ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 208

ตอนที่ 208 สุราใหม่ออกจากเตา

คฤหาสน์ที่อยู่ด้านหลังจวนผู้ว่าการจังหวัด หลังจากหนิวโหย่วเต้าและสำนักทั้งสามย้ายออกไป คฤหาสน์หลังนี้จึงเรียกได้ว่ากลายเป็นที่พักของสำนักหยกสวรรค์ไปโดยปริยาย

เฉินถิงซิ่วผู้อาวุโสของสำนักหยกสวรรค์เดินอาดๆ กลับมาจากด้านนอก ตรงเข้าไปหาเผิงโย่วไจ้พลางเอ่ยด้วยความโมโหว่า “ท่านเจ้าสำนัก ข้าจะเข้าไปตรวจสอบดูด้วยตัวเองว่าดำเนินการไปถึงไหนแล้ว แต่พวกเขาไม่ยอมให้ข้าเข้าไปขอรับ”

ก่อนหน้านี้เคยส่งคนไปตรวจสอบ อีกฝ่ายไม่ยอมให้เข้าไปยังพอว่า แต่นี่เขาไปด้วยตัวเองก็ยังไม่ให้เข้าไปอีก ทำให้เขาโมโหเป็นอย่างมาก

เผิงโย่วไจ้มองสีหน้าเขา ส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยไปว่า “ช่างเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งถือสาเรื่องนี้ ให้พวกเขาตั้งใจผลิตสินค้าออกมาก่อนเถอะ”

เฉินถิงซิ่วกล่าวว่า “เจ้าสำนัก ท่านลองคิดดูสิขอรับ สามสำนักมีคนมากมายปานนั้น พื้นที่ครึ่งหนึ่งของจังหวัดชิงซานจะเพียงพอให้พวกเขาใช้เลี้ยงชีพได้อย่างไร? ในพื้นที่สำหรับกลั่นสุรามีแต่คนของทั้งสามสำนัก ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะเล่นลูกไม้อันใดหรือเปล่า”

เผิงโย่วไจ้เอ่ยว่า “ข้าไม่สนว่าพวกเขาจะเล่นลูกไม้อันใดหรือไม่ ตกลงกันไปแล้ว สุราที่ผลิตขึ้นจะให้สำนักหยกสวรรค์ของพวกเราเป็นผู้จำหน่ายเพียงเจ้าเดียว หากกล้าปิดบังยักยอก ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”

ในเวลานี้เอง ด้านนอกมีศิษย์เข้ามารายงาน “เจ้าสำนักขอรับ ทางหุบเขานอกเมืองแจ้งข่าวมา บอกว่าสินค้าชุดแรกเสร็จเรียบร้อยแล้ว เชิญเจ้าสำนักไปตรวจสอบดูขอรับ”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ เผิงโย่วไจ้พลันตื่นตัวขึ้นมา

เฉินถิงซิ่วกลับโมโหยิ่ง เขาเพิ่งจะไปมาเมื่อครู่นี้ไม่ยอมบอก พอเพิ่งกลับมากลับบอกว่าเสร็จแล้ว นี่มิเท่ากับทำให้เขาต้องเหนื่อยเปล่าหรอกหรือ

“อย่าโมโหไปเลย ไปเรียกผู้อาวุโสคนอื่นๆ มา ไปตรวจดูด้วยกัน” เผิงโย่วไจ้ตบไหล่เขาพลางยิ้มร่า อารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด รอมานานขนาดนี้ ในที่สุดก็จะได้เห็นผลลัพธ์เสียที

ไม่นานนัก ผู้อาวุโสทั้งหลายมารวมตัวกัน แม้แต่ซางเฉาจงกับหลานรั่วถิงก็ออกจากเมืองไปพร้อมกัน ทั้งคณะควบม้ามุ่งหน้าไปยังหุบเขานอกเมือง

เส้นทางที่ตัดเข้าไปสู่หุบเขาได้เกณฑ์ชาวบ้านมาสร้างเส้นทางสัญจรง่ายๆ เป็นการชั่วคราว ไม่ถึงกับสร้างได้ดีมากนัก แต่อย่างน้อยก็ทำให้เส้นทางขรุขระราบเรียบขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง

