ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า นิยาย บท 210

สรุปบท ตอนที่ 210 เหมิงซานหมิง: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 210 เหมิงซานหมิง – ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า โดย Internet

บท ตอนที่ 210 เหมิงซานหมิง ของ ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 210 เหมิงซานหมิง

เฟิ่งรั่วหนานกลับมาแล้ว กลับมาพร้อมกับความคับข้องหมองใจ

จะเรียกว่าถูกบ้านฝ่ายมารดาเกลี้ยกล่อมให้กลับมาก็ได้ สถานการณ์ส่วนรวมสำคัญกว่าตัวบุคคล อำนาจปกครองสองจังหวัดล้วนอยู่ในมือซางเฉาจงแล้ว

อย่างที่เผิงโย่วไจ้กล่าวเอาไว้ เผื่อประโยชน์ของตระกูลเฟิ่ง ตระกูลเฟิ่งจำเป็นต้องกล่อมให้บุตรสาวกลับมา

กล่อมให้กลับมาน่ะไม่เท่าไร ยังต้องการให้นางยอมโอนอ่อนผ่อนตามอีก เหตุผลก็ง่ายดายนัก ไม่ทราบว่าพอซางเฉาจงได้อำนาจของสองจังหวัดไปแล้วจะจัดการใหม่อย่างไร ไม่รู้เลยว่าจะเตะโด่งตระกูลเฟิ่งออกไปหรือไม่

ว่ากันตามหลัก ซางเฉาจงต้องไว้หน้าเผิงโย่วไจ้ ไม่กล้าทำเกินไปนัก

แต่หากทำตัวไม่เข้าท่าเกินไปจริงๆ ทำให้ซางเฉาจงโกรธขึ้นมาจริงๆ กับเรื่องบางอย่างเกรงว่าสำนักหยกสวรรค์คงไม่สะดวกจะเข้าไปยุ่งมากนัก

สำนักหยกสวรรค์ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญ มีจุดที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญต่างกันไป เป็นเช่นเดียวกับหนิวโหย่วเต้า ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องการเมืองการทัพนัก ในเมื่อมอบอำนาจส่วนใหญ่ให้ซางเฉาจงไปแล้ว เจ้าก็ไม่ควรเข้าไปแทรกแซงวุ่นวาย

หากซางเฉาจงต้องการหาเหตุมาเตะโด่งตระกูลเฟิ่งออกไปจริงๆ เกรงว่าแม้แต่เผิงโย่วไจ้เองก็จัดการลำบากเช่นกัน

มองเห็นว่าใกล้จะถึงตัวเมืองชิงซานแล้ว เพียงแต่สภาพอากาศกลับไม่เป็นใจ จู่ๆ ฝนก็ตกลงมา ทำให้เฟิ่งรั่วหนานที่อยู่บนหลังม้าเปียกซ่กเหมือนลูกนกตกน้ำ ทำให้อารมณ์ของนางย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม

สิ่งที่ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อยคือ ยามที่มาถึงประตูเมือง มองเห็นซางเฉาจงยื่นอยู่ใต้ประตูเมือง พาคนมารอต้อนรับด้วยตัวเอง

เพียงแต่นางสังเกตเห็นอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนคนที่ซางเฉาจงต้องการมาต้อนรับจะไม่ใช่ตน พอเห็นหน้านางก็ทักทายเล็กน้อยเท่านั้น สายตาทอดมองท้องถนนที่มีสายฝนโปรยปราย

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลานรั่วถิงเอ่ยขึ้นมา “ท่านอ๋อง มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

ซางซูชิงสะบัดผ้าคลุมกันลมผืนหนึ่ง ช่วยคลุมให้พี่สะใภ้ พอได้ยินเสียงก็หันไปมองพร้อมกับเฟิ่งรั่วหนาน

มองเห็นเพียงว่าท่ามกลางม่านฝน คณะเดินทางขบวนหนึ่งปรากฏขึ้น คนหลายสิบคนคุ้มกันรถม้าขบวนหนึ่งมุ่งหน้าเข้ามา

