ตอนที่ 210 เหมิงซานหมิง
เฟิ่งรั่วหนานกลับมาแล้ว กลับมาพร้อมกับความคับข้องหมองใจ
จะเรียกว่าถูกบ้านฝ่ายมารดาเกลี้ยกล่อมให้กลับมาก็ได้ สถานการณ์ส่วนรวมสำคัญกว่าตัวบุคคล อำนาจปกครองสองจังหวัดล้วนอยู่ในมือซางเฉาจงแล้ว
อย่างที่เผิงโย่วไจ้กล่าวเอาไว้ เผื่อประโยชน์ของตระกูลเฟิ่ง ตระกูลเฟิ่งจำเป็นต้องกล่อมให้บุตรสาวกลับมา
กล่อมให้กลับมาน่ะไม่เท่าไร ยังต้องการให้นางยอมโอนอ่อนผ่อนตามอีก เหตุผลก็ง่ายดายนัก ไม่ทราบว่าพอซางเฉาจงได้อำนาจของสองจังหวัดไปแล้วจะจัดการใหม่อย่างไร ไม่รู้เลยว่าจะเตะโด่งตระกูลเฟิ่งออกไปหรือไม่
ว่ากันตามหลัก ซางเฉาจงต้องไว้หน้าเผิงโย่วไจ้ ไม่กล้าทำเกินไปนัก
แต่หากทำตัวไม่เข้าท่าเกินไปจริงๆ ทำให้ซางเฉาจงโกรธขึ้นมาจริงๆ กับเรื่องบางอย่างเกรงว่าสำนักหยกสวรรค์คงไม่สะดวกจะเข้าไปยุ่งมากนัก
สำนักหยกสวรรค์ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญ มีจุดที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญต่างกันไป เป็นเช่นเดียวกับหนิวโหย่วเต้า ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการเมืองการทัพนัก ในเมื่อมอบอำนาจส่วนใหญ่ให้ซางเฉาจงไปแล้ว เจ้าก็ไม่ควรเข้าไปแทรกแซงวุ่นวาย
หากซางเฉาจงต้องการหาเหตุมาเตะโด่งตระกูลเฟิ่งออกไปจริงๆ เกรงว่าแม้แต่เผิงโย่วไจ้เองก็จัดการลำบากเช่นกัน
มองเห็นว่าใกล้จะถึงตัวเมืองชิงซานแล้ว เพียงแต่สภาพอากาศกลับไม่เป็นใจ จู่ๆ ฝนก็ตกลงมา ทำให้เฟิ่งรั่วหนานที่อยู่บนหลังม้าเปียกซ่กเหมือนลูกนกตกน้ำ ทำให้อารมณ์ของนางย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม
สิ่งที่ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อยคือ ยามที่มาถึงประตูเมือง มองเห็นซางเฉาจงยื่นอยู่ใต้ประตูเมือง พาคนมารอต้อนรับด้วยตัวเอง
เพียงแต่นางสังเกตเห็นอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนคนที่ซางเฉาจงต้องการมาต้อนรับจะไม่ใช่ตน พอเห็นหน้านางก็ทักทายเล็กน้อยเท่านั้น สายตาทอดมองท้องถนนที่มีสายฝนโปรยปราย
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลานรั่วถิงเอ่ยขึ้นมา “ท่านอ๋อง มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ซางซูชิงสะบัดผ้าคลุมกันลมผืนหนึ่ง ช่วยคลุมให้พี่สะใภ้ พอได้ยินเสียงก็หันไปมองพร้อมกับเฟิ่งรั่วหนาน
มองเห็นเพียงว่าท่ามกลางม่านฝน คณะเดินทางขบวนหนึ่งปรากฏขึ้น คนหลายสิบคนคุ้มกันรถม้าขบวนหนึ่งมุ่งหน้าเข้ามา
ซางซูชิงปล่อยพี่สะใภ้ไว้ ขณะที่กำลังฝ่าฝนออกไปต้อนรับพร้อมกับซางเฉาจงและหลานรั่วถิง กลับมีม้าตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว คนผู้หนึ่งที่สวมหมวกงอบไว้กระโดดลงมา กล่าวกับซางเฉาจงว่า “ท่านอาจารย์กล่าวว่า ไม่ควรทำให้เอิกเกริก ต้องการให้ท่านอ๋องกลับไปก่อน ค่อยไปพบกันในจวนก็ยังไม่สายพ่ะย่ะค่ะ”
พอทางนี้ได้ฟังความ ก็จากไปอย่างรวดเร็ว
เฟิงรั่วหนานที่ติดตามไปด้วยค่อนข้างสนใจใคร่รู้ ไม่ทราบผู้มาเป็นใคร ไม่น่าเชื่อว่าสามารถทำให้ทางนี้มีปฏิกิริยาตอบสนองมากขนาดนี้
ไป๋เหยาที่ติดตามมาคุ้มกันก็นึกสงสัยอยู่ในใจเช่นกัน ผู้มาเป็นใครกันแน่?
กลุ่มคนสวมหมวกงอบหลายสิบคนคุ้มกันรถม้าเข้าเมือง มีคนนำทางไปยังถนนด้านหลังจวนผู้ว่าการจังหวัดที่ถูกปิดเอาไว้
รถเข็นคันหนึ่งถูกยกลงมาจากท้ายรถม้า คนผู้หนึ่งมุดออกมาจากในรถมา ถูกแบกออกมา
หลานรั่วถิงที่รอต้อนรับอยู่ตรงประตูท่ามกลางสายฝนค้อมคำนับ ประสานมือเอ่ยเรียกด้วยความเคารพนบน้อม “แม่ทัพเหมิง!”