บริเวณทางเข้าหุบเขา หนิวโหย่วเต้าพร้อมกับเจ้าสำนักทั้งสามมาคอยอยู่ที่ปากทางเข้าแล้ว

หลังจากพบหน้าทักทายกันตามมารยาทครู่หนึ่ง เผิงโย่วไจ้ก็รอไม่ไหว โบกมือพลางเอ่ยว่า “อย่ามัวแต่ร่ำไรเลย ไป ไปดูกัน”

“เชิญ!” หนิวโหย่วเต้าผายมือเชิญ

ทั้งกลุ่มเดินเท้าเข้าไป แต่เมื่อมาถึงปากถ้ำของสถานที่สำหรับกลั่นสุรา ทั้งกลุ่มกลับถูกศิษย์ของสามสำนักที่เฝ้าปากถ้ำอยู่ขวางเอาไว้ ไม่ให้เข้าไปในถ้ำ

เฉินถิงซิ่วเอ่ยเสียงเข้ม “หรือว่าแม้แต่เจ้าสำนักหยกสวรรค์ของพวกเราก็เข้าไปไม่ได้?”

หนิวโหย่วเต้ารีบโบกมือเอ่ยชี้แจง “ผู้อาวุโสเฉินอย่าเข้าใจผิดไป มีเหตุผลจำเป็นบางอย่างที่ไม่อนุญาตให้คนเข้าไป เรื่องรักษาความลับนั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่สาเหตุที่แท้จริงเป็นเพราะขั้นตอนการกลั่นสุรานี้มีความเข้มงวดเป็นอย่างมาก ไม่อาจปล่อยให้มีฝุ่นผงแม้แต่น้อยนิดปนเปื้อนเข้าไปในสุราได้ ในขณะที่กลั่นสุราก็ไม่อาจปล่อยให้มีสิ่งแปลกปลอมปนเปื้อนเข้าไปได้เช่นกัน มิเช่นนั้นความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดจะสูญเปล่า”

“ด้านในนี้แม้แต่ข้าเองก็เข้าไปไม่ได้ง่ายๆ เพราะการเข้าไปแต่ละครั้งมันยุ่งยากจริงๆ หากใครสักคนต้องการเข้าไป อย่างแรกคือต้องกินเจชำระร่างกาย แค่การอาบน้ำในระหว่างทางที่เข้าไปก็ต้องอาบถึงสามครั้งแล้ว ต้องชำระล้างร่างกายให้สะอาดหมดจด นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดข้าถึงให้สมณะกลุ่มนี้เป็นผู้กลั่นสุรา เพราะหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับสุราด้านใน นั่นแสดงว่าจะต้องมีคนไม่เคารพกฎระเบียบแอบเข้าไปอย่างแน่นอน”

“หากว่าผู้อาวุโสเฉินไม่เชื่อ อีกเดี๋ยวก็ลองรินสุราออกมาสักจอกแล้วเปรียบเทียบกับน้ำจากในภูเขาดู น้ำในภูเขายังคงมีสิ่งเจือปนขนาดเล็กอยู่ แต่สุรานี้ข้ากล้ารับประกันเลยว่าไม่มีฝุ่นตะกอนใดๆ อยู่แม้แต่น้อย! ทางนี้ต้องทุ่มเทกายใจไปมากมายกว่าจะกำจัดฝุ่นผงออกไปได้ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ผลิตสุราได้เชื่องช้า ดังนั้นจึงไม่สะดวกจะทำให้ความพยายามที่ผ่านมาต้องสูญเปล่าได้จริงๆ หวังว่าผู้อาวุโสเฉินจะให้อภัยด้วย”

อาบน้ำสามครั้งหรือ? หยวนฟางแอบอมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย คนทางนี้เข้าๆ ออกๆ มีผู้ใดบ้างที่เคยอาบน้ำบ้าง? เหตุผลนี้ของเต้าเหยี่ยมันช่างน่าขันจริงๆ

แต่ในเมื่อเต้าเหยี่ยว่ามาเช่นนี้แล้ว กลับไปเขาต้องกำชับต่อสมณะวัดหนานซานให้ชัดเจนจริงๆ นี่เป็นเหตุผลในการป้องกันการขโมยที่ดีมาก!