ซางซูชิงปล่อยพี่สะใภ้ไว้ ขณะที่กำลังฝ่าฝนออกไปต้อนรับพร้อมกับซางเฉาจงและหลานรั่วถิง กลับมีม้าตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว คนผู้หนึ่งที่สวมหมวกงอบไว้กระโดดลงมา กล่าวกับซางเฉาจงว่า “ท่านอาจารย์กล่าวว่า ไม่ควรทำให้เอิกเกริก ต้องการให้ท่านอ๋องกลับไปก่อน ค่อยไปพบกันในจวนก็ยังไม่สายพ่ะย่ะค่ะ”

พอทางนี้ได้ฟังความ ก็จากไปอย่างรวดเร็ว

เฟิงรั่วหนานที่ติดตามไปด้วยค่อนข้างสนใจใคร่รู้ ไม่ทราบผู้มาเป็นใคร ไม่น่าเชื่อว่าสามารถทำให้ทางนี้มีปฏิกิริยาตอบสนองมากขนาดนี้

ไป๋เหยาที่ติดตามมาคุ้มกันก็นึกสงสัยอยู่ในใจเช่นกัน ผู้มาเป็นใครกันแน่?

กลุ่มคนสวมหมวกงอบหลายสิบคนคุ้มกันรถม้าเข้าเมือง มีคนนำทางไปยังถนนด้านหลังจวนผู้ว่าการจังหวัดที่ถูกปิดเอาไว้

รถเข็นคันหนึ่งถูกยกลงมาจากท้ายรถม้า คนผู้หนึ่งมุดออกมาจากในรถมา ถูกแบกออกมา

หลานรั่วถิงที่รอต้อนรับอยู่ตรงประตูท่ามกลางสายฝนค้อมคำนับ ประสานมือเอ่ยเรียกด้วยความเคารพนบน้อม “แม่ทัพเหมิง!”

ผู้มาหาใช่ใครอื่น เป็นเหมิงซานหมิง ตอนนี้ต้องการตัวเขา จึงเชิญตัวเขาออกมาจากหุบเขา

“เสี่ยวหลาน ไม่พบกันเสียนาน” เหมิงซานหมิงที่ผมโพลนทั้งศีรษะพยักหน้าพลางส่งยิ้มให้หลานรั่วถิงเล็กน้อย

“ท่านลุงเหมิง!” สองพี่น้องตระกูลซางคารวะอย่างพร้อมเพรียง สองพี่น้องไม่สนใจว่าตนจะเปียกฝน ต่างกางร่มกันฝนให้เขาด้วยตัวเองขนาบทั้งฝั่งซ้ายขวา

“ไม่บังอาจรบกวนท่านอ๋องและท่านหญิงเช่นนี้” เหมิงซานหมิงรีบส่งสัญญาณให้คนด้านหลังเข้ามาแทนที่ ไม่ยอมให้สองพี่น้องกางร่มให้เขาต่อ จากนั้นถึงประสานมือคารวะกลับพลางเอ่ยว่า “ร่างกายทุพพลภาพไม่อาจคารวะเต็มพิธีการได้ ขอท่านอ๋องและท่านหญิงโปรดอภัยให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

“ท่านลุงเหมิง เข้าไปหลบฝนก่อนเถิด” ซางเฉาจงผายมือเชื้อเชิญ

มีคนยกเหมิงซานหมิงไปนั่งบนรถเข็น จากนั้นทั้งคนและรถเข็นก็ถูกยกเข้าไปในจวนพร้อมกัน

ไป๋เหยายืนกอดกระบี่อยู่ใต้ชายคา มองกลุ่มคนที่เข้าไปด้านใน

เฟิ่งรั่วหนานที่ตัวเปียกชื้นยังไม่ได้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่เดินเตร่ไปมาอยู่ใต้ชายคา

ล้วนอยากทราบกันว่าผู้มาเป็นใคร มีเกียรติถึงขั้นที่สองพี่น้องตระกูลซางยอมเปียกฝนออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง

หลัวอันที่สวมหมวกงอบไว้เป็นผู้เข็นรถ เมื่อรถเข็นมาถึงด้านล่างบันไดห้องโถงหลัก ก็ถูกยกขึ้นไปอีกครั้ง ยกเข้าสู่ห้องโถงหลักโดยตรง

ไป๋เหยาและเฟิ่งรั่วหนานก็ตามเข้าไปสังเกตการณ์ด้วย

ภายในห้องโถง ซางซูชิงรับผ้าขนหนูที่บ่าวรับใช้ยื่นให้ ช่วยเช็ดละอองฝนที่กระเด็นใส่ร่างเหมิงซานหมิงด้วยตัวเอง

เหมิงซานหมิงมองไปรอบๆ จากนั้นถามว่า “เหตุใดจึงไม่เห็นศิษย์ผู้ประเสริฐของท่านตงกัวเล่า?”

