ตอนที่ 209 เฟิงหลินหั่วซาน
เพียงคำพูดที่บอกว่าทุกอย่างได้ถูกตัดสินใจไปแล้วประโยคเดียว ทำให้เผิงอวี้หลานคุกเข่าลงไปกับพื้นทันที ภายในใจเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
สำหรับความรู้สึกของเฟิงหลิงปอ นางรับรู้และเข้าใจดี รู้สึกเศร้าเศร้าและขุ่นเคืองไม่ต่างกันเลย
ช่วงแรกเริ่มที่จังหวัดกว่างอี้ตั้งกองกำลังของตนเองขึ้น เป็นใครเล่าที่ยอมเอาหัวเข้าไปเสี่ยง?
ยามที่ราชสำนักยกทัพมาปราบปราม เป็นบุตรของผู้ใดกันเล่าที่นำทัพออกรบ ต่อสู้เสี่ยงชีวิตเพื่อป้องกัน?
ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีวันนี้ได้ สำนักหยกสวรรค์พูดมาเพียงประโยคเดียวว่าความสามารถในการขยายอาณาเขตสู้ซางเฉาจงไม่ได้ก็จบแล้วอย่างนั้นเหรอ!
“พาสุนัขจิ้งจอกเข้าบ้าน…เลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้…” เผิงอวี้หลานที่อยู่บนพื้นพึมพำกับตัวเอง สิ้นสภาพของหญิงสูงศักดิ์
เผิงโย่วไจ้เข้าใจความรู้สึกของบุตรสาว ทอดถอนใจพลางกล่าวว่า “พาสุนัขจิ้งจอกเข้าบ้านก็ดี เลี้ยงลูกเสือลูกจระเข้ก็ช่าง หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถของซางเฉาจงมิใช่หรือ? ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนที่ทำเช่นนี้ได้? หากนำมาเทียบกับหลิงปอก็ยิ่งเห็นได้ชัด หลายปีมานี้หลิงปอจับเจ่าอยู่แต่ในจังหวัดกว่างอี้มาโดยตลอด แต่ซางเฉาจงมาถึงอำเภอชางหลูได้ไม่นานก็ชิงจังหวัดชิงซานมาได้แล้ว ด้านความกล้าหาญและจิตใจไม่ทำให้เสียชื่อหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋วผู้เป็นบิดาของเขาเลย!”
เผิงอวี้หลานส่ายหน้าพลางกล่าวด้วยความโศกศัลย์ขุ่นเคือง “หลิงปอเฝ้าอยู่ในจังหวัดก็เพื่อสั่งสมกำลัง รากฐานของครอบครัวที่สั่งสมมาอย่างยากลำบากไม่ได้นำมาใช้เพื่อตัวเอง ผลประโยชน์ไม่เพียงแต่จะกลายเป็นของคนอื่น ในสายตาของพวกท่านยังกลับกลายเป็นว่าความสามารถของหลิงปอมีไม่เพียงพอ! หลายปีมานี้หากไม่มีหลิงปอคอยทุ่มเทเพื่อจังหวัดกว่างอี้ เขาไหนเลยจะมีกำลังทรัพย์ ไหนเลยจะมีกำลังทหารให้จังหวัดชิงซานฮุบไป? ผลท้อที่ตนปลูก เมื่อสุกงอมแล้วกลับถูกคนอื่นเด็ดไป สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงคำพูดดูหมิ่นว่าไร้ความสามารถ โลกนี้มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?”
“คนอื่น?” เผิงโย่วไจ้โน้มตัวลงไป สองมือประคองบุตรสาวขึ้นมาจากพื้น ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าบุตรสาว กล่าวไปว่า “ไม่มีคนอื่น ซางเฉาจงเองก็ไม่ใช่คนอื่น เขาเป็นบุตรเขยของเจ้า นับเป็นบุตรชายของเจ้าครึ่งหนึ่ง เป็นครอบครัวเดียวกับเจ้าและกับข้า”
เผิงอวี้หลานเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ท่านพ่อ หากรั่วอี้และรั่วเจี๋ยได้ยินวาจานี้ของท่าน พวกเขาจะรู้สึกอยากไรเจ้าคะ? ใช้กลอุบายสกปรกมาแย่งชิงทรัพย์สินของพ่อตาไป มีครอบครัวเดียวกันเช่นนี้ด้วยหรือเจ้าคะ?”