หยวนกังปรายตามองหนิวโหย่วเต้าเล็กน้อย ที่คุณไม่ปล่อยให้เข้าไปง่ายๆ เป็นเพราะจะได้ทุ่มเทสมาธิไห้กับการฝึกบำเพ็ญเพียร ทำตัวเป็นเถ้าแก่ที่ชี้นิ้วสั่งการแต่คร้านเข้าไปดูแลใช่ไหมล่ะ?

ส่วนเรื่องฝุ่นผง หยวนกังกลับเชื่อในสิ่งที่เขาว่ามา น้ำกลั่นจะไม่สะอาดได้หรือ?

พวกซางเฉาจงและหลานรั่วถิงมองหน้ากัน ค่อนข้างตกตะลึง สรุปแล้วเป็นสุราอะไรกันแน่ ไม่มีฝุ่นตะกอนแม้แต่นิดเดียวอย่างนั้นเหรอ?

เดิมทีซางซูชิงอยากจะตามเข้าไปดูด้วยสักหน่อย พอได้ยินว่าระหว่างทางที่เข้าไปต้องอาบน้ำถึงสามครั้ง นางที่เป็นสตรีจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา ล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปชม

แม้แต่พวกเฟ่ยฉางหลิว เจิ้งจิ่วเซียวและเซี่ยฮวาก็ตกใจเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินเรื่องนี้ การผลิตสุรานี้พิถีพิถันถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

“…..” เฉินถิงซิ่วถูกเหตุผลนี้ตอกกลับมาจนพูดไม่ออก หากร้องขอจะเข้าไปอีก เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเขาวุ่นวายไร้เหตุผลแล้ว

แต่เขากลับแอบตัดสินใจแล้ว อีกเดี๋ยวเขาจะต้องตรวจสอบดูดีๆ อย่างแน่นอน ดูว่าปราศจากฝุ่นตะกอนจริงดั่งว่าหรือไม่

อันที่จริงแล้วในใจของทุกคนแทบจะมีความคิดแบบเดียวกัน อีกเดี๋ยวจะต้องตรวจดูหน่อยแล้วว่าสะอาดขนาดนั้นจริงหรือไม่

มนุษย์เราล้วนแต่มีความปรารถนาที่จะสำรวจสิ่งแปลกใหม่

เผิงโย่วไจ้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เคารพกฎระเบียบเป็นเรื่องดี รออยู่ด้านนอกแล้วกัน”

หนิวโหย่วเต้าโบกมือส่งสัญญาณให้หยวนฟาง หยวนฟางรีบไปยืนหน้าปากถ้ำแล้วตะโกนเข้าไปด้านใน “ยกออกมาได้”

ผ่านไปสักพัก ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องไปของทุกคน เหล่าสมณะภายในถ้ำแบกลังเดินออกมาคนแล้วคนเล่า

ลังไม้เรียบง่ายสร้างขึ้นมาจากแผ่นไม้ ในลังมีขวดบรรจุอยู่ยี่สิบใบ ไหสุราแบบดั้งเดิมถูกเปลี่ยนเป็นขวดกระเบื้องเคลือบสีขาวที่สำนักหยกสวรรค์ขอให้ใช้แทน ดูงดงามน่ามอง เป็นขวดกระเบื้องที่สำนักหยกสวรรค์สั่งให้คนผลิตขึ้นมาเป็นกรณีพิเศษแล้วส่งมาที่นี่

สำหรับเรื่องนี้ หนิวโหย่วเต้าพบว่าสำนักหยกสวรรค์มีสายตาที่ของค่อนข้างเฉียบคมทีเดียว รู้ว่าต้องทำให้สินค้าดูดีน่าซื้อ ดูเหมือนจะตั้งใจขายออกไปในราคาสูงลิ่ว เขาก็อยากเห็นเช่นกันว่าสำนักหยกสวรรค์จะขายราคาเท่าไร

ไม่นานนัก สุราหลายสิบลังถูกวางไว้นอกถ้ำ สินค้าชุดแรกมีไม่มาก เพียงหนึ่งพันกับอีกแปดขวดเท่านั้น

เผิงโย่วไจ้เดินวนรอบหนึ่ง สองตาเปล่งประกาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเหรียญทองทั้งสิ้น!