ซางเฉาจงตอบว่า “เต้าเหยี่ยไปบำเพ็ญเพียรในหุบเขานอกเมือง ยังไม่ทราบว่าท่านมาถึงแล้ว”

เหมิงซานหมิงพยักหน้ารับ สายตาเคลื่อนไปที่ร่างของเฟิ่งรั่วหนาน แววตาวูบไหว เอ่ยถามว่า “ท่านนี้คือพระชายาใช่หรือไม่?”

เฟิ่งรั่วหนานจ้องมองบุรุษใบหน้าซูบตอบเรียบเฉย ผมขาวโพลนทั้งหัวคนนี้อยู่ตลอด พอได้ยินก็ตอบรับ “ใช่แล้ว เจ้าคือผู้ใด?”

แววตาของเหมิงซานหมิงอ่อนโยนทว่าทรงพลัง ประสานมือคำนับเอ่ยขึ้นว่า “เหมิงซานหมิง น้อมพบพระชายา! ร่างกายทุพพลภาพไม่อาจคารวะเต็มพิธีการ ขอพระชายาโปรดอภัย!”

เหมิงซานหมิงหรือ? เฟิ่งรั่วหนานตกตะลึงยิ่ง คนผู้นี้ก็คือเหมิงซานหมิงหรือ?

นางก็มีฐานะเป็นผู้บัญชาการกองทัพคนหนึ่ง อยู่ในแคว้นเยี่ยต่อให้ไม่เคยได้ยินเรื่องของคนอื่น แต่ไม่เคยได้ยินชื่อเหมิงซานหมิงได้อย่างไร คนผู้นี้คือแม่ทัพเอกคนสนิทของหนิงอ๋องซางเจี้ยนปัว แตกฉานทั้งบุ๋นบู๊ ได้ยินว่ากององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญในสังกัดของหนิงอ๋องก็ถูกก่อตั้งขึ้นโดยคนผู้นี้ ยืนยงไร้พ่ายในทุกสมรภูมิรบ ไม่เคยเพลี่ยงพล้ำ!

จุดพิเศษของเคล็ดกายาชุดนี้ ไม่ว่าจะนิ่งเฉยหรือเคลื่อนไหว ล้วนอยู่ระหว่างฟ้าดิน

ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด จะขยับหรือหยุดนิ่ง จะสำเร็จหรือไม่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความเข้าใจของตัวบุคคล พลาดพลั้งไปเล็กน้อยอาจจะผิดพลาดไปไกลโข

หากต้องการฝึกฝนเคล็ดกายาเคลื่อนจักรวาล จะต้องเรียนรู้ปราณแท้มหาจักรวาลเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของหยินหยาง เข้าใจสมดุลถึงจะสามารถเรียนรู้การปรับเปลี่ยนจักรวาลเป็นกำลัง แปลงจักรวาลเป็นพลัง ตระหนักถึงขอบเขตกาลเคลื่อนย้าย จักรวาลคือฟ้าดิน ไม่ว่าจะขยับหรือหยุดนิ่งย่อมอยู่ในขอบเขตของจักรวาล หลังฝึกฝนสำเร็จถึงจะกลายเป็นเคล็ดกายาเคลื่อนย้ายจักรวาล

กล่าวก็คือ เคล็ดกายาเคลื่อนจักรวาลมิใช่เคล็ดกายาเคลื่อนย้ายที่อุกอาจยิ่งใหญ่อันใด แต่เป็นเคล็ดวิธีควบคุมที่ขับเน้นเสริมส่งกับการแปลงจักรวาลให้กลายเป็นพลัง

ในเคล็ดกายาเคลื่อนจักรวาลบอกไว้ว่า มนุษย์พบธาราเป็นอุปสรรค มัจฉาพบวารีเคลื่อนไหวได้ดั่งใจนึก

จะเปลี่ยนอุปสรรคให้กลายเป็นอิสระได้อย่างไร คือความลี้ลับน่าอัศจรรย์ของเคล็ดกายาเคลื่อนจักรวาล

เหตุใดถึงบอกว่าเคล็ดกายาเคลื่อนจักรวาลขับเน้นเสริมส่งกับหลักการแปลงจักรวาลเป็นพลังน่ะหรือ?