นางรู้สึกเศร้าใจ ครอบครัวเดียวกันมันก็ต้องดูด้วยว่าหมายถึงเรื่องใด สุดท้ายแล้วเรื่องบางอย่างมันมีเรื่องของความใกล้ชิดและความห่างเหินกันอยู่ ทรัพย์สินที่ตระกูลเฟิ่งสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก ในอนาคตย่อมต้องส่งต่อให้บุตรชายตน แต่ดูตอนนี้สิ บุตรชายของตนไม่เพียงแต่จะต้องสละทรัพย์สินที่ตนเองทุ่มเทชีวิตเพื่อแลกมาให้คนอื่นเท่านั้น แต่ยังต้องก้มหัวรับใช้คนอื่นด้วย
เผิงโย่วไจ้กล่าวว่า “หากเจ้าว่ามาเช่นนี้ ซางเฉาจงเป็นเชื้อพระวงศ์แคว้นเยี่ยน เขาก็ควรคิดว่าพวกเราไปปล้นเอาทรัพย์สินของราชสกุลซางแห่งแคว้นเยี่ยนของเขามาเช่นกันหรือเปล่า บัญชีนี้จะคิดให้กระจ่างอย่างไร? อวี้หลาน เรื่องบางเรื่องมันไม่มีถูกผิด ทุกสิ่งล้วนต้องมองไปที่อนาคต ต้องทำให้อนาคตดีขึ้น”
เผิงอวี้หลานถาม “อนาคตหรือเจ้าคะ? แม้แต่ปัจจุบันยังรักษาไว้ไม่ได้ แล้วเรื่องในอนาคตผู้ใดจะบอกได้ว่าจะเป็นอย่างไร?”
นางทราบชัดเจนดี ตอนนี้ตามหลังไปก้าวหนึ่งแล้ว ต่อให้อนาคตจะดีเพียงใด บุตรชายของตนก็คงต้องอยู่ใต้อำนาจซางเฉาจงไปตลอดอยู่ดี เรื่องนี้ทำให้นางยากจะรับไหว
เผิงโย่วไจ้นิ่งเงียบไปเล็กน้อย ทราบว่าตอนนี้ไม่ว่าจะอธิบายเรื่องนี้ไปอย่างไรก็ยากจะทำให้บุตรสาวปล่อยวางได้ เพราะหากเป็นคนอื่นก็คงจะรับเรื่องเช่นนี้ได้ยากเช่นกัน
แต่จะว่าไปแล้ว ก็เพราะว่าอีกฝ่ายเป็นบุตรสาวและบุตรเขยของตน เขาถึงได้ยอมอดทนอธิบายอย่างช้าๆ ด้วยตัวเอง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เกรงว่าเขาคงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้
เมื่อโน้มน้าวไม่ได้ เขาก็ไม่มานั่งถกเถียงกับเรื่องนี้อีก กลับเอ่ยเตือนว่า “ก่อนข้าจะเดินทางมา หลานรั่วถิงมาหาข้าแล้วเอ่ยถึงเรื่องของรั่วหนาน ได้ยินว่ารั่วหนานโกรธเคืองจนหนีกลับมาที่บ้านมารดา ไม่ได้กลับไปเลย เกลี้ยกล่อมยังไงก็ไม่ยอมกลับไป จึงหวังว่าข้าจะช่วยพูดให้ อวี้หลาน ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ อำนาจปกครองของสองจังหวัดล้วนส่งมอบให้ซางเฉาจง หากเจ้าหวังดีต่อรั่วอี้และรั่วเจี๋ยจริงๆ ก็ควรกล่อมให้รั่วหนานกลับไปโดยเร็ว”
“เรื่องบางอย่างบุรุษไม่อาจกล่าวให้ชัดเจนได้ หากถูกสตรีอื่นฉวยโอกาสเข้ามาแย่งชิงตำแหน่งของรั่วหนานไป เช่นนั้นระหว่างพวกเจ้ากับซางเฉาจงก็จะกลายเป็นคนนอกไปจริงๆ ถ้าหากซางเฉาจงมีผลงาน เขาก็จะยิ่งมีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น สำนักหยกสวรรค์ก็ไม่อาจปฏิบัติต่อเขาแบบชนชั้นผู้น้อยได้อีกต่อไป รั่วหนานมีฐานะเป็นภรรยาของเขาทว่าไม่ยินยอมอยู่ร่วมกับเขา หากซางเฉาจงต้องการแต่งภรรยาเพิ่ม สำนักหยกสวรรค์ก็ไปว่าอะไรไม่ได้เหมือนกัน ไม่มีใครอยากเห็นนางกลายเป็นหม้ายหรอกนะ เรื่องนี้เจ้าลองไปคิดดูเอาเองแล้วกัน…”