เขายื่นมือไปเปิดฝาลังไม้ลังหนึ่ง หยิบขวดออกมาหลายใบ แบ่งให้เหล่าผู้อาวุโสคนละขวดๆ “ทุกคนลองชิมดู ทดสอบว่ารสชาติเป็นอย่างไร”

หนิวโหย่วเต้าส่งสัญญาณให้เฮยหมู่ตานไปนำจอกสุรามาทันที

ไม่นานนัก จอกสุราจำนวนหนึ่งถูกแจกจ่ายออกไป ขวดกระเบื้องเคลือบที่ปิดผนึกไว้ถูกเปิดออกทีละขวด กลิ่นหอมสดชื่นอบอวลไปทั่วทันที ทำให้คนรู้สึกสดชื่น

สุราใสบริสุทธิ์ถูกรินใส่จอก ไม่ใช่แค่เฉินถิงซิ่วเท่านั้น คนอื่นๆ ก็พากันเบิกตากว้างสำรวจดูสุราในจอก

เผิงโย่วไจ้เองก็ทำเหมือนอย่างคนอื่น ตอนอยู่ที่หอหิมะเหมันต์ ถึงแม้จะทราบว่าสุรานี้ใสบริสุทธิ์ แต่ก็ไม่รู้ว่าไร้สิ่งเจือปนดั่งว่าหรือไม่ จึงเบิกตากว้างแล้วใช้เนตรทิพย์ตรวจดูอย่างละเอียด

หลังผ่านการตรวจสอบแล้ว แต่ละคนล้วนเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา ต่างพยักหน้าเชยชม ท่าทางคล้ายจะรู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง

เฉินถิงซิ่วส่ายหน้าเล็กน้อย คล้ายรู้สึกทอดถอนใจ ที่แท้ก็ใสสะอาดอย่างว่าจริงๆ เขายอมรับแล้ว ดูเหมือนด้านในจะไม่ใช่สถานที่ที่ผู้ใดจะเข้าไปได้ง่ายๆ จริงๆ หากมีคนเดินไปเดินมา มีหรือที่ฝุ่นละอองจะไม่ฟุ้งกระจาย ต้องทำการควบคุมอย่างเข้มงวดอย่างที่อีกฝ่ายว่ามาจริงๆ

เผิงโย่วไจ้ส่ายศีรษะพลางเอ่ยว่า “ใสกระจ่างไร้สิ่งเจือปนจริงๆ ด้วย ดูเหมือนจะทุ่มเทความพยายามไปอย่างมากจริงๆ” กล่าวจบก็เชิดหน้าดื่มรวดเดียวจนหมด หลังจากกลืนลงคอก็เอ่ยชมว่า “รสชาตินี้แหละ สุราดี!”

คนที่เหลือก็พากันยกจอกขึ้นลิ้มลอง แต่ละคนหลังจากดื่มเข้าไปก็พากันร้องชมออกมา

“ช่างเป็นสุราที่ฤทธิ์แรงจริงๆ!” หลานรั่วถิงกล่าวกับซางเฉาจง กลิ่นยังคงอบอวลอยู่ในปาก

ซางซูชิงที่จิบเข้าไปอึกเดียวทนไม่ไหว ยกมือขึ้นป้องปาก นางไม่เคยดื่มสุราฤทธิ์แรงเช่นนี้มาก่อน ยากจะรู้สึกเคยชินได้ในระยะเวลาสั้นๆ

หลังจากดื่มติดต่อกันหลายจอก เผิงโย่วไจ้ก็กวักมือเรียกเฉินถิงซิ่วและผู้อาวุโสทั้งหลายเข้ามา ชี้สุราในขวดเล็กน้อย “ตอนที่วางขายให้พูดถึงเรื่องนี้ด้วย ไปจัดการซะ”

เหล่าผู้อาวุโสบ้างก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด บ้างก็มีสีหน้ายินดี ทราบเจตนาของเขาดี ตอนที่ขายให้บอกว่าสุรานี้ใสสะอาดไร้ฝุ่นเจือปน นี่จะต้องใช้เป็นจุดขายได้แน่นอน เพราะเดิมทีสุรานี้ก็มุ่งขายให้คนรวยอยู่แล้ว จุดขายนี้ยอดเยี่ยมนัก!

