักเบญจคีรีไว้ในกำมือ เขาจะกล้าใช้งานพวกเขาได้อย่างไร ซางเฉาจงไม่ได้แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ทำให้คนยอมตายถวายชีวิตได้

ที่นี่มีกองกำลังของสำนักเซียนสถิตและสำนักอื่นๆ คอยคุ้มกัน จะเป็นสำนักไหนก็สามารถจัดการสำนักเบญจคีรีได้ทั้งสิ้น มีแต่ต้องให้สมาชิกระดับสูงของสำนักเบญจคีรีมาอยู่ในการควบคุมของเขา เขาถึงจะวางใจ

กระทั่งขุดถ้ำเสร็จเรียบร้อย ในตอนที่เริ่มสร้างอุปกรณ์การกลั่นสุรา กงซุนปู้เจ้าสำนักเบญจคีรีก็พาเหล่าศิษย์สำนักเบญจคีรีหลายร้อยชีวิตเดินทางมาถึงแล้ว

เมื่อกงซุนปู้มาถึง เรื่องที่สมควรเจรจา ก่อนหน้านี้ก็ได้เจรจากันจนกระจ่างไปหมดแล้ว กงซุนปู้เพียงแค่มาทำการตัดสินใจครั้งสุดท้ายเท่านั้น

…….

เขาเขียวขจี สายลมพัดโชย โต๊ะหินและม้านั่งหินตั้งอยู่กลางแจ้ง

หลังจากพบหน้าหนิวโหย่วเต้า นั่งลงพูดคุยไถ่ถามกันตามมารยาทไปสองสามประโยค หนิวโหย่วเต้าก็ไม่พูดไร้สาระอีก นำตั๋วแลกทองปึกหนึ่งออกมาซื้อใจคน แสดงกำลังทรัพย์ของเขาให้สำนักเบญจคีรีได้เห็น

“ห้าแสนเหรียญทอง!” หนิวโหย่วเต้าดันตั๋วแลกทองทั้งปึกไปไว้ตรงหน้ากงซุนปู้

กงซุนปู้และผู้อาวุโสอีกหลายคนใจสั่นขึ้นมาเล็กน้อย มือเติบนัก!

ผู้อาวุโสคนหนึ่งหยิบตั๋วแลกทองบนโต๊ะขึ้นมา ทำการตรวจนับดูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพยักหน้าให้กงซุนปู้เล็กน้อยเพื่อบอกว่าถูกต้อง เป็นเงินจำนวนห้าแสนเหรียญทองจริงๆ!

กงซุนปู้ลองสอบถามดู “เงินจำนวนนี้มอบให้สำนักเบญจคีรี หรือว่ามอบให้เพื่อใช้จัดการงาน?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “สำนักเบญจคีรีจะเอาไปใช้ หรือว่านำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการทำงาน นั่นก็แล้วแต่พวกท่านจะจัดสรรกันเอง ทางนี้จะมอบเงินห้าแสนเหรียญทองให้พวกท่านทุกปีเป็นหลักประกันขั้นต่ำ หากจัดการงานได้ดีจะมีสิ่งอื่นเป็นรางวัลให้ แต่หากจัดการงานผิดพลาดก็ไม่ใช่เรื่องเล่นขายของเช่นกัน เอาไว้ทางนี้จะตั้งเกณฑ์ในการให้รางวัลและลงโทษแก่พวกท่าน ให้พวกท่านได้เข้าใจอย่างชัดเจน ส่วนเรื่องสายลับที่จะส่งไปยังแคว้นต่างๆ พวกท่านจัดการเองได้เลย ต้องเลือกคนที่ไว้ใจได้ แล้วก็ต้องครุ่นคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบ รีบร่างแผนการมาให้ข้าฉบับหนึ่ง ข้าต้องการเห็นผลลัพธ์ภายในสามเดือน เรื่องรายละเอียดพวกท่านไปหารือกับหยวนกังได้เลย”

เพิ่งมาถึงก็ได้เห็นกำลังทรัพย์ของอีกฝ่ายแล้ว สำนักเบญจคีรีจึงวางใจอย่างรวดเร็ว เลือกพื้นที่ในบริเวณใกล้เคียงบุกเบิกปลูกสร้างสำนัก จัดการตามที่หนิวโหย่วเต้าสั่งการไว้โดยเร็ว ไม่นานนัก ศิษย์สำนักเบญจคีรีก็ทยอยเดินทางออกจากที่นี่ไปอย่างเงียบเชียบกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า

