ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 207

ตอนที่ 207 ดำเนินไปอย่างคึกคัก

สำหรับเรื่องนี้ หยวนกังเองก็ไม่ได้กล่าวอันใดอีก เขารู้ว่าพูดอะไรไปก็ล้วนแต่ไร้ประโยชน์

ตัวเต้าเหยี่ยเองก็เป็นคนที่มีทั้งความดีและความชั่วอยู่ในตัว มาตรฐานเรื่องความผิดถูกก็ดูคลุมเครืออย่างมากเช่นกัน ไม่ได้แยกแยะถูกและผิดอย่างชัดเจนเหมือนเขา ในสายตาของเต้าเหยี่ยไม่ได้มีความดีและความชั่วที่สมบูรณ์ เลือกใช้คนโดยไม่สนใจสาขาอาชีพ

ส่วนหนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่ได้พำนักอยู่ในคฤหาสน์หลังจวนผู้ว่าการจังหวัดนานนัก จวนผู้ว่าการจังหวัดอยู่ในการควบคุมของสำนักหยกสวรรค์ เขาไม่อยากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สำนักหยกสวรรค์สามารถตัดสินความเป็นความตายของเขาได้ทุกเมื่อ

เขาใช้ข้ออ้างว่าต้องหาพื้นที่สำหรับกลั่นสุรา จึงออกสำรวจไปทั่วพื้นที่นอกเมือง จนกระทั่งพบหุบเขาแห่งหนึ่งที่สภาพแวดล้อมพอใช้ได้ จึงย้ายออกจากเมืองมาพักในหุบเขานอกเมือง

พื้นที่ในป่าเขากันดาร สภาพความเป็นอยู่จำเป็นต้องใช้เวลาค่อยๆ ปรับไป มีการสร้างกระท่อมมุงหญ้าคาหลังหนึ่งขึ้นในจุดที่มีลำธารไหลผ่านช่องเขาเพื่อใช้เป็นที่พักอาศัย

สภาพแวดล้อมรอบข้างถือว่าไม่เลวทีเดียว เขาเขียวธารใส รุ่งเช้ามีหมอกบางๆ พลบค่ำมองเห็นวิหคบินกลับรังภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น

ปัญหาเรื่องความปลอดภัยก็ไม่จำเป็นต้องกังวล สำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาสมาเข้าร่วมกับทางนี้ก็เท่ากับล่วงเกินราชสำนักเข้าแล้ว จึงย้ายมาที่นี่กันทั้งหมดเช่นกัน

ศิษย์ของทั้งสามสำนักร่วมมือกันปกป้องภูเขา เฝ้าคุ้มกันเขตที่พักของหนิวโหย่วเต้าอย่างแน่นหนา ทั้งสามสำนักมียอดฝีมือมากมาย อีกทั้งรอบนอกยังมีทหารหลายพันคนที่ซางเฉาจงระดมพลมาประจำการณ์ที่นี่ คนนอกเองก็ยากจะบุกเข้ามาก่อกวนความสงบได้

ด้านล่างหน้าผาภายในหุบเขาที่อยู่ห่างจากที่พักไปหนึ่งลี้ ช่างฝีมือกำลังเร่งขุดเจาะทั้งวันทั้งคืน เพื่อทำการขยาย ตีทะลุและเชื่อมต่อถ้ำภายในหน้าผาเพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับกลั่นสุรา

ราตรีเงียบสงัด ไกลออกไปมีเสียงดังเคร้งๆ จากช่างฝีมือที่ทำการขุดเจาะแว่วมาเป็นระยะ

บนหน้าผา ผีเสื้อจันทราที่เปล่งแสงอ่อนโยนตัวหนึ่งกระพือปีกอยู่ในความมืดยามราตรี โบยบินไปตามการชักนำจากกระแสปราณของหนิวโหย่วเต้า ในที่สุดไข่ผีเสื้อที่ซื้อมาจากเมืองไจซิงก็ฟักตัวเป็นผีเสื้อแล้ว ถึงแม้ขนาดจะเล็กอย่างมาก แต่กลับส่องแสงสว่างไสว

ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรีที่ระยับพร่างพรายไปด้วยมวลหมู่ดารา หนิวโหย่วเต้ายื่นมือข้างหนึ่งออกไป ผีเสื้อจันทราตัวน้อยลอยลงมาอย่างแผ่วเบา ราวกับดาวดวงหนึ่งที่ตกลงมาบนปลายนิ้วของเขา ส่องใบหน้าที่กำลังจ้องมองของเขาให้ชัดเจนขึ้นมา ภายในดวงตาทั้งสองข้างของเขามีเงาของผีเสื้อจันทราปรากฏขึ้นมา สายตาแฝงไว้ด้วยความสับสนเหม่อลอย ความรู้สึกอ้างว้างที่เอ่อล้นออกมาจากในส่วนลึกของจิตใจติดค้างอยู่ในดวงตาเป็นเวลานาน ไม่เลือนรางหายไปไหน

ซางซูชิงที่เฝ้ามองอยู่ด้านข้างไม่รู้ว่าตนคิดไปเองหรือเปล่า นางรู้สึกว่าเต้าเหยี่ยเป็นเหมือนกับผีเสื้อจันทราตัวนี้ ถึงแม้จะส่องสว่างอยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี ทว่ากลับดูโดดเดี่ยวอ้างว้าง

ซางซูชิงไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ เหตุใดถึงได้เผยอารมณ์เช่นนั้นออกมา

นางเองก็ย้ายมาอาศัยในหุบเขานี้เช่นกัน โดยให้เหตุผลกับซางเฉาจงว่าปกติเรื่องทางการทหารและการปกครองก็ไม่จำเป็นต้องให้นางเข้าไปจัดการอยู่แล้ว ไม่สู้มาคอยดูแลสถานการณ์ทางฝั่งเต้าเหยี่ยดีกว่า หากมีเรื่องใดจะได้แจ้งต่อพี่ชายได้ทันท่วงทีด้วย

หลานรั่วถิงสงวนท่าทีในเรื่องนี้ นิ่งเงียบไม่แสดงความเห็นอะไร

ซางเฉาจงกลับคิดว่าจริงอย่างที่น้องสาวว่า คิดว่าน้องสาวพูดมีเหตุผล จึงตอบตกลงไป

เมื่อเห็นผีเสื้อจันทราแสนงดงามที่บินลงบนมือหนิวโหย่วเต้า หยวนฟางก็เปิดกล่องที่อยู่ในมือตัวเองออกดูบ้าง ดูเหมือนผีเสื้อจันทราของเขาจะยังไม่ถึงกำหนดฟักตัวออกมา

เลี้ยงพร้อมกัน แต่ช่วงเวลาฟักตัวกลับแตกต่างกัน ทำให้เขาค่อนข้างสงสัย

บนก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก หยวนกังนอนเอนหลังอยู่บนนั้น หนุนสองแขนเงยหน้ามองหมู่ดาวบนฟากฟ้า

เขามักจะเงยหน้ามองท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ไม่รู้เลยว่าในนั้นซุกซ่อนความลับและสิ่งที่ไม่รู้จักไว้มากน้อยเพียงใด

ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ลู่เซิ่งจงนั่งขัดสมาธิ แผ่นหลังพิงต้นไม้ใหญ่ เหม่อมองท้องฟ้ายามราตรีคนเดียวเงียบๆ ไม่ทราบเช่นกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ต่างคนต่างมีเรื่องในใจ

พอตกดึก ต่างแยกย้ายกันไป สาวใช้สองนางที่อยู่ตรงเชิงเขามารับซางซูชิง ก่อนจะออกไปพักผ่อนพร้อมกัน

หนิวโหย่วเต้ากลับมายังกระท่อมมุงจากของตน เล่นกับผีเสื้อจันทราของตนที่เพิ่งฟักออกมาตัวนั้น ผีเสื้อจันทราทำให้ภายในกระท่อมสว่างไสว