จากนั้น เผิงโย่วไจ้ก็เรียกหนิวโหย่วเต้าเข้ามาสอบถามอีก “ใช้เวลานานขนาดนี้เพิ่งกลั่นสุราได้แค่นี้เองหรือ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “ช่วงแรงเสียเวลาเพื่อเตรียมการไปไม่น้อย หลังจากนี้จะมีสุราออกมาทุกเดือน”

ความจริงแล้วสุราพันขวดนี้ไม่ได้เปลืองแรงอันใดมากนัก สมณะสองสามรูปทุ่มเททำงานสักหน่อยก็จัดการได้แล้ว หากแต่เป็นเขาที่จงใจควบคุมปริมาณเอาไว้

เผิงโย่วไจ้เงียบไปครู่หนึ่ง สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ เรื่องบางเรื่องเขาก็ต้องเตรียมตัวทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งเช่นกัน เป้าหมายคือต้องยึดเอามณฑลหนานโจวมาให้ได้ในขณะที่สำนักหยกสวรรค์ยังอยู่ภายใต้การปกครองของเขา!

จากนั้นก็ให้คนนำตั๋วแลกเงินออกมา จ่ายเงินค่าสุรารวมที่เปิดดื่มไปเมื่อครู่ทั้งหมดหนึ่งพันแปดขวด ให้คนนำเงินไปจ่ายให้ซางเฉาจงสองแสนกว่าเหรียญทอง จากนั้นก็ให้คนขนย้ายสุราทั้งหมดออกไป

…..

หนิวโหย่วเต้าให้เงินมาแล้วสองแสนเหรียญทอง สำนักหยกสวรรค์ให้มาอีกสองแสนเหรียญกว่าเหรียญทอง มีกำลังทรัพย์แล้ว ซางเฉาจงเดินหน้าปฏิรูปการปกครองของจังหวัดชิงซานใหม่ทันที!

สำนักหยกสวรรค์ได้เห็นผลสำเร็จกับตาตัวเองแล้ว พวกเขาก็ต้องทำตามคำพูดที่ตกลงกันไว้เช่นกัน แต่นี่กลับเป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ยากลำบากเรื่องหนึ่ง เพราะทางจังหวัดกว่างอี้นั้นเป็นลูกเขยและลูกสาวของเผิงโย่วไจ้!

เรื่องนี้สมาชิกคนอื่นๆ ของสำนักหยกสวรรค์ไม่มีผู้ใดสะดวกเอ่ยปาก มีแต่ต้องให้เผิงโย่วไจ้เป็นคนไปพูดเอง

หลังออกจากจังหวัดชิงซาน เผิงโย่วไจ้ก็พาคนของตนมุ่งหน้าไปยังจังหวัดกว่างอี้

ส่วนทางจังหวัดกว่างอี้ พอได้รับข่าวว่าเจ้าสำนักหยกสวรรค์จะมาเยือน เฟิ่งหลิงปอก็นำคนกลุ่มหนึ่งออกจากเมืองไปเป็นระยะทางสิบลี้เพื่อรอต้อนรับ

เมื่อพาแขกกลับมาถึงจวนผู้ว่าการจังหวัดแล้ว เผิงโย่วไจ้ก็เรียกตัวบุตรสาวและบุตรเขยมาพูดคุยทันที

หลังจากพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ เฟิ่งหลิงปอที่ต้องส่งมอบอำนาจทางการทหารออกไปเดินออกมาจากเรือนด้วยสภาพหมดอาลัยตายอยากโดยมีเหล่าศิษย์สำนักหยกสวรรค์เฝ้ามองดูอยู่ แผ่นหลังของเขาโก่งงุ้มลงมา คล้ายว่าแก่ลงไปสิบกว่าปีในชั่วพริบตา