ลู่เซิ่งจงถูกหนิวโหย่วเต้าเรียกตัวไปเป็นกรณีพิเศษ หลังจากสนทนากับหนิวโหย่วเต้าเป็นการส่วนตัวแล้ว ลู่เซิ่งจงก็จากไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน กำลังจะไปสมทบกับอู๋ซานเหลี่ยงที่มณฑลเป่ยโจว

ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่กำลังดำเนินไปอย่างคึกคักและเป็นขั้นเป็นตอน หยวนกังนับว่าเป็นทั้งผู้ที่มีส่วนในแผนการ แล้วก็เป็นผู้ที่คอยสังเกตการณ์ดูแผนการมาตั้งแต่ต้นด้วย

นับตั้งแต่ที่ออกจากหมู่บ้านมาในวันนั้น หยวนกังเรียกได้ว่าได้เห็นแผนการและวิธีการอันน่าอัศจรรย์ของเต้าเหยี่ยมาครั้งแล้วครั้งเล่ากับตาตัวเอง เริ่มต้นจากศูนย์ ชักนำกลุ่มคนมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ฝีมือระดับนี้ เขายอมรับว่าหากเปลี่ยนเป็นตนคงไม่มีทางทำได้แน่

ด้านหนิวโหย่วเต้าเองก็แบ่งเวลาส่วนหนึ่งไปใช้กับการกลั่นสุราเป็นการชั่วคราว การดำเนินการส่วนใหญ่ยังคงมอบหมายให้เหล่าสมณะวัดหนานซานที่อยู่ใต้การควบคุมของหยวนฟางจัดการดูแล เขาเพียงรับผิดชอบเรื่องการสั่งสอนถ่ายทอดความรู้เท่านั้น หากต้องลงมือเองทุกอย่าง เขาคงจะยุ่งหัวหมุนเช่นกัน

นับจากนี้ไปการกลั่นสุราจะกลายเป็นแหล่งทำเงินที่สำคัญของทางนี้ไปอีกนาน การที่ถ่ายทอดวิธีกลั่นสุราให้แก่วัดหนานซานก็เพื่อรักษาความลับเช่นกัน หากถ่ายทอดให้หยวนฟางเขาเองก็วางใจ คนกลุ่มหนึ่งที่มีศรัทธาเหนียวแน่นต่างหากถึงจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเก็บรักษาความลับ ยิ่งไปกว่านั้นคือหยวนฟางยังเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวอย่างมากด้วย เป็นคนประเภทที่ขนาดหลับฝันก็ยังกลัวคนอื่นจะมาแย่งชิงลู่ทางทำเงินของตัวเองไป

วิธีการกลั่นสุรามีเพียงสมณะกลุ่มนี้เท่านั้นที่รู้

ภายในถ้ำที่เป็นสถานที่สำหรับผลิตสุรามีทางเข้าออกอยู่สามทาง ทุกเส้นทางล้วนมีศิษย์ของสำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาสคอยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเฝ้าคุ้มกันตลอดทั้งวันทั้งคืนครั้งละสองคน

ทั้งสามสำนักเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เช่นกัน จากที่หนิวโหย่วเต้าว่ามา หากปล่อยให้สำนักหยกสวรรค์ขโมยเคล็ดลับในการกลั่นสุราไปได้ พวกเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เผลอๆ สำนักหยกสวรรค์อาจจะเขี่ยพวกเขาออกจากแผนการก็เป็นได้

สามสำนักเฝ้าคุ้มกันที่นี่อย่างเข้มงวด อีกทั้งจับตามองเหล่าสมณะวัดหนานซานที่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่นี้อย่างเข้มงวดด้วยเช่นกัน ด้วยกลัวว่าความลับจะรั่วไหลออกไป

นอกจากเหล่าสมณะวัดหนานซานที่รับผิดชอบผลิตสุราแล้ว กระทั่งทั้งสามสำนักเองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในพื้นที่กลั่นสุรา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนของสำนักหยกสวรรค์เลย ในเรื่องนี้ สามสำนักร่วมมือกัน ไม่ยอมอ่อนข้อให้สำนักหยกสวรรค์แม้แต่น้อย

นอกจากนี้ตรงปากถ้ำทุกแห่งยังมีทหารของซางเฉาจงที่ผลัดเวรกันมาเฝ้าครั้งละห้านายด้วย เรียกได้ว่ามาคอยจับตาดูสามสำนักอีกทีหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่คนเฝ้าของขโมยของที่ตนเองเฝ้าไปเสียเอง

หยวนฟางสลักคำว่า ‘วัดหนานซาน’ สามคำไว้ตรงปากถ้ำอีกครั้ง

………………………………………

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า