ถึงแม้เจ้าสิ่งนี้จะเปล่งแสงได้ด้วยตัวเอง แต่มันกลับหวาดกลัวแสงที่รุนแรง โดยเฉพาะแสงอาทิตย์ ช่วงกลางวันจึงไม่กล้าเผยตัว

แต่เรื่องการเก็บมันก็จัดการได้ไม่ยาก ในกล่องโลหะใบเล็กๆ ใบหนึ่งที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษจะมีช่องว่างอยู่ตรงกลาง สามารถดึงออกมาได้เหมือนลิ้นชักช่องหนึ่ง หลังจากผีเสื้อจันทราเข้าไปในช่องแล้วหุบปีกไว้ ตัวลิ้นชักก็จะสามารถดันกลับเข้าไปในกล่องได้

ในกล่องมีช่องสำหรับป้อนอาหารอยู่ สำนักหมื่นสรรพสัตว์มีอาหารที่ผลิตขึ้นมาสำหรับผีเสื้อจันทราโดยเฉพาะ เรียกว่า ‘หยาดน้ำค้าง’ แต่ความจริงแล้วมันเป็นสิ่งที่มีรูปร่างคล้ายยาลูกกลอนขนาดเล็กจิ๋วเม็ดหนึ่ง นำมาบดเป็นผงผสมกับน้ำสะอาด สามารถให้ผีเสื้อจันทราที่อยู่ในกล่องดูดกินได้เสมือนหยาดน้ำค้าง ให้อาหารเพียงครั้งเดียวก็สามารถอยู่ไปได้หลายวัน

อีกทั้งกล่องก็มีขนาดไม่ใหญ่ ปกติแขวนไว้ที่สายรัดเอวแล้วจะดูคล้ายพู่หยกที่พกติดตัว แล้วก็เป็นสิ่งที่สำนักหมื่นสรรพสัตว์สร้างขึ้นมาสำหรับผีเสื้อจันทราโดยเฉพาะเช่นกัน

สรุปแล้วก็คือสำนักหมื่นสรรพสัตว์ทำการค้าเก่งเป็นอย่างมาก ขายสินค้าทุกอย่างครอบคลุมรอบด้าน เมื่อขายสินค้าชนิดหนึ่งได้ ลูกค้าที่ซื้อสินค้าไปแล้วก็ยังต้องกลับมาซื้อสินค้ากับพวกเขาต่อ

และด้วยเหตุนี้ สำนักหมื่นสรรพสัตว์ถึงได้กลายเป็นหนึ่งในสำนักที่มั่งคั่งที่สุด เชี่ยวชาญเพียงอย่างเดียว กินรวบทั้งใต้หล้า

“มีอะไร?” หนิวโหย่วเต้าที่เล่นผีเสื้อจันทราเหลือบมองหยวนกังที่ยืนพิงประตูก้มหน้า นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

หยวนกังค่อยๆ เดินเข้ามาหา เอ่ยช้าๆ ว่า “หลายปีก่อนตอนอยู่ที่หมู่บ้าน ผมฝึกฝนคนที่มีไหวพริบขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ถ้าพามาก็สามารถใช้งานได้ ให้การสนับสนุนพวกเขา…ผมอยากส่งคนไปรับตัวพวกเขามา ให้โอกาสพวกเขาสักครั้ง”

หนิวโหย่วเต้าเงียบไป ผ่านไปสักพักก็เอ่ยเนิบๆ ขึ้นมาว่า “ใช้ชีวิตเรียบง่ายหน่อยก็ใช่ว่าจะไม่ดี”

หยวนกังกล่าวว่า “ในโลกแบบนี้จะใช้ชีวิตเรียบง่ายได้ยังไง? ไม่สู้มอบโอกาสให้พวกเขาได้เปิดโลกสักครั้ง”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เรื่องนี้นายจัดการเองแล้วกัน แค่พวกเขาไม่นึกเสียใจทีหลัง ตัวนายไม่นึกเสียใจทีหลังก็พอ”

หยวนกังหันหลังเดินออกไป ตรงไปหาซางซูชิง ให้ทางนั้นส่งคนไปหาคนที่หมู่บ้าน

…..

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า