ศึกนอกเมืองไจซิงก็คือตัวอย่าง ในสถานการณ์ที่สภาวะของฝ่ายศัตรูต่างกันไม่มากนัก ยังคงสามารถซัดฝ่ามือออกไปต้านรับสลายพลังโจมตีของอีกฝ่ายได้ตรงๆ หากว่าสภาวะของอีกฝ่ายเหนือกว่าตน ไม่ว่าจะเป็นพลังโจมตีหรือความเร็วในการโมตี ล้วนจะทำให้ตนตั้งรับไม่ทันทั้งสิ้น หากสลายพลังไม่ทันจะจัดการอย่างไรเล่า?

ในเคล็ดกายาเคลื่อนจักรวาลมีคำตอบ ยังคงเป็นประโยคเดิม ไม่ว่าจะนิ่งเฉยหรือเคลื่อนไหวล้วนอยู่ระหว่างฟ้าดิน!

เวลานี้หนิวโหย่วเต้ากำลังทำความเข้าใจสิ่งนี้อยู่ ปล่อยพายุฝนสาดพัด อยู่ในกระบวนการรับรู้ถึงลมทุดสายที่พัดมา สัมผัสถึงฝนทุกหยดที่ตกกระทบร่างตน สังเกตรายละเอียดรับรู้องค์รวม

มีแต่ทำความเข้าใจรายละเอียดยิบย่อย ถึงจะสามารถเผชิญหน้ากับความผันผวนไปทีละขั้นได้

สิ่งนี้ทั้งลึกลับเลื่อนลอยอีกทั้งลี้ลับมหัศจรรย์ เป็นเคล็ดวิชาที่ไม่สามารถอธิบายออกมาให้ชัดเจนได้ ทำได้เพียงชี้แนะให้เจ้าไปทำความเข้าใจเท่านั้น

แนวทางการบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ก็เป็นแนวทางการบำเพ็ญเพียรแบบที่หยวนกังรังเกียจที่สุดด้วย…

นอกมหานครเป่ยโจว ในป่าเขาเงียบสงัดผืนหนึ่ง

เงามนุษย์สองร่างหยุดเดิน ลู่เซิ่งจงประสานมือกล่าวกับอู๋ซานเหลี่ยงว่า “ขออภัยที่ไม่อาจไปส่งไกลกว่านี้ได้ หวังว่าจะมีโอกาสพบกันอีก ฝากทักทายเต้าเหยี่ยแทนข้าด้วย!”

เขามาที่นี่ก็เพื่อเปลี่ยนตัวกับอู๋ซานเหลี่ยง อู๋ซานเหลี่ยงได้บอกเล่าสถานการณ์ทั้งหมดที่สืบทราบต่อเขาแล้ว กำลังจะเดินทางกลับจังหวัดชิงซาน

อู๋ซานเหลี่ยงประสานมือกล่าวว่า “ลาก่อน รักษาตัวด้วย!”

ลู่มองส่องเขาจากไปไกล ลู่เซิ่งจงยกมือไพล่หลังถอนหายใจเบาๆ เขาไม่รู้จักเซ่าผิงปอมากนัก แต่หนิวโหย่วเต้าบอกว่าเซ่าผิงปออันตรายมาก กำชับให้เขาระวังตัวอยู่หลายครั้ง

หนิวโหย่วเต้าก็ไม่ได้กำหนดมาเป็นพิเศษว่าให้เขาทำอย่างไร ให้อิสระเขามากยิ่ง สรุปก็คือ เป้าหมายคือสังหารเซ่าผิงปอ! หากสังหารไม่ได้ก็ต้องสร้างปัญหาให้เขา ทำให้เซ่าผิงปอกลัดกลุ้มไร้อิสระ!

…………………………………………………………

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า