ผู้มาหาใช่ใครอื่น เป็นเหมิงซานหมิง ตอนนี้ต้องการตัวเขา จึงเชิญตัวเขาออกมาจากหุบเขา
“เสี่ยวหลาน ไม่พบกันเสียนาน” เหมิงซานหมิงที่ผมโพลนทั้งศีรษะพยักหน้าพลางส่งยิ้มให้หลานรั่วถิงเล็กน้อย
“ท่านลุงเหมิง!” สองพี่น้องตระกูลซางคารวะอย่างพร้อมเพรียง สองพี่น้องไม่สนใจว่าตนจะเปียกฝน ต่างกางร่มกันฝนให้เขาด้วยตัวเองขนาบทั้งฝั่งซ้ายขวา
“ไม่บังอาจรบกวนท่านอ๋องและท่านหญิงเช่นนี้” เหมิงซานหมิงรีบส่งสัญญาณให้คนด้านหลังเข้ามาแทนที่ ไม่ยอมให้สองพี่น้องกางร่มให้เขาต่อ จากนั้นถึงประสานมือคารวะกลับพลางเอ่ยว่า “ร่างกายทุพพลภาพไม่อาจคารวะเต็มพิธีการได้ ขอท่านอ๋องและท่านหญิงโปรดอภัยให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ท่านลุงเหมิง เข้าไปหลบฝนก่อนเถิด” ซางเฉาจงผายมือเชื้อเชิญ
มีคนยกเหมิงซานหมิงไปนั่งบนรถเข็น จากนั้นทั้งคนและรถเข็นก็ถูกยกเข้าไปในจวนพร้อมกัน
ไป๋เหยายืนกอดกระบี่อยู่ใต้ชายคา มองกลุ่มคนที่เข้าไปด้านใน
เฟิ่งรั่วหนานที่ตัวเปียกชื้นยังไม่ได้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เดินเตร่ไปมาอยู่ใต้ชายคา
ล้วนอยากทราบกันว่าผู้มาเป็นใคร มีเกียรติถึงขั้นที่สองพี่น้องตระกูลซางยอมเปียกฝนออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
หลัวอันที่สวมหมวกงอบไว้เป็นผู้เข็นรถ เมื่อรถเข็นมาถึงด้านล่างบันไดห้องโถงหลัก ก็ถูกยกขึ้นไปอีกครั้ง ยกเข้าสู่ห้องโถงหลักโดยตรง
ไป๋เหยาและเฟิ่งรั่วหนานก็ตามเข้าไปสังเกตการณ์ด้วย
ภายในห้องโถง ซางซูชิงรับผ้าขนหนูที่บ่าวรับใช้ยื่นให้ ช่วยเช็ดละอองฝนที่กระเด็นใส่ร่างเหมิงซานหมิงด้วยตัวเอง
เหมิงซานหมิงมองไปรอบๆ จากนั้นถามว่า “เหตุใดจึงไม่เห็นศิษย์ผู้ประเสริฐของท่านตงกัวเล่า?”
ซางเฉาจงตอบว่า “เต้าเหยี่ยไปบำเพ็ญเพียรในหุบเขานอกเมือง ยังไม่ทราบว่าท่านมาถึงแล้ว”
เหมิงซานหมิงพยักหน้ารับ สายตาเคลื่อนไปที่ร่างของเฟิ่งรั่วหนาน แววตาวูบไหว เอ่ยถามว่า “ท่านนี้คือพระชายาใช่หรือไม่?”
เฟิ่งรั่วหนานจ้องมองบุรุษใบหน้าซูบตอบเรียบเฉย ผมขาวโพลนทั้งหัวคนนี้อยู่ตลอด พอได้ยินก็ตอบรับ “ใช่แล้ว เจ้าคือผู้ใด?”
แววตาของเหมิงซานหมิงอ่อนโยนทว่าทรงพลัง ประสานมือคำนับเอ่ยขึ้นว่า “เหมิงซานหมิง น้อมพบพระชายา! ร่างกายทุพพลภาพไม่อาจคารวะเต็มพิธีการ ขอพระชายาโปรดอภัย!”
เหมิงซานหมิงหรือ? เฟิ่งรั่วหนานตกตะลึงยิ่ง คนผู้นี้ก็คือเหมิงซานหมิงหรือ?
นางก็มีฐานะเป็นผู้บัญชาการกองทัพคนหนึ่ง อยู่ในแคว้นเยี่ยต่อให้ไม่เคยได้ยินเรื่องของคนอื่น แต่ไม่เคยได้ยินชื่อเหมิงซานหมิงได้อย่างไร คนผู้นี้คือแม่ทัพเอกคนสนิทของหนิงอ๋องซางเจี้ยนปัว แตกฉานทั้งบุ๋นบู๊ ได้ยินว่ากององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญในสังกัดของหนิงอ๋องก็ถูกก่อตั้งขึ้นโดยคนผู้นี้ ยืนยงไร้พ่ายในทุกสมรภูมิรบ ไม่เคยเพลี่ยงพล้ำ!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า