ปกครองจังหวัดกว่างอี้มานานหลายปี ทุ่มเทแรงกายแรงใจมานาน แค่สำนักหยกสวรรค์เอ่ยมาเพียงประโยคเดียว ความอุตสาหะในช่วงหลายปีที่ผ่านมาของเขาพลันหายวับไปในทันที ความโศกศัลย์ภายในใจไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้

รอบข้างล้วนเป็นศิษย์ของสำนักหยกสวรรค์ เผิงโย่วไจ้เอ่ยมาเพียงประโยคเดียว เขาก็ไม่มีแม้กระทั่งสิทธิ์จะโต้แย้งแล้ว อำนาจทางการทหารของเขาถูกปลดไปทันที

“ท่านพ่อ ท่านรู้หรือไม่ว่าหลายปีมานี้หลิงปอทุ่มเทกับจังหวัดกว่างอี้ไปมากน้อยท่าไร? เหตุใดสำนักหยกสวรรค์ถึงโหดร้ายไร้เมตตาถึงเพียงนี้ แล้วแบบนี้จะไม่ทำให้คนอื่นๆ ที่รับใช้สำนักหยกสวรรค์รู้สึกผิดหวังได้อย่างไร ความยุติธรรมอยู่ที่ใด? ใจคนอยู่ที่ใด?” เผิงอวี้หลานที่คุกเข่าอยู่ตรงแทบเท้าผู้เป็นบิดาร้องไห้คร่ำครวญ ยังคงขอร้องอ้อนวอน

“โอหัง!” เผิงโย่วไจ้ตวาดด้วยความโกรธ ทว่าพอเห็นบุตรสาวมีสภาพเช่นนี้ เขาก็รู้สึกปวดใจอย่างมากเช่นกัน สีหน้าอ่อนลงในทันใด กล่าวไปว่า “อวี้หลาน พ่อพูดไปชัดเจนแล้ว แค่ชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้าต้องเสียเปรียบแน่นอน! เรื่องนี้ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ในสำนักก็มีความเห็นตรงกัน ทุกคนล้วนบอกอย่างชัดเจนว่าพวกเจ้าสองสามีภรรยาทำการเสียสละในครั้งนี้ วันหน้าจะต้องชดเชยให้เจ้าเป็นเท่าตัว!”

เผิงอวี้หลานพลันเงยหน้าขึ้นมา เอ่ยว่า “เพราะเหตุใดถึงต้องเป็นพวกเราที่เสียสละล่ะเจ้าคะ? หากว่ากันตามลำดับอาวุโสแล้ว มันก็ยังไม่ควรจะเป็นซางเฉาจงอยู่ดี เหตุใดถึงไม่ให้ซางเฉาจงเสียสละเจ้าคะ หลิงปอไม่มีความสามารถพอจะปกครองทั้งสองจังหวัดอย่างนั้นหรือ? ข้าคือบุตรสาวของท่าน หลิงปอเป็นบุตรเขยของท่านนะเจ้าคะ! ท่านเป็นเจ้าสำนัก เรื่องราวในสำนักหยกสวรรค์ท่านเป็นคนตัดสินใจ หากท่านไม่เห็นด้วย ผู้ใดจะกล้าบีบบังคับ?”

เผิงโย่วไจ้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “เหตุผลอื่นไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ หากว่ากันตามตรงแล้ว ความสามารถในการปกครองของหลิงปอนั้นมีล้นเหลือ แต่ความสามารถในการขยับขยายพัฒนากลับสู้ซางเฉาจงไม่ได้ เมื่อคิดถึงภาพรวมแล้ว ทั้งสำนักหยกสวรรค์ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าจำเป็นต้องมอบกำลังทหารของทั้งสองจังหวัดให้ซางเฉาจงบัญชาการ ทุกอย่างได้ทำการตัดสินใจไปแล้ว ยอมส่งมอบอำนาจแต่โดยดีเถอะ อย่าทำอะไรวุ่นวายจนชักนำความเดือดร้อนมาให้ตนเองเลย เข้าใจไหม?”

……………………………………………..

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า