และในเวลาเดียวกับที่คณะของสำนักหยกสวรรค์ไปถึงจังหวัดกว่างอี้ เด็กหนุ่มจำนวนหนึ่งที่มาจากหมู่บ้านเสี่ยวเมี่ยวได้ควบม้าผ่านเขตจังหวัดกว่างอี้ไป โดยมีองครักษ์ของซางเฉาจงคอยนำทาง
ทั้งกลุ่มเดินทางรอนแรมนอนกลางดินกินกลางทราย ในที่สุดก็เดินทางมาถึงหุบเขานอกตัวเมืองจังหวัดชิงซาน
ทั้งกลุ่มกระโดดลงจากหลังม้า รออยู่กับที่ รอให้คนเข้าไปรายงาน เด็กหนุ่มรูปร่างกำยำสามสี่คนเหลียวซ้ายแลขวาเป็นระยะ แม้ว่าใบหน้าจะเปื้อนฝุ่นมอมแมม ทว่าแววตากลับเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ไม่นานนัก หนิวโหย่วเต้าและพวกหยวนกังก็มาถึง
หากเป็นคนทั่วไป หนิวโหย่วเต้าไม่แน่ว่าจะออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
ถึงแม้คนกลุ่มนี้จะธรรมดายิ่งนัก แต่ก็ช่วยไม่ได้ พวกเขาล้วนเป็นคนบ้านเดียวกัน
มารยาทบางอย่างไม่อาจละเลยได้ ความรู้สึกของคนบางคนไม่อาจทำร้ายได้
“พี่กังจื่อ พี่เต้า!”
เมื่อเด็กหนุ่มเหล่านี้มองเห็นคนทั้งสองก็โบกไม้โบกมือตะโกนเรียกด้วยความตื่นเต้น แล้วก็ไม่สนใจว่ามีการคุ้มกันหรือไม่ โห่ร้องพลางวิ่งเข้าไปหาทั้งสองคน
หนิวโหย่วเต้าโบกมือส่งสัญญาณไม่ให้องครักษ์ขัดขวาง
หนิวโหย่วเต้ายังดีหน่อย ทำให้พวกเขารู้สึกถึงระยะห่างเล็กน้อย ทว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องเกรงใจหยวนกังเลย กรูกันเข้าไปกอดหยวนกัง
ดูเหมือนว่าการกอดก็ยังยากที่จะระบายความรู้สึกตื่นเต้นภายในใจออกมาได้ พวกเขาจึงยกตัวหยวนกังโยนขึ้นไปบนอากาศ รับเอาไว้ แล้วก็โยนขึ้นไปใหม่
พวกเฮยหมู่ตานแปลกใจ แปลกใจในสายสัมพันธ์ของคนกลุ่มนี้กับหยวนกัง และแปลกใจที่ได้เห็นรอยยิ้มจางๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของหยวนกังที่จะมักเย็นชาอยู่เป็นประจำ
หลังจากถูกปล่อยตัวลงแล้ว หยวนกังเอ่ยถามว่า “เหตุใดถึงมีแค่พวกเจ้าสี่คน อีกสองคนล่ะ?”
ต้าหวั่นหัวเราะแหะๆ เอ่ยตอบว่า “ต้าเฮยจื่อเพิ่งแต่งภรรยา ยังแต่งกันได้ไม่กี่วัน เลยหักใจทิ้งกรรยามาไม่ลง มู่โถวก็แต่งภรรยาแล้ว พ่อแม่เขารบเร้าให้เขามีทายาทสืบสกุลอยู่ทุกวัน มาไม่ได้แล้วเช่นกัน”
หยวนกังเงียบไปครู่หนึ่ง ในเมื่อไม่อยากมา เขาก็ไม่อาจบังคับได้เช่นกัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า